Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 20 21 [22] 23 24 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75424 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #315 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2013, 09:54:12 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #316 เมื่อ: สิงหาคม 23, 2013, 09:20:12 PM »




สาระแห่งสุขภาพ
 

***50 วิธีเอาชนะภูมิแพ้*** (เนื้อหายาว)
 
1.สระผมของคุณก่อนเข้านอนทุกคืน โดยเฉพาะในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศ
 
2.อย่าตากเสื้อผ้า และเครื่องนอน (ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน)
 ไว้กับราวตากผ้ากลางแจ้งในฤดูที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนในอากาศ เพราะเกสรดอกไม้ และเชื้อราจะเกาะติดกับผ้าที่ตากได้
 
3.ล้างมือทันทีหากไปเล่นกับสัตว์เลี้ยง หรือให้อาหารมัน
 
4.เปิดไฟในตู้เสื้อผ้าตลอดเวลา เพื่อลดจำนวนเชื้อราภายในตู้
 
5.ไม่ควรนำตุ๊กตาที่ยัดไส้ด้วยนุ่น หรือใยสัตว์ไว้ในห้องนอน
 
6.ช่วงสาย ๆ ไปจนถึงตอนบ่าย เป็นช่วงที่มีเกสรดอกไม้ปลิวว่อนไปทั่ว ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้ง่าย
 
7.จงเปลี่ยนเสื้อผ้านอกห้องนอน เพื่อทิ้งสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้ไว้นอกห้องนอน
 
8.ถอดเสื้อผ้า และซักทันที หากคุณไปเยี่ยมเยียนเพื่อนที่มีสัตว์เลี้ยง
 
9.ห่อหุ้มหมอน และฟูกในผ้าพลาสติกแล้วปูทับด้วยผ้าฝ้าย
 
10.ใช้เครื่องปรับความชื้นในห้องที่อับชื้นมาก ๆ เพื่อลดจำนวนเชื้อรา ความชื้นที่พอเหมาะควรมีค่าอยู่ระหว่าง 25-50%
 
11.เลิกใช้พรมปูพื้นห้อง เปลี่ยนพื้นห้องเป็นไม้ หรือกระเบื้อง ซึ่งจะทำความสะอาดได้ง่ายกว่า
 
12.ถ้าคุณแพ้ผึ้ง หรือมดตะนอย ก็จงหลีกเลี่ยงการสวมเสื้อสีสด ๆ การฉีดสเปรย์ผม การใช้น้ำหอมดับกลิ่นตัว
หรือการใส่น้ำหอม รวมทั้งการปิกนิก หรือการตั้งวงปิ้งอาหารรับประทานนอกบ้าน
 
13.เปลี่ยนเครื่องเรือนที่บุด้วยนุ่น หรือตกแต่งด้วยขนสัตว์มาเป็นเครื่องเรือนที่ทำจากพลาสติก ไม้ โลหะ หรือหนังสัตว์ ซึ่งจะไม่เก็บกักสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้
 
14.ในการทำความสะอาดบ้าน จงอย่าใช้ไม้ขนไก่ หรือไม้กวาด แต่จงใช้ผ้า หรือไม้ถูพื้นที่ได้ชุบน้ำแล้ว
 
15.เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีน้ำเป็นตัวกักฝุ่น และมีแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง
 
16.สวมผ้าปิดจมูก และปากเสมอ เพื่อกันฝุ่นในขณะที่คุณทำความสะอาดบ้าน
 
17.อย่ารีบเข้าไปในห้องที่เพิ่งทำความสะอาดเสร็จ ควรรออย่างน้อย 20 นาทีก่อน เพื่อให้ฝุ่นผงที่ล่องลอยอยู่ในอากาศตกลงสู่พื้นให้หมด
 
18.ถ้าคุณมีสัตว์เลี้ยงคุณต้องป้องกันอากาศมิให้พัดจากนอกบ้านเข้ามาในห้องนอนของคุณ
 
19.ทำความสะอาดบริเวณที่มีราขึ้นด้วยน้ำยาฟอกคลอรีน โดยผสมผงคลอรีน 10 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน
 
20.ห้ามทุกคนรวมทั้งแยกสูบบุหรี่ในบ้าน หากจุสูบให้สูบนอกบ้าน
 
21.วานคนที่ไม่แพ้ ทำความสะอาดกรงของสัตว์เลี้ยง
 
22.ถ้าคุณจะออกกำลังกายกลางแจ้ง ก็ขอให้ทำในช่วงเช้า ๆ บ่ายแก่ ๆ หรือตอนเย็น ๆ
 
23.ปิดหน้าต่างรถของคุณให้สนิท แล้วเปิดเครื่องปรับอากาศภายในรถให้ไหลเวียน
 
24.ไม่ใช้พัดลม เพราะจะพัดเอาเกสรดอกไม้ และเชื้อราเข้ามาในบ้าน
 รวมทั้งไม่ใช้เครื่องทำความเย็นชนิดอังด้วยน้ำ เพราะจะทำให้ห้องชื้น
 
25.หากคุณปิดบ้านไว้นาน เชื้อราอาจจะเจริญเติบโตได้ ดังนั้นเมื่อคุณกลับมาอยู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง
 คุณควรเปิดบ้านให้ลมโกรม และทำความสะอาดอย่างดีเสียก่อน
 
26.ตรวจสอบว่ามีอะไรในบ้านบ้างที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อรา เมื่อพบแล้วจงกำจัดให้หมด
 แหล่งเพาะเชื้อราที่อาจเป็นได้ เช่น ในเครื่องทำความชื้นบนพรมที่เปียกชื้น บนพื้นห้องที่ผุ ในถังขยะ บนกระดาษปิดฝาผนังที่เปียกชื้น เป็นต้น
 
27.เมื่อคุณใช้เครื่องดูดฝุ่น จงเลือกใช้ถุงเก็บฝุ่นชนิดถุงหนา 2 ชั้น และแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง
 
28.เมื่อคุณจะไปเที่ยวพักผ่อนในที่ใด ๆ ก็ตาม จงเลือกสถานที่ ๆ มีฝุ่นละออง หรือเกสรดอกไม้น้อย เช่น ชายทะเล
 
29.ถ้าคุณคิดว่าอาหารบางอย่างทำให้คุณแพ้ ก็อย่าลืมปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะลงมือเปลี่ยนรายการอาหารอย่างถอนรากถอนโคน
 
30.อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อาหารที่คุณซื้อเสมอ เพื่อดูว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ส่วนผสม เช่น นม ไข่ ถั่ว อาจทำให้คุณแพ้ก็ได้
 
31.พกบัตรที่แสดงข้อความว่าคุณเป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืดอย่างรุนแรงไว้เสมอ
 
32.เลือกที่จะมีสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีขน เช่น ปลา เต่า แทนการเลี้ยงแมว หรือสุนัข
 
33.ล้างมือ ผิวหนัง เสื้อผ้า สัตว์เลี้ยง หรืออะไรก็ตามที่เปื้อนยางต้นไม้
 
34.ถ้าคุณต้องการพ่นยาฆ่าแมลง จงเลือกใช้น้ำยาที่คุณไม้แพ้ คุณควรอยู่นอกบ้าน
 และวานให้คนอื่นพ่นยาฆ่าแมลงให้ เมื่อพ่นยาเสร็จแล้วคุณควรเปิดบ้านให้ลมโกรกสัก 2-3 ชั่วโมง ก่อนที่จะกลับเข้าบ้าน
 
35.ทำความสะอาดห้องน้ำ ครัว และห้องใต้ดินบ่อย ๆ เพื่อลดจำนวนเชื้อราภายในบ้าน เพราะห้องเหล่านี้มีความชื้นสูง
 
36.หลีกเลี่ยงการใช้เตาที่เผาไหม้ด้วยไม้ เพราะควันไฟอาจทำให้คุณแพ้ได้
 
37.สอบถามครูที่โรงเรียน เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ลูกของคุณแพ้ เช่น มีสัตว์เลี้ยงในห้องเรียนหรือไม่ มีแมลงสาบในตู้เก็บของหรือไม่ มีตัวไรฝุ่นในพรมปูพื้นหรือไม่
 
38.เปิดเครื่องดูดควันเสมอเมื่อคุณทำอาหาร เพื่อลดความชื้น และกำจัดควัน และกลิ่นอาหาร
 
39.ซักเครื่องนอนทั้งหลาย (ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ฯลฯ) ในน้ำร้อนประมาณ 50 องศาเซลเซียสสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อฆ่าตัวไร การเป่าลมร้อนเพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะฆ่าตัวไร
 
40.หากคุณต้องการขับรถท่องเที่ยวพักผ่อน ก็จงทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศในรถเสียก่อน เพื่อกำจัดเชื้อราที่อาจแอบซ่อนอยู่
 
41.หากคุณต้องการออกกำลังกายกลางแจ้ง จงเลือกออกกำลังกายในวันที่ไม่มีลม
 
42.ติดตั้งพัดลมดูดอากาศที่ห้องน้ำ และเปิดใช้ทุกครั้งที่อาบน้ำ
 
43.อยู่ให้ห่างไกลจากสิ่งที่ทำให้แพ้ เช่น ควันบุหรี่ หมอกควัน น้ำหอม และสบู่หรือน้ำยาซักล้างที่มีกลิ่นฉุน
 
44.ถ้าคุณต้องการทาสีบ้านใหม่ จงเลือกใช้สีน้ำมัน และอย่าอยู่บ้านในขณะที่ช่างกำลังทาสีบ้าน
 
45.หากคุณคิดจะย้ายบ้าน จงแวะเวียนไปยังบ้านใหม่นั้นอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ก่อน
เพื่อทดสอบว่าคุณไม่แพ้ แต่ก็อย่าลืมว่าอาการแพ้อาจกลับมาหาคุณได้อีก แม้ว่าคุณจะไม่มีอาการเลยเป็นเวลาหลายเดือน หรือหลายปีก็ตาม
 
46.เลือกให้หมอน ฟูก หรือผ้าห่มที่บุด้วยยางแทนพวกที่ยัดด้วยนุ่นหรือขนสัตว์
 
47.หมั่นทำความสะอาดบริเวณใต้ตู้เย็น ซึ่งมักเป็นที่สะสมของเศษอาหาร และฝุ่น และกลายเป็นสวรรค์ของแมลง และเชื้อรา
 
48.หมั่นตัดกิ่งไม้ ตกแต่งพุ่มไม้ บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้รกเรื้อใกล้ตัวบ้านหรือห้องนอนของคุณ
 
49.ห้ามนำสัตว์เลี้ยงที่มีขน เช่น แมวและสุนัข ไว้ในห้องนอนอย่างเด็ดขาด
ห้องนอนของคุณจะได้ปราศจากจากสิ่งที่อาจทำให้คุณแพ้
 
50.ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการที่เป็น แพทย์อาจสั่งยาให้คุณ ถ้าคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ได้
 ซึ่งจะทำให้คุณไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการแพ้
 

ที่มา : 108health.com/by สาระแห่งสุขภาพ

 





บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #317 เมื่อ: สิงหาคม 23, 2013, 09:24:56 PM »




สาระแห่งสุขภาพ
 
August 21
 

***การดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกันแผลกดทับ***
 
แผลกดทับ พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่ไม่สามารุถเคลื่อนไหวได้เอง หรือ นอนบนเตียงคนไข้นานๆ
ทำให้ผิวหนังบางส่วนถูกกดทับ อย่างต่อเนื่อง เป็นเวลานาน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงผิวหนังที่ถูกกดทับ
 ได้อย่างสะดวก ทำให้ผิวหนังเป็นรอยแดง และมีการแแตกทำลายของผิวหนัง จากระดับที่1 เรื่อยไปจนถึงระดับ4
 
แผลกดทับมี 4 ระดับ
 
ระดับ1
เป็นรอยแดง กดรอยแดงไม่จางหายภายใน30 นาที การป้องกันโดยป้องกัน
 แรงเสียดทานแรงกดทับโดยใช้อุปกรณ์ที่ช่วยลดแรงกดทับ เช่น หมอน ที่นอนลม เจลโฟม
 และเปลี่ยนท่านอนทุก 2 ชั่วโมง ทาโลชั่นไม่ให้ผิวแห้ง ป้องกันผิว ไม่ให้เปียกชื้น กระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหว
 
ระดับ2
ผิวหนังส่วนบนหลุดไป ฉีกขาดเป็นแผลตื้น มีรอยแดงบริเวณเนื้อเยื่อ รอบๆ มีอาการปวด บวม แดง ร้อน
มีสิ่งขับหลั่งจากแผลปริมาณเล็กน้อยหรือปานกลาง การดูแลคล้ายระดับ1 การป้องกันไม่ให้เป็นแผลเพิ่ม
เช็ดรอบๆด้วย Alcohol 70 % ใช้น้ำเกลือ (sterile isotonic sodium chloride solution) ทำความสะอาดแผล
 ใช้ silver sulfa diazineทาแผล ปิดด้วยผ้าก็อส ใช้วาสลินทาผิวหนังรอบแผล
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเปียกแฉะ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยา Povidine เช็ดแผล
 
ระดับ3
มีการทำลายผิวถึงชั้นไขมัน มีรอยแผลลึกเป็นหลุมโพรง มีสิ่งขับหลั่ง ออกจากแผลมาก
 อาจมีกลิ่นเหม็น การรักษาควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์
 
ระดับ4
มีการทำลายถึงเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ กระุดูก แผลเป็นโพรง มีสิ่งขับหลั่ง จากแผลมาก มีกลิ่นมาก
การรักษาควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์
 
การเกิดแผลกดทับจะส่งผลให้ผู็ป่วยทุกข์ทรมาน เจ็ป ปวดแผล เพิ่มความยุ่งยากในการดูแลรักษามากขึ้น
จึงควรให้ความสำคัญต่อการป้องกัน ไม่ให้เกิดแผลกดทับ และการลุกลามของแผลกดทับ
 
การดูแลผผู้ป่วยไม่ให้เกิดแผลกดทับ
 
-จัดให้ผู้ป่วยนอน นั่งบนที่นอนหรือที่นั่งนุ่มๆ เช่น ที่นอนลม แผ่นรองนั่งแบบเจล
 -ใช้หมอนนุ่มๆรองตามปุ่มกระดูก
 -เปลี่ยนท่านอนอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อลดการกดทับบริเวณผิวหนังและปุ่มกระดูก
 -ดูแลความสะอาดผิวหนังและป้องกันไม่ให้เปียกชื้น
 -คอยตรวจดูสภาพผิวหนังทุกคร้งเมื่อพริกตะแคงตัว
 -หากพบรอยแดงหรือผิวหนังถลอกด้านใดควรหลีกเลี่ยงการนอนทับผิวหนังบริเวณนั้น
 -เมื่อมีแผลต้องรีบรักษาให้หายโดยเร็ว
 หากพบแผลลุกลามควรพบแพทย์โดยด่วน
 

ที่มา : gertexhealthshop.com/by สาระแห่งสุขภาพ



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #318 เมื่อ: สิงหาคม 23, 2013, 09:26:53 PM »


สาระแห่งสุขภาพ
 
August 20
 

***ดูแลและใส่ใจหัวใจ***
 
ในประเทศไทย โรคหัวใจที่พบได้บ่อยคือโรคของหลอดเลือด ซึ่งหัวใจมีหน้าที่ในการปั้มเลือด
แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการเลือดไปเลี้ยงตัวเองผ่านทางหลอดเลือด 3 เส้น
ซึ่งเมื่อมีการใช้งานไปนาน ๆ หลอดเลือดเหล่านี้ก็จะมีไขมันและหินปูนไปสะสม
เกิดเป็นตะกรันและทำให้หลอดเลือดตีบได้ หากตระกรันนี้เกิดการปริแตกออก
ก็จะทำให้ลิ่มเลือดอุดตัน และทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างเฉียบพลันได้
นอกจากนั้นยังอาจก่อให้เกิดความทุพลภาพได้ด้วย
 
-โรคหัวใจ ไม่ใช่โรคของผู้สูงอายุเท่านั้น
 โรคหัวใจเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันสามารถพบโรคนี้ได้ในผู้ที่อายุน้อยลงกว่าเดิมมาก
 โดยพบผู้ป่วยในช่วงอายุ 30 – 40 ปีมากขึ้น ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น
 ประกอบกับคนในช่วงวัยดังกล่าวต้องออกไปทำงานและมีโอกาสสัมผัสกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ มากขึ้น
 เช่นผู้ขับรถแท็กซี่ ซึ่งมีเวลารับประทานอาหารน้อย และมักเลือกรับประทานอาหารประเภทแป้งและมีไขมันสูง
ไม่ค่อยได้ออกกกำลังกาย และบางรายยังสูบบุหรี่ด้วย ปัจจุบันจึงพบว่าผู้ขับแท็กซี่เป็นโรคหัวใจกันมากขึ้น
 
-โรคหัวใจ...เป็นแล้วหายได้หรือไม่?
 ผู้ป่วยโรคหัวใจบางราย เมื่อได้รับการรักษาแล้วจะสามารถหายขาดจากโรคได้ แต่บางรายจะไม่หาย
 โดยคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคหัวใจมักต้องรับประทานยาตลอดไป เพื่อลดโอกาสในการกลับเป็นซ้ำ
 
ปัจจุบันยาสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจได้เปลี่ยนบทบาทจากการรักษาโรคมาเป็นป้องกันโรค
 ซึ่งก็ได้ผลมากในการลดอุบัติการณ์การกลับมาเป็นซ้ำและอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ
 เพราะฉะนั้นการรับประทานยาจึงมีความจำเป็นสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ
 
-การดูแลหัวใจ
 สำหรับการวิธีการดูแลหัวใจที่ดีทั้งในส่วนของผู้ที่ป่วยเป็นโรคัวใจแล้ว ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงสูง
และผู้ที่ยังไม่ได้ป่วยเป็นโรคหัวใจคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ซึ่งได้แก่
หยุดสูบบุหรี่รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับผู้ที่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
รับประทานอาหารอย่างพอเหมาะ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทแป้ง อาหารที่ที่มีรสหวานจัด
 อาหารที่มีไขมันสูง และสำหรับผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคหัวใจ
รวมทั้งผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจสูงก็ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อตรวจคัดกรองหาโรคหัวใจด้วย
 
-การออกกำลังกาย
 สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเช่นกันว่าสามารถทำได้หรือไม่
และควรออกกำลังกายมากน้อยเพียงใด โดยทั่วไป แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่เป็นโรคหัวใจและคนปรกติ
 ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3–4 ครั้ง ครั้งละ 30–40 นาที ซึ่งการเดินก็เป็นออกกำลังกายอย่างหนึ่งที่ทำได้ง่าย
 โดยการเดินเพื่อออกกำลังกายที่เหมาะสมคือเดินครั้งละ 20 นาที สัปดาห์ละ 4 ครั้ง
ซึ่งพบว่าการออกกำลังกายโดยการเดินที่เหมาะสมจะสามารถสามารถลดโอกาส
 ในการเกิดโรคหัวใจในผู้ที่ยังไม่ได้เป็นโรคหัวใจหรือมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจได้
ส่วนผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้วก็มีโอกาสในเกิดการเจ็บป่วยซ้ำใหม่น้อยลง
 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ/by สาระแห่งสุขภาพ
 



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #319 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2013, 12:03:05 PM »

หมุนตามโลก
พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุ

อุบัติเหตุบนท้องถนนมีให้เห็นเป็นข่าวแทบทุกวัน หลายครั้งเกิดจากความประมาท เช่น

การขับรถเร็ว เมาแล้วขับ หรือการไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร

แต่บางครั้งเกิดจากการนำพฤติกรรมในชีวิตประจำวันไปปฏิบัติขณะอยู่บนท้องถนน

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย รวบรวมเอาพฤติกรรมต่างๆ

ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ มาเตือนไม่ให้ผู้ขับขี่เผลอนำไปใช้ขณะขับรถ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น

• การใช้โปรแกรมออนไลน์ทางโทรศัพท์มือถือ เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก แทงโก้ วอตส์แอพ

หรือการเล่นอินเตอร์เน็ตอื่นๆ เนื่องจากสายตาของผู้ขับขี่จะอยู่ที่โทรศัพท์ และสมาธิอยู่กับบทสนทนา

ทำให้ไม่สามารถควบคุมทิศทางของรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ต้องใช้มือข้างเดียวจับพวงมาลัย

• การจับพวงมาลัยมือเดียว ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการควบคุม และบังคับทิศทางพวงมาลัย

โดยเฉพาะการขับรถด้วยความเร็วสูง และขับผ่านเส้นทางเสี่ยง จะส่งผลต่อการทรงตัวของรถ

เพื่อความปลอดภัย จึงควรจับพวงมาลัยให้มั่นด้วยมือทั้งสองข้างที่ตำแหน่ง 3 และ 9 นาฬิกา

• การเปิดเพลงเสียงดัง ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ได้ยินเสียงผิดปกติที่เกิดกับรถ รวมถึงเสียงของรถที่ขับตามหลังมา

และสัญญาณแตรจากรถคันอื่น เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จึงไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน

• การถอดรองเท้าขับรถ อาจทำให้รองเท้าที่ถอดและวางไว้ใต้เบาะนั่งคนขับ เข้าไปติดใต้แป้นเบรก และไม่สามารถหยุดรถได้ทัน เพื่อความปลอดภัย ผู้ขับขี่จึงควรสวมรองเท้าที่เหมาะกับการขับรถ หรือหากถอดรองเท้าขับรถ ให้วางไว้ด้านเบาะนั่งผู้โดยสาร

• การนั่งพับขาขับรถ จะส่งผลต่อการบังคับพวงมาลัย และทิศทางรถ โดยเฉพาะเมื่อขับรถผ่านเส้นทางที่เป็นหลุมบ่อ

• การกินอาหาร จะทำให้ผู้ขับขี่เหลือมือข้างเดียว เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จึงไม่สามารถหยุดรถได้ทัน

และความมันจากอาหาร จะทำให้พวงมาลัยลื่นกว่าปกติ และส่งผลต่อการบังคับทิศทาง

ผู้ขับขี่จึงควรกินอาหารก่อนออกเดินทาง หรือจอดพักกินอาหารในบริเวณที่ปลอดภัย

• การหยิบสิ่งของ หรือการเอี้ยวตัวเพื่อค้นหาสิ่งของภายในรถ อาจทำให้ผู้ขับขี่เผลอปล่อยมือจากพวงมาลัย

และละสายตาจากถนน จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากกว่าร้อยละ 50 จึงควรหยิบสิ่งของขณะที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว

• การแต่งหน้า แม้จะทำในช่วงที่การจราจรติดขัด หรือรอสัญญาณไฟ

แต่ก็ส่งผลต่อสมาธิของผู้ขับขี่ เพื่อความปลอดภัยจึงควรแต่งหน้าให้เรียบร้อยก่อนออกจากบ้าน

หรือหลังเดินทางถึงจุดหมายแล้ว

• การสูบบุหรี่ จะทำให้ผู้ขับขี่บังคับพวงมาลัยไม่ถนัด โดยเฉพาะหากเอามือถือบุหรี่ออกนอกรถ

จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกเฉี่ยวชน

• การดูโทรทัศน์ มีผลให้แสงสว่าง เสียง และภาพเคลื่อนไหว ดึงดูดความสนใจของผู้ขับขี่

ทำให้สมาธิในการควบคุมรถและความสนใจต่อเหตุการณ์แวดล้อม ลดลง

นอกจากนี้ การปรับเบาะนั่ง ปรับกระจก ปรับอุณหภูมิ หรือระบบเครื่องเสียงขณะขับรถ

ก็ถือเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน จึงควรปรับอุปกรณ์ต่างๆ

ภายในรถให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตนเอง และผู้ใช้ถนนคนอื่นๆ

คอลัมน์ที่ 13/ข่าวสดออนไลน์, 27 ส.ค.2556

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #320 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2013, 12:04:32 PM »

***ภาวะใจสั่น***

ภาวะใจสั่น คือการรับรู้การเต้นของหัวใจเร็วหรือแรงขึ้น
การรู้สึกอาจกินเวลาเป็นวินาที นาที ชั่วโมง หรือเป็นวัน
ซึ่งอาจมีสาเหตุโดยการการเต้นของหัวใจช้าเกินไป เร็วเกินไป แรงเกินไป
หรือเต้นผิ
ดจังหวะมากกว่าปกติ ภาวะใจสั่นพบได้บ่อยและส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตราย
การเต้นที่ผิดจังหวะมักสำมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงวงจรไฟฟ้าของหัวใจ
โดยอาจเกิดจาก หลอดเลือดในหัวใจตีบตัน กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ การเสื่องของลิ้นหัวใจ
หรือเกิดจากวงจรไฟฟ้าผิดปกติของตัวมมันเองง

ในถาวะปกติของการเต้นของหัวใจ อยู่ภายใต้จุดกำเนิดออโตเมติกหรือจุดกำเนิดไฟฟ้าอัตโนมัติ ที่เรียกว่า
เอสเอ โหนด ซึ่งอยู่ที่หัวใจห้องขวาบน ถ้ามีจุดอื่นๆ ในหัวใจสามารถก่อกำเนิดจุดไฟฟ้าเองได้เรียกว่า
การกระตุกหรือการกระตุ้นไฟฟ้า หรือวงจรไฟฟ้าผิดปกติ ซึ่งจะรู้ได้ง่ายช่วงออกกำลังกา

ขณะที่มีการหลั่งสารอดรีนาลินออกมา หรือขณะอยู่เฉยๆ ช่วงที่หัวใจเต้นช้าหรือมีการเบี่ยงเบนจากการเต้นให้ใจช่วงที่ปกติ
อาจจะเป็นช่วงของปกติได้ที่จะมีการเต้นผิดจังหวะบ้างและบางคนก็รับรู้ได้ว่ามีการกระตุกของหัวใจ

สารกาเฟอีน เหล้า ภาวะเครียด อ่อนเพลีย ภาวะขาดสารน้ำ เจ็บป่วย
ภาวะไทรอยด์เป็นพิษหรือทำงานมากเกินไป และยาบางชนิด
อาจกระตุ้นภาวะใจสั่นมากขึ้น การเต้นของหัวใจเร็วเกินไปหรือใจเต้นเร็วที่เกิดจากวงจรไฟฟ้าผิดปกติมักเกิดขึ้นในทันทีทันใด
และหยุดทันทีทันใด บางครั้งเป็นการยากที่จะชี้วัดได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อใดและหยุดเมื่อใด

ภาวะหัวใจเต้นเร็วมากๆ อาจจะมีการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เหนื่อย หรือเวียนศีรษะ
บางครั้งหัวใจเต้นเร็วมากจนไม่สามารถพยุงความดันโลหิต ก็อาจเกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะได้

ถ้าอาการเกิดขึ้นขณะอยู่เฉยๆ เริ่มต้นและหยุดทันทีทันใด โดยไม่สามารถคาดการณ์ได้
หรือสัมพันธ์กับอาการเวียน วูบ หน้ามืด มักเกิดจากวงจรไฟฟ้าเต้นผิดปกติ มากกว่าภาวะตื่นเต้น เครียด
หรือการออกกำลังกาย ซึ่งมักมีการเต้นเร็ว ค่อยๆ เป็น และบ่อยๆ เต้นช้าลง

การวินิจฉัยเพื่อค้นหาว่ามีการเต้นของหัวใจผิดปกติบ้างไหมที่สัมพันธ์กับการเกิดอาการ
บางครั้งเราอาจจะรู้สึกหัวใจเต้นแรงได้ช่วงที่ตะแคงซ้ายในช่วงกลางคืน
หรือระหว่างที่ตื่นเต้นตกใจหรือช่วงเครียด วิธีที่ดีที่สุดของการวินิจฉัยคือการทำกราฟหัวใจช่วงเกิดอาการ
ถ้าอาการผิดปกตินานพอที่จะไปทำกราฟหัวใจที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
หรือถ้าเป็นไม่นานพอก็อาจต้องติดการเต้นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมงไปที่บ้าน
นอกจากนี้การเดินหรือวิ่งสายพานอาจจะพบกับการเต้นผิดปกติขณะที่มีการบันทึกการเต้นหัวใจ

การรักษา

การรักษาหัวใจในภาวะใจสั่นขึ้นอยู่กับการรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวันขนาดไหน และรุนแรง
หรืออันตรายของการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ ในถาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดไม่รุนแรง คงจะไม่ต้องใช้ยา
คงให้แค่คำแนะนำหรือการแก้ไขบางอย่างเช่น การเป่าลมไปที่ทวาร หรือใช้ใบหน้าจุ่มลงไปในน้ำเย็น 1-2 นาที
ถ้าอาการเกิดจากวงจรไฟฟ้าผิดปกติ เป็นบ่อยหรือรุนแรงก็อาจจะต้องใช้ยา หรือการจี้เส้นด้วยกระแสไฟฟ้าหรือสายเย็น

พื่อทำให้วงจรไฟฟ้านั้นหายไป

การจี้ คือการใส่สายสวนขนาดเล็กๆ ขึ้ที่ขาหนีบไปที่ภายในห้องหัวใจ
เพื่อค้นหาจุดำเนิดที่ผิดปกติแล้วทำการจี้ด้วยกระแสไฟฟ้า เพื่อให้จุดกำเนิดนั้นหายไป
บางครั้งหัวใจเต้นผิดจังหวะอาจต้องใช้ยาอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด
หรือยาละลายลิ่มเลือดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญวงจรไฟฟ้าจะช่วยในการตัดสินใจในการรักษาท่าน

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก/by สาระแห่งสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #321 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2013, 12:05:46 PM »

สาระแห่งสุขภาพ
***การนอน ใครว่าไม่สำคัญ***

การนอนทำให้กล้ามเนื้อและอวัยวะทุกส่วนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พร้อมสำหรับการทำงานในวันต่อไป

เมื่อนอนน้อยอาจส่งผลให้ทำงานผิดพลาด ทำงานได้น้อยลง คุณภาพงานต่ำกว่าปกติ และมีงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่า

คนที่นอนน้อยกว่า 4 ชม. หรือนอนมากกว่า 10 ชม. ต่อคืน เป็นประจำ

อาจมีอายุสั้นกว่าคนที่นอนหลับปกติ คนที่นอนไม่เพียงพอนานๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด

โรคหลอดเลือดเมื่ออายุมากขึ้น และการนอนระหว่าง 21. 00-22.00 น. จะได้ประโยชน์มากที่สุด

เพราะโกร๊ธ ฮอร์โมน ( growth homone) หลั่งออกมาอย่างเต็มที่ในช่วง 22.00-24.00 น. ช่วยซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

และควรนอนให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน

นอนหลับท่าไหนดีที่สุด

การนอนมีความสัมพันธ์กับกระดูกสันหลัง เพราะหากนอนผิดท่า เช่น นอนงอตัวหรือนอนบิดตัว ติดต่อกันหลายๆ ปี

อาจทำให้กระดูกสันหลังเลื่อนออกนอกแนวระนาบ ผิดรูป หรือคดงอได้ ท่านอน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นอนหลับสนิท

ตื่นนอนอย่างสดชื่นและไม่ปวดเมื่อย

- นอนหงาย ควรใช้หมอนหนุนหัวแบบต่ำเพื่อให้ต้นคออยู่แนวเดียวกับลำตัว

ป้องกันการปวดคอจากนอนคอพับหรือนอนเงยคอมากเกินไป

แต่ท่านี้ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก

หัวใจทำงานลำบากขึ้น การนอนหงาย ยังอาจทำให้ผู้มีอาการปวดหลังมีอาการรุนแรงขึ้นด้วย

- นอนตะแคง การนอนตะแคงขวาช่วยให้หัวใจทำงานสะดวก และอาหารที่ค้างในกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี

ช่วยลดอาการปวดหลังได้ทางหนึ่ง แต่การนอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เสียดลิ้นปี่

เพราะอาหารย่อยไม่หมดและค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร

หญิงตั้งครรภ์ควรนอนตะแคงเพื่อไม่ให้มดลูกไปกดทับกระดูกสันหลังและเส้นเลือด แดงใหญ่กลางลำตัว

- นอนคว่ำหน้า อาจทำให้หายใจติดขัดและปวดต้นคอ เพราะคอแอ่นมาทางด้านหลังหรือบิดไปด้านใดด้านหนึ่งเป็นเวลานานๆ

ถ้าต้องนอนคว่ำหน้าควรใช้หมอนรองใต้หน้าอกเพื่อไม่ให้ปวดเมื่อยต้นคอ




ที่มา : learning.eduzones.com/by สาระแห่งสุขภาพ

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #322 เมื่อ: กันยายน 03, 2013, 05:47:57 PM »

เรียนภาษาอังกฤษ
ชื่อผัก 37 ชนิด และคุณค่าของผัก
(ไม่กินไม่ได้แล้ว)

1 สะเดา ( Neem tree) มีเบต้าแคโรทีนสูง บำรุงสายตา เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้นอนหลับ
2 ผักกาดขาว ( Chinese white cabbage) ช่วยระบบย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ แก้ไอ มีโฟเลทสูงบำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์
3 ต้นหอม ( Shallot) มีน้ำมันหอมระเหย บรรเทาอาการหวัด มีสารฟลาโวนอยด์ต้านมะเร็ง
4 แครอท ( Carrot) เบต้าแคโรทีนป้องกันโรคมะเร็ง มีแคลเซียม แพคเตท ลดระดับคลอเลสเตอรอลได้
5 หอมหัวใหญ่ ( Onion) มีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
6 คะน้า ( Chinese kale) มีแคลเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันโรคกระดูกพรุน และมะเร็ง
7 พริก ( Chilli) มีแคปไซซินกระตุ้นการขยายตัวของหลอดเลือด ช่วยให้เจริญอาหาร ขับเหงื่อ
8 กระเจี๊ยบเขียว ( Okra) ลดความดันโลหิต บำรุงสมอง ลดอาการกระเพาะหรือลำไส้อักเสบ
9 ผักกระเฉด ( Water mimosa) ดับพิษไข้ กากใยช่วยระบบขับของเสีย เพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร
10 ตำลึง ( Ivy gourd) มีวิตามินเอสูง ดีต่อดวงตา เส้นใยจับไนเตรต ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร
11 มะระ ( Chinese bitter cucumber) มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นยาระบายอ่อน ๆ น้ำคั้นลดระดับน้ำตาลในเลือด
12 ผักบุ้ง ( Water spinach) บรรเทาอาการร้อนใน มีวิตามินเอบำรุงสายตา ธาตุเหล็กบำรุงเลือด
13 ขึ้นฉ่าย ( Celery) กลิ่นหอม ช่วยเจริญอาหาร มีวิตามินเอ บี และซี บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด
14 เห็ด ( Mushroom) แคลอรีน้อย ไขมันต่ำ มีวิตามินดีสูง ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เสริมกระดูกและฟัน
15 บัวบก ( Indian pennywort) มีวิตามินบีสูง ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย บำรุงสมองและความจำบำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ
16 สะระแหน่ ( Kitchen mint) กลิ่นหอมเย็นของใบให้ความสดชื่น ทำให้ความคิดแจ่มใส แก้ปวดหัว
17 ชะพลู ( Cha-plu) รสชาติเผ็ดเล็กน้อย แก้จุกเสียด ขับเสมหะ มีแคลเซียมสูง
18 ชะอม ( Cha-om) ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ขับลมในลำไส้ มีเส้นใยคอยจับ อนุมูลอิสระ
19 หัวปลี ( Banana flower) รสฝาด แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนม มีกากใย โปรตีน และวิตามินซีสูง
20 กระเทียม ( Garlic) ลดไขมันในเลือด ป้องกันหัวใจขาดเลือด ใบกระเทียมมีโฟเลท เหล็กวิตามินซีสูง
21 โหระพา ( Sweet basil) น้ำมันหอมระเหยทำให้โล่งจมูก ช่วยระบายลม มีเบต้าแคโรทีนแคลเซียม
22 ขิง ( Ginger) บรรเทาอาการหวัดเย็น ลดอาการคัดจมูก รสเผ็ดร้อน แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ
23 ข่า ( Galangal) น้ำมันหอมระเหย ช่วยระบบย่อยอาหารขับลม มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา
24 กระชาย ( Wild ginger) บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ มีวิตามินเอและแคลเซียม
25 ถั่วพู ( Winged bean) ให้คุณค่าทางอาหารสูง มีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และสาร ช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว
26 ดอกขจร ( Cowslip creeper) กระตุ้นให้รู้รสอาหาร ให้พลังงานสูง ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน
27 ถั่วฝักยาว ( Long bean) มีเส้นใย ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีวิตามินซี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก บำรุงเลือด
28 มะเขือเทศ ( Tomato) มีวิตามินเอสูง วิตามินซี รสเปรี้ยว ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย และแก้อาการคอแห้ง
29 กะหล่ำปลี ( White cabbage) มีกลูโคซิโนเลท เมื่อแตกตัวจะเป็นสารต้านมะเร็ง และมีวิตามินซีสูง
30 มะเขือพวง ( Plate brush eggplant) ช่วยให้เจริญอาหารและช่วยลดความดันเลือด มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส
31 ผักชี ( Chinese paraley) ขับลม บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร มีน้ำมันหอมระเหย แก้หวัด มีวิตามินเอและซีสูง
32 กุยช่าย ( Flowering chives) มีกากใยช่วยระบายของเสีย มีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
33 ผักกาดหัว ( Chinese radish) แก้ไอ ขับเสมหะ เพิ่มภูมิต้านทางโรค มีสารช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้บีบตัวได้ดี
34 กะเพรา ( Holy basil) แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง มีเบต้าแคโรทีนสูง ป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือดได้
35 แมงลัก ( Hairy basil) ช่วยย่อยอาหาร ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับลม ขับเหงื่อ
36 ดอกแค ( Sesbania) กินแก้ไขช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เป็นยาระบายอ่อน ๆ มีวิตามินเอสูงบำรุงสายตา
37 หญ้าอ่อน กินเพิ่มความคึกคัก ให้กระชุ่มกระช่วย หัวใจสูบฉีด สมองแจ่มใส อายุยืนยาว เหมาะกับ โค เฒ่า 55555

(ขอบคุณ-หมอเจ็กหยิม/หมอสช.)

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #323 เมื่อ: กันยายน 03, 2013, 05:53:27 PM »

ตำลึงประโยชน์ตำลึง ผักสวนครัวไทย



ตำลึงผักสวนครัว รั้วกินได้ ที่มากมายด้วยสรรพคุณทั้งเป็นยาป้องกันโรค เป็นอาหารทานแล้วมีประโยชน์สูง เพราะอุดมไปด้วยสารอาหาร



สรรพคุณ

ตำลึงอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์สูง เช่น สารเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และยังมีฟอสฟอรัส เหล็ก ไนอาซิน วิตามินซีและอื่นๆ นอกจากนี้ จากการค้นคว้าของสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ตำลึงมีเส้นใยอาหารที่สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ในกระเพาะอาหาร อีกด้วย สำหรับตำรายาแผนโบราณ ตำลึงถือเป็นยาเย็น ใบช่วยขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้ อักเสบ แมลงมีพิษกัดต่อย แก้แสบคัน เจ็บตา ตาแดงและตาแฉะ แก้โรคผิวหนัง และลดน้ำตาลในเลือด

ราก : แก้ดวงตาเป็นฝ้า ลดความอ้วน แก้ไข้ทุกชนิด ดับพิษทั้งปวง ฝนทาภายนอก แก้ฝีต่างๆ แก้ปวดบวม แก้พิษร้อนภายใน แก้พิษแมลงป่องหรือตะขาบต่อย

ต้น : กำจัดกลิ่นตัว น้ำจากต้น รักษาเบาหวาน

เปลือกราก : เป็นยาถ่าย ยาระบาย

เถา : แก้ฝี ทำให้ฝีสุก แก้ปวดตา แก้โรคตา แก้ตาฝ้า ตาแฉะ แก้พิษอักเสบจากลูกตา ดับพิษร้อน ถอนพิษ เป็นยาโรคผิวหนัง แก้เบาหวาน

ใบ : เป็นยาพอกรักษาผิวหนัง รักษามะเร็งเพลิง แก้ท้องอืด แก้ท้องเฟ้อ แก้จุกเสียด แก้หืด รักษาผื่นคันที่เกิดจากพิษของหมามุ้ย ตำแย บุ้งร่าน ใช้เป็นยาเขียว แก้ไข้ ดับพิษร้อน ถอนพิษทั้งปวง แก้ปวดแสบปวดร้อน ถอนพิษคูน แก้คัน แก้แมลงกัดต่อย แก้ไข้หวัด แก้พิษกาฬ แก้เริม แก้งูสวัด

ผล : แก้ฝีแดง

ทั้งห้า รักษาโรคผิวหนัง รักษาอาการอักเสบของหลอดลม รักษาเบาหวาน

ใช้เป็นรักษาอาการแพ้ อักเสบ แมลงกัดต่อย เช่น ยุงกัด ถูกตัวบุ้ง แพ้ละอองข้าว โดยเอาใบสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดผสมน้ำเล็กแล้วคั้นน้ำจากใบเอามาทาบริเวณที่มีอาการพอน้ำแห้งแล้วทาซ้ำบ่อยๆจนกว่าจะหาย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #324 เมื่อ: กันยายน 12, 2013, 12:46:24 PM »

***เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับน้ำตาลในผัก***

ผักดีต่อสุขภาพอย่างไม่ต้องสงสัย คุณวิเศษของผักมีมากมาย แต่สำหรับคนเป็นเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องควบคุมน้ำตาลเป็นพิเศษ อาจไม่เหมาะกับผักบางชนิด วันนี้จึงมีข้อมูลดีๆในการเลือกกินผักให้ดีต่อสุขภาพมาฝาก

-...ผักที่มีน้ำตาล 3-5 เปอร์เซ็นต์

มะเขือ น้ำเต้า ใบตังโอ๋ ผักกาดขาว ผักกระเฉด แตงกวา บวบ ผักโขม ผักบุ้ง หน่อไม้ หัวผักกาดขาว ฟักเขียว ผักกาดหอม ผักบุ้งจีน ยอดฟักทอง เห็ดบัว แตงร้าน ผักตำลึง ผักกาดขาวปลี ขึ้นฉ่าย มะระ ถั่วงอก ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า กุยช่าย สายบัว ชะอม ดอกหอม กะหล่ำปลี

-ผักที่มีน้ำตาล 5-10 เปอร์เซ็นต์

ฝักถั่วลันเตา ใบชะพลู ต้นหอม ดอกกะหล่ำ ถั่วแขก ผักโขม หอมใหญ่ ใบทองหลาง ดอกโสน ถั่วพู มะรุม ดอกแค ขิง หน่อไม้ ข้าวโพดอ่อน หัวปลี กระเจี๊ยบ มะละกอดิบ ใบกระถิน ยอดและฝักอ่อนกระถิน

-ผักที่มีน้ำตาล 15-20 เปอร์เซ็นต์

ดอกขี้เหล็ก เมล็ดถั่วลันเตา ใบมะขามอ่อน ใบย่านาง ผักหวาน ลูกเนียง มันฝรั่ง

-ผักที่มีน้ำตาล 20-30 เปอร์เซ็นต์

กระจับ กลอย เผือก มันเทศ ใบขี้เหล็ก แห้วจีน


อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ขอฟันธงกันชัดๆเลยว่า ผักในกลุ่มที่มีน้ำตาล 20-30เปอร์เซ็นต์ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคเบาหวาน ลองเช็คดูว่าควรลดผักอะไรที่เป็นของชอบบ้าง

ที่มา : ชีวจิต/by สาระแห่งสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #325 เมื่อ: กันยายน 12, 2013, 12:49:01 PM »

.***5 เทคนิคจัดยากินให้ปลอดภัย***

"กฎข้อห้ามข้อหนึ่งคือการกินยายิ่งมาก ยิ่งเสี่ยงมาก ทั้งพิษจากยาและยาออกฤทธิ์ตีกัน อีกข้อหนึ่งคือ กินยามากไม่ได้ช่วยให้หายมากขึ้น ตรงข้ามอาจทำให้ตับวายมากกว่า" น.พ.กฤษดากล่าว

5 เทคนิคจัดโปรแกรมกินยาไม่สับสน... แบบง่ายๆ สำหรับคนกินยาเยอะ คือ

1. แยกยาเป็นชนิดเขียนชื่อกำกับไว้ให้ชัดเจน
2. เขียนฉลากโดยเขียนฤทธิ์ยาสั้นๆ ติดไว้ พร้อมวิธีรับประทาน
3. ใช้ตลับแบ่งยา ข้อนี้ช่วยคนกินยาเยอะไม่ให้กินยาซ้ำ เช่น ยาละลายลิ่มเลือดหากกินซ้ำเข้าไปก็อาจทำให้ตกเลือดจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
4. พกยาติดตัวไปหาหมอเพื่อไม่ให้เกิดการจ่ายยาซ้ำ
5. คือขอให้ถามหากสงสัย โดยเฉพาะเรื่องของยาซ้ำ ให้ถามแพทย์หรือเภสัชกร

ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ กล่าวว่า จากประสบการณ์การรักษาคนไข้ ได้รับคำถามมากมายเกี่ยวกับภาษาทางเคมีและปฏิกิริยาในทางเภสัชวิทยา ทำให้เกิดความสับสนในเรื่องของการใช้ยา คือ ยาลดความดันกับยาโรคหัวใจ ยากลุ่มนี้มีอยู่มากบางตัวลดความดันและทำให้หัวใจเต้นช้าลง แต่ถ้ารับประทานผิดคือซ้ำซ้อนจนทำให้มากเกินไปอาจทำให้ หัวใจเต้นช้า มึนศีรษะ หน้ามืด เหนื่อยไม่รู้สาเหตุ ยิ่งกว่านั้นถ้าเป็นภูมิแพ้หอบหืดอยู่จะถึงขั้นหลอดลมตีบเสียชีวิตได้ ยาลดไขมันคอเลสเตอรอลกับยาลดไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ ถูกเรียกให้สับสนว่า “ยาลดไขมัน” เหมือนๆ กัน

การรับประทานที่มากเกินไปและต่อเนื่อง อาจจะส่งผลให้มึนศรีษะ ไม่สบายตัว ปวดตามร่างกายและทำให้ตับทำงานหนักถึงขั้นเสื่อมเร็วได้ ยาแก้ปวดกับ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาประเภทนี้มักถูกจ่ายคู่กันซึ่งในหลายครั้งไม่จำเป็นต้องกินควบเลย เพราะการได้รับมากไปใช่ว่าจะทำให้ดีขึ้น หลักง่ายคือห้ามคิดว่า ปวดมากต้องกินยามาก อันนี้จะอันตรายหนักขึ้น

“ยาแก้แพ้กับยาแก้หวัด เป็นยาที่ถูกจ่ายบ่อยมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีหลักง่ายคือ ยาแก้แพ้บางชนิดไม่ใช่ยาแก้หวัด และยาแก้หวัดบางชนิดก็ไม่อาจแก้แพ้ได้ ข้อสำคัญคืออย่าใช้ซ้ำซ้อนกันมาก หากเป็นหวัดไปหาคุณหมอขอให้บอกว่าท่านใช้ยาเหล่านี้อยู่ครับจะได้ไม่ถูกจ่าย ยาซ้ำ ยาแก้อักเสบกับยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ) ยา 2 ชนิดนี้ไม่ใช่ยาตัวเดียวกันเลย แต่ถูกจับมาเรียกจนคุ้นปากคุ้นหู ขอให้ทราบว่ายาแก้อักเสบมีอยู่กว้างมากและฆ่าเชื้อไม่ได้

ส่วนยาฆ่าเชื้อนั้นก็ใช่ว่าจะแก้อักเสบได้เสมอไป ถ้าใช้ยาฆ่าเชื้อนานไปจะเสี่ยงเชื้อดื้อยา มากขึ้นด้วย ยาคลายเครียดกับยานอนหลับ ยากลุ่มคลายเครียดอาจมีฤทธิ์ง่วงก็จริงแต่ไม่ใช่ยาช่วยให้หลับเพราะยาคลาย เครียดหรือต้านซึมเศร้ามีฤทธิ์ไปกวนสารเคมีในสมองทำให้เกิดอาการง่วงซึมได้ การรับประทานคู่กันจะยิ่งอันตรายต่อเคมีในสมองมากขึ้น

ยาลดไข้กับยาแก้ปวด ท่านที่ทานยาแก้ปวดเป็นประจำอยู่ เมื่อมีไข้ขอให้ระวังการทานยาลดไข้เพิ่ม และให้หยุดยาแก้ปวดก่อน เพราะยาทั้งสองชนิดมีฤทธิ์ซ้ำซ้อนกันมาก และพิษก็ซ้ำซ้อนกันมากด้วย

ยาโรคกระเพาะกับยาแก้ปวดบิดไส้ เวลาปวดท้องหมออาจจะให้ยาร่วมกันมาทั้ง 2 ชนิด ขอให้ดูให้ดีก่อนรับประทาน หากเป็นโรคกระเพาะไม่มากอาจไม่ต้องกินยาแก้ปวด หรือท่านที่ปวดท้องแต่ไม่แน่ใจว่าจากลำไส้ขอให้เลี่ยงยาแก้ปวดบิดไส้ไว้ก่อนยาช่วยระบายกับยาถ่าย ยกตัวอย่างยาช่วยระบายเช่น ใยอาหาร มะขามแขก ส่วนยาถ่ายคือแบบที่ทำให้ปวดลำไส้ถ่ายเหลวคล้ายท้องเสีย หากรับประทานร่วมกันจะทำให้เกิดอันตรายถ่ายจนถึงขั้นช็อกได้

ยาละลายลิ่มเลือดกับยาช่วยเลือดไหลคล่อง ยาละลายลิ่มเลือดอย่าง “แอสไพริน” ถ้ากินกับยาที่ทำให้เลือดไหลคล่องอย่าง “วาร์ฟาริน” จะทำให้เกิดเลือดออกได้มากหากไม่ระวัง ดังนั้น เทคนิคคือไม่ควรรับประทานร่วมกันและหมั่นเจาะเลือดดูการแข็งตัวของเลือดอยู่เสมอ

ยาสร้างเม็ดเลือดกับยาธาตุเหล็ก ยา 2 ชนิดนี้บางทีถูกจ่ายคู่กัน แม้จะทานร่วมกันได้แต่มันมีพิษโดยเฉพาะกับ “ธาตุเหล็ก” ในกรณีที่โลหิตจางอย่างไม่แน่ใจขอให้เลี่ยงธาตุเหล็กไว้ก่อนเพราะมันเป็นพิษ กับโลหิตจางชนิด “ธาลัสซีเมีย” ส่วนยาสร้างเม็ดเลือดที่เป็น “โฟลิก” นั้นปลอดภัยรับประทานได้ในเลือดจางทุกประเภท


ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน/by สาระแห่งสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #326 เมื่อ: กันยายน 12, 2013, 12:52:33 PM »

***บรรเทาอาการเส้นเลือดขอด***

ไม่ว่าเราจะรักษาเส้นเลือดขอดด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่สามารถรับประกันว่าจะไม่เกิดเส้นเลือดขอดใหม่ 100% และหมออาจให้การรักษามากกว่า 1 วิธีร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาให้ได้ผลดีมากที่สุด เส้นเลือดขอด นอกจากจะทำให...้ผิวพรรณบริเวณนั้นๆ ดูไม่ดีแล้ว หากคุณปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้คุณเจ็บปวดได้ รีบรักษาเสียตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะการรักษาไม่ได้ยุ่งยากอะไร ผลลัพธ์ที่ได้จะเพิ่มความมั่นใจและคุณก็สามารถใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้น โชว์เรียวขาสวยได้แล้ว

กรณีที่เป็นเส้นเลือดขอดไม่มากให้ออกกำลังกายดังนี้

-หมั่นนอนยกเท้าให้สูงเท่าระดับเอว หรือหัวใจอยู่เสมอ เพื่อช่วยการไหลเวียนเลือดดำสู่หัวใจ (ท่านอนปั่นจักรยาน)
-กระดกข้อเท้าขึ้นลงเป็นประจำสม่ำเสมอติดต่อกัน 20 ครั้ง การบีบตัวของกล้ามเนื้อจะช่วยผลักดันโลหิตให้ไหลเวียนดีขึ้น
-หมุนข้อเท้าเป็นวงกลม วนขวา 10 ครั้ง วนซ้าย 10 ครั้ง ติดต่อกัน
-กระดกข้อเท้าขึ้น งอเข่าเต็มที่จากนั้นเหยียดเข่าออก พร้อมกับถีบปลายเท้าลง ทำติดต่อกัน 20 ครั้ง
-ยืนเขย่งเท่าขึ้น สลับกับยืนด้วนส้นเท้า ทำสลับกัน 20 ครั้ง
-ถ้าไม่มีเวลาจริงๆก็จะช่วยได้ด้วยการใช้ถุงน่องยางยืดที่ทำขึ้นเฉพาะไว้ใส่ประจำเพื่อรัดบีบหลอดเลือดที่ขาให้แฟบลงจะพอช่วยบรรเทาอาการเส้นเลือดขอดได้บ้าง

โดยทั่วไปแล้วสำหรับเส้นเลือดขอดนี้ไม่สามารถใช้ยาอะไรทาให้หายได้ ต้องระวังการยืนอยู่กับที่นานๆ นอกจากนั้นพบว่า วิตามินอี มีบทบาทในการรักษาเส้นเลือดขอดโดย เสริมสร้างความแข็งแรงของลิ้นหลอดเลือดและผนังหลอดเลือดให้ยืดหยุ่นคงสภาพ ได้ดี ช่วยการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น อาหารธรรมชาติที่มีวิตามินอีมาก ได้แก่ เมล็ดทานตะวัน

การออกกำลังกายอาจช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น เพราะในระหว่างการออกกำลังกายกล้ามเนื้อในขา จะขยายตัวและจะช่วยให้การสูบฉีดเลือดไหลกลับขึ้นไปที่หัวใจ นอกจากนี้แพทย์บางท่านกล่าวว่า คนที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ เส้นเลือดขอดที่เกิดขึ้นแล้วอาจจะช่วยให้ดีขึ้นทุเลาลงและยังช่วยป้องกันการเป็นเส้นเลือดขอดได้อีกด้วย

การถ่ายทอดทางพันธุกรรมเป็นปัจจัยหนึ่งสำหรับผู้ที่เป็นเส้นเลือดขอด การออกกำลังกายยังช่วยป้องกันการเกิดโรคอื่น ๆ เช่นโรคอ้วน, เนื้องอก, เลือดอุดตันและโรคหัวใจ การออกกำลังกายมักจะถูกแนะนำสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรมกับอาการเส้นเลือดขอด
ที่มา : esanindy.com/posttoday/by สาระแห่งสุขภาพ



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #327 เมื่อ: กันยายน 12, 2013, 12:56:33 PM »

***วิธีการรักษา "เส้นเลือดขอด"***

เส้นเลือดขอดส่วนใหญ่มักพบในผู้หญิง เช่น สตรีตั้งครรภ์ที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือคนที่ต้องยืนนานๆ เช่น พนักงานขายของ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดก็คือ ลิ้นของเส้นเลือดดำเสีย ซึ่งปกติลิ้นจะช่วยดันเลือดให้ก...ลับเข้าสู่หัวใจ เมื่อลิ้นเสีย เลือดจะไหลลงมา ทำให้หลอดเลือดโป่งส่งผลให้ผนังหลอดเลือดคดเคี้ยว ทำให้เส้นเลือดเกิดการบิดเบี้ยว หากเราสังเกตุจะเห็นว่ามีเส้นเลือดขอดมีสองประเภทคือ เส้นเลือดแดงเส้นเล็กๆ ชนิดนี้ไม่เจ็บปวดแต่อีกชนิดหนึ่งเป็นเส้นเลือดขอดเส้นใหญ่ที่มีสีเขียวอาจมีความเจ็บปวดร่วมด้วย

การรักษาเส้นเลือดขอด มี 2 วิธีคือ

1. ใช้ยาฉีดที่ทำลายหลอดเลือด
ยาฉีดนี้จะทำให้เส้นเลือดขอดเส้นเล็กๆ ฝ่อไป อาจใช้ยาที่มีความเข้มข้นหรือเจือจางก็ได้ คือถ้าต้องการแบบเจือจางก็เจือจางด้วยน้ำเกลือวิธีนี้เป็นวิธีที่เหมาะกับการรักษาเส้นเลือดขอดที่เป็นเส้นเล็กๆ ทั้งนี้การฉีดจะช่วยให้หลอดเลือดฝ่อ ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีหลังการฉีดจะบวมเล็กน้อยและต้องใส่ถุงน่องรัดให้ดันเลือดขึ้นไป แล้วนอนยกขาสูงประมาณ 2-3 วัน หากฉีด
แล้วไม่ค่อยได้ผลอาจใช้เลเซอร์ควบคู่กัน

2. การผ่าตัดโดยศัลยแพทย์
วิธีนี้เหมาะกับเส้นเลือดขอดเส้นใหญ่ๆ สีเขียว ซึ่งมีความเจ็บปวด กรณีนี้ไม่เหมาะกับการฉีดยาให้ฝ่อเพราะจะทำให้เส้นเลือดใหญ่อุดตันจนเกิดอันตรายได้

การป้องกันเส้นเลือดขอด

1. ใส่ถุงน่องซับพอร์ท
ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและช่วยลดการโป่งพองของเส้นเลือดขอดที่ขาช่วยบรรเทาอาการปวดขา กระชับกล้ามเนื้อ ลดการเป็นตะคริวและลดอาการบวมที่ขาเหมาะสำหรับคนที่ต้องยืนนานๆ หรือใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ

2. ไม่ควรอยู่ในท่าเดียวนานๆ
เช่น ยืนหรือนั่งนานๆ ควรขยับขาบ่อยๆ ทุก 10-15 นาที เช่น ขยับข้อเท้าขึ้นลง กระดกเท้าขึ้นลง หมุนข้อเท้า นอกจากนี้ก็ไม่ควรปล่อยให้อ้วนเพราะความอ้วนมีผลทำให้เกิดเส้นเลือดขอดด้วย

ที่มา : n3k.in.th/by สาระแห่งสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #328 เมื่อ: กันยายน 12, 2013, 12:59:00 PM »

***อาหารเสริมและยาที่ไม่ควรกินร่วมกัน***

1) น้ำมันปลากับแอสไพริน เนื่องจากน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือ...ดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่

2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส ควรเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะทั้งสองล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น ซึ่งถ้าได้มากเกืนไปไปอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้

3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าสามารถกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก เพราะจะทำให้แคลเซียมที่มากเกินพอดีจะไปจับหลอดเลือดให้ตีบตันได้

4) กาแฟกับแคลเซียม กาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียมจึงไม่เหมาะที่จะกินร่วมกัน

5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย ธาตุเหล็กช่วยบำรุงเลือด ยกเว้นกรณีที่เป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริมจะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับ


ที่มา : bangkokbiznews.com/by สาระแห่งสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #329 เมื่อ: กันยายน 12, 2013, 01:01:47 PM »

***แก้ไอด้วยสมุนไพร***

อาการไอเป็นอีกอาการหนึ่งที่มักเป็นควบคู่กับอาการอื่นๆ และทรมานผู้ป่วยมาก ทั้งก่อให้เกิดอาการไอจนนอนไม่หลับ แต่การไอจะช่วยขับสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่ในระบบหายใจ ซึ่งก็คือเสมหะนั่นเอง ถ้าไอเรื้อรังไม่หายสักที ก็อาจเกิด...จากหลายสาเหตุ อาการไอก็มีทั้งไอแห้งและไอที่มีเสมหะ

เราลองมาดูว่าโบร่ำโบราณใช้ยาสมุนไพรอะไรบ้างเป็นยาแก้ไอ ซึ่งจำแนกได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่มีสารสำคัญเป็นน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ ขิง กระเทียม ดีปลี กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่มีสารสำคัญเป็นกรด คือ รสเปรี้ยว ตามสรรพคุณยาไทย รสเปรี้ยวบำรุงธาตุน้ำ กัดเสมหะ ฟอกโลหิต ได้แก่ มะนาว มะขามป้อม กลุ่มที่ 3 กลุ่มสมุนไพรอื่นๆ ได้แก่ มะแว้งเครือ มะแว้งต้น เพกา มะเขือแจ้

-มะนาว
เป็นยาสมุนไพรครอบจักรวาลก็ว่าได้มีสรรพคุณมากมาย และยังเป็นสมุนไพรที่หาง่าย แต่บางฤดูกาลก็มีราคาแพงสูงถึงลูกละ 10 บาท เมื่อมีอาการไอระคายคอมักได้รับคำแนะนำให้ฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ หรือหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าชิ้นเล็กๆ จิ้มเกลือ อมทิ้งไว้สักครูแล้วเคี้ยวกลืน หรือใช้น้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นผสมเกลือเล็กน้อยใช้จิบ ช่วยป้องกันไข้หวัดได้ด้วย หรือตำรับเก่าแก่ของมนุษย์ทั้งโลกใช้คือใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งจิบแก้ไอ

-มะขามป้อม
ใช้ แก้ไอแห้ง ไม่มีเสมหะ มีอาการริมฝีปากแห้ง และรู้สึกร้อนในอก ไอที่มาจากทรวงอกจนเจ็บชายโครง หรือไอมานานแล้วไม่หาย ใช้ผลสดตำคั้นเอาน้ำดื่มหรือจิบ หรือใช้ผลสดต้มกับน้ำตาลทรายแดง มะขามป้อมมีรสฝาดเปรี้ยวหลังจากกลืนลงคอไปแล้วจะมีรสหวานชุ่มชื่นคอม

-ขิง
รักษาอาการไอและขับเสมหะ หรือมีเสลดติดที่หลอดลมมากๆ ขิงจะช่วยให้หลอดลมขยายขึ้น และขับของเหนียวข้นออกมาได้ง่าย ให้ใช้เหง้าขิงสด ประมาณ 60 กรัม น้ำตาลทราย 30 กรัม ใส่น้ำ 3 แก้ว นำไปต้มให้เหลือครึ่งแก้ว แล้วจิบกินตอนอุ่นๆ หรือใช้ฝนกันน้ำมะนาวแทรกเกลือใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ ใช้รักษาอาการไอเรื้อรัง ให้เอาน้ำที่คั้นจากเหง้าสด ประมาณ 1 ลิตร ผสมน้ำผึ้งประมาณ 500 กรัม เคี่ยวในกระทะทองเหลือง ทำจนน้ำระเหยไปหมด แล้วจึงเอามาปั้นเป็นเม็ดเท่าลูกพุทราจีนใช้อม

-มะแว้ง ต้น/เครือ
ปัจจุบันมะแว้งได้รับการพัฒนาจากองค์การเภสัชกรรม ผลิตและจำหน่ายยาอมมะแว้ง สรรพคุณช่วยแก้ไอและชุ่มคอ แต่เราสามารถใช้ในรูปของอาหารและยาได้ โดยใช้ผลสดตำกับน้ำพริกหรือใช้รับประทานเป็นผักเคียงกับน้ำพริก ถือเป็นการใช้ในรูปแบบอาหารเป็นยา หรือใช้ผลมะแว้งเครือ/ต้นสด 5-6 ผล ล้างให้สะอาดเคี้ยวอมไว้ กลืนเฉพาะน้ำจนหมดรสขมแล้วคายทิ้ง หรือใช้ผลสด 5-10 ผล โขลกพอแตกคั้นเอาแต่น้ำใส่เกลือเล็กน้อย จิบบ่อยๆ เวลาไอ

-กระเทียม
ใช้กระเทียมและขิงสดอย่างละเท่ากัน ตำละเอียดละลายกับน้ำอ้อยสด คั้นน้ำจิบแก้ไอขับเสมหะและทำให้เสมหะแห้งหรือคั้นกระเทียมกับน้ำมะนาวเติม เกลือใช้จิบหรือกวาดคอก็ได้ กระเจี๊ยบแดง ใช้กลีบเลี้ยงดอกสดหรือแห้งประมาณ 1-2 กรัมมือต้มกับน้ำ เติมน้ำตาลและเหลือใช้จิบบ่อยๆ ช่วยให้ชุ่มชื้นคอ ดีปลี ใช้แก้อาการไอมีเสมหะ ควรใช้ดีปลีประมาณครึ่งผล ตำละเอียดเติมน้ำมะนาวและเกลือเล็กน้อย กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ

-มะขาม
ใช้กัดเสมหะเอามะขามเปียก 3 กรัม จิ้มเกลือรับประทาน หรือนำมะขามเปียกมาต้มกับน้ำ เติมน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย จะได้ยาขับเสมหะที่มีรสกลมกล่อม ข้อควรระวัง มะขามเปียกมีฤทธิ์เป็นยาระบายด้วย จึงไม่ควรรับประทานมากเกินไป

-มะเขือแจ้หรือมะเขือขื่น
อาจไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เพราะเรามักจะบริโภคมะเขือเปราะมะเขือยาวมากกว่า มะเขือแจ้เมื่อผลแก้จัดมีสีเหลือง นิยมทานกับน้ำพริก ก่อนเอามาทานจะเอามาแช่น้ำเกลือก่อนเพื่อให้กรอบและทานง่าย ถ้าไอเรื้อรังยาวนานหรือไอถึงขั้นปัสสาวะรด ใช้ยาตัวนี้โดยเอารากมาล้างให้สะอาดแช่น้ำฝนหรือน้ำต้มสุกใช้ดื่ม วันแรกอาจดูเหมือนดื่มน้ำเปล่า แต่พอวันที่ 2-3 ตัวยาจะมีรสขมขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจลดปริมาณน้อยลง และจะช่วยให้อาการไอมานานนับเดือนนั้นหายเป็นปลิดทิ้ง


ที่มา : kroobannok.com/by สาระแห่งสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 20 21 [22] 23 24 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: