Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 21 22 [23] 24 25 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75453 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #330 เมื่อ: กันยายน 12, 2013, 01:21:25 PM »

***ไม่ใช้วัตถุกันเสีย...จริงหรือ ??***

ปัจจุบันผู้บริโภคตื่นตัวและหันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น และเน้นอาหารที่มาจากธรรมชาติ หรือมีกระบวนการที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติมากขึ้น คือไม่ปรุงแต่งสารใด ๆ ลงไป แต่ยังมีผู้ค้าบางรายอาศัยช่องโหว่และความเจ้าเ...ล่ห์ในการค้าขาย โดยระบุข้างฉลากว่า "ไม่ใส่สารกันสีย/บูด" แต่จริง ๆ แล้วแอบใส่ลงไปในอาหารเพื่อทำให้อาหารนั้นมีอายุสินค้าที่ยาวนานมากขึ้น

สารกันบูดในเมืองไทยมีอะไรบ้าง
สารกันบูดตามประกาศกองควบคุมอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา อนุญาตให้ใช้ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 281) พ.ศ.2547 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร แบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

1. กลุ่มของกรดอ่อนและเกลือของกรดอ่อน (acid and its salts) นิยมใช้กันมากในระดับอุตสาหกรรม เพราะมีความเป็นพิษน้อยและละลายน้ำได้ดี สารกันบูดในกลุ่มของกรดอ่อน ได้แก่ กรดซอร์บิก กรดเบนโซอิก กรดโปรปิโอนิก ที่นิยมใส่ในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ กรดฟอร์มิก และกรดอะซีติก ที่ให้ความเปรี้ยว ส่วนเกลือของกรดอ่อน ได้แก่ โซเดียมซอร์เบต โพแทสเซียมซอร์เบต โซเดียมเบนโซเอต โพแทสเซียมเบนโซเอท และโซเดียมอะซีเตท ซึ่งมีประสิทธิภาพดี ในอาหารที่มีความเป็นกรดสูง หรือมีค่า pH ต่ำ อนุญาตให้ใส่ในอาหารหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น แยม เยลลี่ ผักผลไม้ดอง รวมทั้งเครื่องดื่ม น้ำหวาน น้ำอัดลม

2. กลุ่มของไนเตรตและไนไตรท์ (nitrate and nitrite) นอกจาก
คุณสมบัติเป็นสารกันบูดแล้ว ยังมีคุณสมบัติเป็นสารตรึงสีหรือเรียกง่ายๆ ว่าดินประสิว เช่น โซเดียมไนเตรต โซเดียมไนไตรท์ อนุญาตให้ใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์หมักต่างๆ เช่น แฮม ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง เบคอน หรือผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์หมักที่ผ่านกรรมวิธีบรรจุกระป๋อง

3. กลุ่มของซัลไฟต์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (sulfites and sulfur dioxide) เป็นสารที่ใช้ป้องกันการเกิดสีน้ำตาลอันเป็นผลจากอาหารทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ โดยซัลเฟอร์ไดออกไซด์หรือสารฟอกสี อนุญาตให้ใช้ในผลิตภัณฑ์พืชผักผลไม้ชนิดแห้งและแช่อิ่ม ไวน์ เครื่องดื่ม น้ำตาลทราย วุ้นเส้น เส้นหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว ส่วนกลุ่มของสารประกอบซัลไฟต์ อนุญาตให้ใช้ในพืชผักผลไม้แห้งและแช่อิ่ม ได้แก่ โซเดียมซัลไฟต์ โซเดียมไบซัลไฟต์ โซเดียมเมตาไบซัลไฟต์ และแคลเซียมไบซัลไฟต์

4. กลุ่มอื่นๆ ที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ของต่างประเทศ เช่น ไนซิน ที่ใส่ในชีสบางชนิด โพรพิลพาราเบน เมทิลพาราเบน เอทิลพาราเบน ที่ใช้เฉพาะในแยมและเยลลี่ ไพมาริซิน ใช้เฉพาะที่ผิวของเนยแข็ง และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์หมักเกลือที่ผ่านหรือไม่ผ่านความร้อน

อาหารชนิดใดที่เต็มไปด้วยสารกันบูด
อาหารที่มักมีสารกันบูดเพื่อยืดอายุการบริโภค ได้แก่ อาหารที่มีปริมาณน้ำอิสระ (water activity) สูง เช่น ผลิตภัณฑ์จากแป้ง ไม่ว่าจะเป็นไม่ว่าจะเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว โดยเฉพาะเส้นสด เช่น เส้นเล็กและเส้นใหญ่ ขนมจีน วุ้นเส้น ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่บางชนิด ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ทั้งลูกชิ้น หมูยอ ไส้กรอก ผลิตภัณฑ์จากผักผลไม้ เช่น ผักผลไม้ดอง พริกแกง เครื่องดื่มบางชนิด เป็นต้น

หากจะกล่าวว่ากว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของอาหารที่จำหน่ายในท้องตลาดทั้งชนิดสด แห้ง หรือบรรจุกระป๋อง ล้วนผ่านกระบวนการป้องกัน หรือชะลอการเน่าเสียมาแล้วทั้งสิ้นก็ย่อมได้ แต่ใช่ว่าหมูยอทุกยี่ห้อจะมีสารกันบูด ไม่ได้หมายความว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวทุกเจ้าจะปนเปื้อนสารเคมี หรือแม้แต่อาหารทุกกระป๋องก็ไม่ได้มีวัตถุกันเสีย เพราะในผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีขั้นตอนการผลิต ฆ่าเชื้อและบรรจุภัณฑ์สะอาดได้มาตรฐานก่อนถึงมือผู้บริโภคก็ไม่จำเป็นต้องใช้สารกันบูดเพื่อยืดอายุอาหารแต่อย่างใด

อันตรายจากสารกันบูด
สารกันบูดแต่ละชนิดที่อนุญาตให้ใส่ในอาหารมีความปลอดภัยระดับหนึ่ง เนื่องจากผ่านการทดสอบทางด้านพิษวิทยาและการประเมินความปลอดภัยแล้ว แต่ก็ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าอาหารที่คุณซื้อใส่สารกันบูดในปริมาณที่ถูกต้องและเหมาะสมกับชนิดอาหาร แม้สารกันบูดบางชนิดจะระเหยได้เมื่อผ่านความร้อน แต่การบริโภคอาหารที่มีสารกันบูดเป็นประจำอาจส่งผลให้ร่างกายขับออกไม่ทัน กลายเป็นสารพิษตกค้างสะสมและนำมาซึ่งความเจ็บป่วยได้

พิษเฉียบพลัน คือ กรณีที่ได้รับสารกันบูดปริมาณมากเข้าสู่ร่างกาย เช่น การได้รับกรดเบนโซอิกจากเส้นก๋วยเตี๋ยวในปริมาณสูง อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย วิงเวียน และปวดศีรษะได้ หรือการบริโภคอาหารที่มีปริมาณไนเตรตไนไตรท์สูงมาก อาจทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงช็อกเฉียบพลัน (methemoglobin) คือ โมเลกุลของฮีมหรือสารสีแดงในเม็ดเลือดไม่สามารถจับกับออกซิเจนได้ ทำให้ไม่มีออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ จนทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ หายใจไม่ออก ตัวเขียว เป็นลม และหมดสติได้ในที่สุด อาการนี้จะอันตรายมากหากเกิดในเด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภาวะซีดหรือมีโรคเลือด

พิษกึ่งเรื้อรังและพิษเรื้อรัง เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีสารกันบูดในปริมาณไม่สูงสะสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน ตามปกติหากได้รับสารกันบูดในปริมาณไม่สูง ร่างกายสามารถขับออกเองได้ แต่ถ้าได้รับทีละน้อยแต่ยาวนานอาจก่อให้เกิดพิษเรื้อรัง นอกจากนี้วัตถุกันเสียบางชนิด เช่น กลุ่มของไนเตรตไนไตรต์ สามารถทำปฏิกิริยากับสารประกอบเอมีนและเอไมด์ในเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาในสภาวะที่มีความเป็นกรดเหมาะสม เช่น ภายในกระเพาะอาหาร ก่อให้เกิดสารประกอบไนโตรโซ ซึ่งหลายชนิดจัดเป็นสารก่อมะเร็ง

แนวทางรับมือสารกันบูดในอาหาร
ในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธสารกันบูด อีกทั้งการจะตรวจดูว่าอาหารที่ซื้อมานั้นมีสารกันบูดหรือไม่คงต้องส่งตรวจในห้องแล็ปเพียงอย่างเดียว แต่จะทำอย่างไรให้ร่างกายได้รับอันตรายจากสารกันบูดน้อยที่สุด ลองดูคำแนะนำดีๆ จากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลกันค่ะ

1. เลือกซื้ออาหารที่มีบรรจุภัณฑ์ และมีฉลาก ระบุผู้ผลิต สถานที่ผลิตชัดเจน ระบุวันผลิต และวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ มีเครื่องหมายและเลขสารบบอาหารของ อย.

2. เลือกซื้ออาหารกับแหล่งจำหน่ายที่มีระบบการตรวจสอบสินค้าที่เหมาะสม ผลิตภัณฑ์อาหารบางชนิดจำเป็นต้องมีการควบคุมอุณหภูมิ เช่น ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ ได้แก่ หมูยอ ลูกชิ้น ควรเลือกซื้อกับผู้จำหน่ายที่มีการใช้ความเย็นในการควบคุมอุณหภูมิสินค้าขณะจำหน่าย

3. บริโภคอาหารหลายชนิดหมุนเวียนกันไป เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมสารพิษตกค้าง เพราะร่างกายคนเรามีกลไกขับสารพิษทางระบบขับถ่าย หากได้รับสารพิษในปริมาณไม่มากและไม่บ่อย

4. รับประทานผักผลไม้สดเป็นประจำ นอกจากใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย วิตามินบางชนิดและสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติยังทำปฏิกิริยาต้านการเกิดมะเร็งได้ด้วย

5. หลีกเลี่ยงอาหารปรุงสำเร็จ หรืออาหารพร้อมบริโภคบรรจุกล่องที่ไม่ได้ขายหมดวันต่อวัน เพราะอาหารเหล่านี้หากไม่บรรจุในภาชนะปิดสนิทหรือเก็บในที่รักษาอุณหภูมิ อาจบอกได้ว่ามีสารกันบูดเจือปนในปริมาณมาก

6. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีสดเกินไป เช่น เนื้อสัตว์สีแดงสด เพราะสีสันน่ากินเหล่านั้นล้วนมาจากสารตรึงสีที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้


7. ปรุงอาหารสดใหม่รับประทานเอง หากเป็นไปได้ควรทำอาหารกินเองบ้าง เพื่อให้แน่ใจว่าวัตถุดิบที่นำมาปรุงมีความสด สะอาด และปลอดภัยจากสารเคมี

ที่มา : womenthaiza.com


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #331 เมื่อ: กันยายน 21, 2013, 09:15:59 AM »

***ดูแลสุขภาพ 4 ช่วงวัย***

การดูแลสุขภาพให้ครอบคลุมทุกช่วงอายุ จะเน้นการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค
โดยเด็กเล็ก เน้นในเรื่องพัฒนาการและการเรียนรู้

วัยรุ่น เน้นทางด้านจิตใจและสังคม วัยทำงาน เน้นการดูแลพฤติกรรมเสี่ยง

ส่วนผู้สูงอายุ เน้นการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทั้ง 4ช่วงวัยมีสุขภาพดี ดังนี้

ช่วงวัยที่ 1อายุ 0-6 ปี
จะเริ่มจากหญิงตั้งครรภ์ควรไปฝากครรภ์ และตรวจสม่ำเสมอ
เพื่อให้ทารกในครรภ์ได้รับการดูแล และคลอดอย่างปลอดภัยโดยแพทย์
หลังคลอดจนถึงอายุ 6 ปี ต้องได้รับวัคซีนพื้นฐานครบถ้วน
และได้รับการตรวจทางด้านพัฒนาการ การเรียนรู้ และพฤติกรรมต่างๆ

ช่วงวัยที่ 2วัย 7-18 ปี
สิ่งสำคัญคือ การเตรียมตัวให้วัยนี้เป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงทางด้านร่างกาย
และจิตใจ มีอารมณ์ที่แจ่มใส มีภูมิคุ้มกันทางความคิดสามารถดูแลตนเองให้ห่างไกลจากยาเสพติด
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมในวัยรุ่น เพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไป

ช่วงวัยที่ 3 อายุ 19-60 ปี
เป็นวัยทำงาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวถึง 40 ปี มักมีเวลาในการดูแลสุขภาพตนเองน้อย
ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ โดยมักเป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น
โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคจาก บุหรี่ สุรา หรือ โรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เช่น
ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ โรคเครียด เป็นต้น

จึงจำเป็นต้องตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ เพื่อให้เข้าสู่วัย 60 ปี เป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี

ช่วงที่ 4 อายุตั้งแต่ 60ปีขึ้นไป
วัยนี้ถือเป็นวัยสูงอายุ นอกจากมีความเสื่อมถดถอย
สำหรับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ควรรับการตรวจรักษาสม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองหากมีอาการผิดปกติควรพบแพทย์
เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ก็จะทำให้มีสุขภาพดีได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับผู้สูงอายุทั่วไป
ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายทุกวัน
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส ไม่เครียด


ที่มา : นพ.สมบูรณ์ อินทลาภาพร/สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ/by สาระแห่งสุขภาพ
— with Punyasuk Leeprasert, Trisit Charoenchiengchai, ไตรสิทธิ่ เจริญเจียงชัย and รักนะ จุ๊บๆ.



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #332 เมื่อ: กันยายน 29, 2013, 07:23:08 PM »

"วัยรุ่นติดโทรศัพท์" ... เตือนไม่ฟัง ยั้งไม่ได้ ....ให้ดูตัวอย่างนี้..!!..





* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


.. สมองของมนุษย์จะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อถูกกระตุ้นจากสัญญาณโทรศัพท์..!!..
"ซาแมนต้า มิลเลอร์" เป็นเนื้องอกตรงกกหูจุดสัมผัสคลื่นมือถือ
หลังจากที่เธอติดโทรศัพท์งอมแงมและเสียชีวิตในวัยเพียง 17 ปี

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

แม่ของเธอกล่าวว่า ลูกสาวเสียชีวิตด้วยโรคเนื้องอกในสมอง
จากการใช้โทรศัพท์มือถือทุกวัน เพียงไม่ถึงปีหลังจากที่ เธอซื้อ โทรศัพท์ Samantha
เริ่มบ่นว่ามีอาการปวดหัว มีเสียงในหูและใบหน้าชา
แพทย์วินิจฉัยว่า เธอเป็นเนื้องอกในสมอง และ หลังจากการต่อสู้ยื้อชีวิตได้ 15 เดือน
เธอก็จากครอบครัวไปอย่างไม่มีวันกลับ ก่อนการฉลองวันเกิดครบ 18 ปีของเธอ ....

ครอบครัวของเธอ พ่อแม่ น้องชายและ น้องสาว ได้เลิกใช้โทรศัพท์มือถือทันที ..!!..

ซาแมนต้า ช่างคุยและติดโทรศัพท์ คุยได้ทั้งวันทั้งคืน กับเพื่อนกับแฟน
จนกระทั่งเริ่มมีอาการปวดหัว เพราะเธอ ใช้เวลามาก ในการคุยโทรศัพท์

ทางโรงพยาบาลวินิจฉัยว่ามี เนื้องอกในขั้นอันตราย ซาแมนต้า
ใช้เวลาหลายสัปดาห์ สุดท้ายของเธอ
ต้องนั่งอยู่ในรถเข็นเพราะเป็นอัมพาต

ซาแมนต้า เป็นมะเร็งตรงจุดที่เสาอากาศปล่อยสัญญาณไปที่หัวของเธอ
เธอถือโทรศัพท์ ในตำแหน่งใกล้เคียงกับหู ทำให้รังสีตรงเข้าไปในสมองของเธอ

การวิจัย โดย ดร. อลัน พรีซ ที่ มหาวิทยาลัยบริสต์
ได้ให้การสนับสนุน ต่อความเชื่อที่ว่าคลื่นโทรศัพท์มือถือ ไม่ปลอดภัย ในการศึกษา
ดร.พรีซ ได้ระบุว่า สมองของมนุษย์ สามารถเปลี่ยนแปลง โดยการ ใช้ไฟฟ้ากระตุ้น
จากการทดลองกับปลาหมึก
คลื่นมือถือทำให้ปลาหมึกเปลี่ยนสี เมื่อได้สัมผัสสัญญาณโทรศัพท์

( Leo Paul )

http://www.dailymail...ame-mobile.html
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #333 เมื่อ: กันยายน 29, 2013, 07:29:23 PM »

« Older EntriesNewer Entries »Superfoods Rx กับประโยชน์ทางโภชนาการ



Superfoods Rx คือการกินอาหารซูเปอร์ฟู้ดส์บางชนิดร่วมกัน เพื่อให้เกิดคุณประโยชน์ทางโภชนาการมากกว่าการกินเพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง แนวคิดนี้เกิดมาจาก มร.สตีเวน แพรทท์ กรรมการผู้จัดการ ผู้ก่อตั้งซูเปอร์ฟู้ดส์ พาร์ตเนอร์ แอลแอลซี และผู้เขียนหนังสือ “SuperFoods Rx : Fourteen Foods That Will Change Your Life” ซึ่งกำลังได้รับความสนใจทั่วโลกอยู่ในขณะนี้

ตัวอย่างการกินแบบ Superfoods Rx

อะโวคาโด เพิ่มการดูดซับสารต้านอนุมูลอิสระจากซูเปอร์ฟู้ดส์อย่างผักโขมและมะเขือเทศ

เครื่องปรุงรสเผ็ด เช่น พริกไทยดำโรยบนอาหาร เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ของอาหารซูเปอร์ฟู้ดส์ เช่น ผักโขม ถั่ว เบอร์รี่ ต่าง ๆ ชาเขียว และ บรอกโคลี

อบเชยและเมล็ดข้าว เช่น ข้าวโอ๊ต เมื่อกินรวมกันช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

วอลนัท รับประทานผลวอลนัทเพียงหนึ่งกำมือหลังอาหาร จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น

น้ำผึ้ง ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับแบคทีเรีย ชนิดที่มีอยู่ในโยเกิร์ต

บลูเบอร์รี่ แซลมอน อะโวคาโด และผักโขม ล้วนเป็นอาหารบำรุงสมอง เมื่อกินรวมกันจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบสมองได้ดีขึ้น

ข้อมูลข้างต้นคัดลอกจากหนังสือ Health&Cuisine ค่ะ

หลายคนที่ได้อ่านต้องร้อง อ๋อ… ว่าคุ้น ๆ ซะเหลือเกินกับความคิดที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจนี้ ก้อยเองก็คุ้น ๆ ค่ะ คุ้นว่าอาหารไทยของเราก็มีลักษณะนี้เช่นกัน แต่เรากินแบบนี้จนเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีการวิจัยจริงจังว่าทำไมคนโบราณทำอาหารแบบนี้ เรามีอาหารเป็นยามานานหลายชั่วอายุคน แต่เราไม่ได้ใส่ใจ พอตะวันตกตื่นตัวเรื่องนี้ ตื่นเต้นกับอาหารไทยที่อุดมไปด้วยสมุนไพร คนไทยจึงเริ่มตื่นตัว ช่างเป็นเรื่องน่าอายมั้ยคะ

เก็บเรื่องน่าอายไว้ก่อนก็แล้วกัน … อะไรที่ดีเราก็ต้องว่าดี ถ้าของ ๆ เราดีอยู่แล้ว เราก็ต้องสนับสนุนให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และเรื่องของอาหารการกินก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายเราแข็งแรง ยังไม่สายนะคะที่จะเลือกกินสิ่งที่มีประโยชน์กับร่างกาย…You are what you eat… ยังเป็นคำที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยค่ะ

   Share this: » Share»
  » Facebook» Email» » Twitter» Print» » Google»   
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #334 เมื่อ: กันยายน 29, 2013, 07:39:04 PM »

Forward mail ดีดี ที่อยากให้ทุกคนได้อ่านค่ะ
Healthy Tip



1.   การดื่มน้ำปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็ว อาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอกเซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปเพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว

2.   การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย เพราะความหิวกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน

3.   ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลัง เพราะคาเฟอีนลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นและมีฤทธิ์ลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ

4.   วิธีง่ายๆในการดูแลสุขภาพ คือ หลังจากตื่นนอนทุกเช้า จะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอ๊ปเปิ้ล ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1 : 1 ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่ายและมีรสชาติดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย แต่โรคบางโรคอาจเกิดจาก สุขภาพจิตที่อ่อนแอ ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจังหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน

5.   การนอนดึกคืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้นาฬิกาชีวภาพของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่ เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในการทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย

6.   แสงแดดยามเช้าไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น แต่การออกกำลังกายกลางแดดใน ช่วงเวลาดังกล่าวยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย

7.   ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด ฉะนั้นเราต้องปรับความคิดใหม่ และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง และรับประทานอาหารดีๆ

8.   แอ๊ปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์ แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้เพราะบูดง่ายในลำไส้ อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

9.   การไอเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แค่นี้ก็หายแล้ว

10.   การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี แถมอายุยังน้อย ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง

11.   เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวมให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที แล้วขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลัง เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบาๆ เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้องแขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น

12.   ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน และรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

13.   ผู้ที่รับประทานไข่เป็นเวลา 8 อาทิตย์ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง

14.   การรับประทานอาหารไปดูหนังไป ทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย

15.   เสียงเพลงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรา ยิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่งกระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น

16.   การดื่มน้ำ(เปล่า)เย็น 50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1 ถ้วย) จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก

17.   การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนัก และพิลาทิส ควบคู่กันไปจะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง และการรับประทานอาหารมื้อย่อยๆ 5 มื้อต่อวัน โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้ จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม

18.   ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศ ซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้นเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

19.   รับประทานแอ๊ปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญใน การลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง การรับประทานสับปะรดและมะละกอก่อนอาหารประมาณ 2-3 ชิ้น ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น

20.   หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไป ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่นมะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

21.   สำหรับหนุ่มเจ้าสำราญ ที่ชอบปาร์ตี้หามรุ่งหามค่ำ ก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยการนอนหลับให้นานหน่อย อีกวิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองคือมีแฟนเด็ก จะได้มีแรงกระตุ้นให้เราทำตัวเด็กตาม ต้องดูดีตลอดเวลา เพราะฉะนั้นอบายมุข การเที่ยวกลางคืนก็เป็นอันต้องงด

22.   การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเกมที่ต้องใช้สมาธิ ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ เกมอื่นๆ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน

23.   การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

24.   ก่อนตั้งครรภ์ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน 1. ดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม วิตามินต่างๆ ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาดๆ 2. ระวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา 3.ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4. ออกกำลังกายที่เหมาะสม

25.   ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ไม่ควรรับประทานผลไม้อีก เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

   
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #335 เมื่อ: กันยายน 29, 2013, 07:51:49 PM »

6 สูตรล้างพิษง่าย ๆ ในวันหยุด
พูดถึงการถือศีลอดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะต่อเรื่องการล้างพิษ…เครดิตจากนิตยสาร Health & Cuisine ค่ะ

1. ล้างพิษด้วยน้ำผลไม้ สูตรนี้ง่ายมาก ๆ แค่ดื่มน้ำผักหรือผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน และควรเป็นชนิดที่ไม่หวาน เช่น ฝรั่ง ชมพู่ องุ่น มะเขือเทศ และ เซเลอรี่ วิธีนี้จะทำให้ร่างกายดึงพลังงานเก่าออกมาใช้ สารพิษที่ตกค้างจึงถูกขจัดออกมาได้ง่ายด้วยกากใยของน้ำผักผลไม้

2. กิน 2 มื้อ คือการรับประทานอาหารตามปกติในมื้อเช้าและกลางวัน ส่วนมื้อเย็นเปลี่ยนเป็นเมนูผลไม้ไม่หวานหนึ่งจานเล็ก เป็นวิธีง่าย ๆ สำหรับผู้ที่เริ่มเข้าสู่การล้างพิษ

3. การอดล้างพิษ 1 วัน โดยการรับประทานอาหารตามปกติ แต่ไม่ให้ร่างกายได้รับพลังงานเกิน 800 กิโลแคลอรีเมื่อจบโปรแกรม เช้าวันรุ่งขึ้นหลังตื่นนอนให้ดื่มน้ำผสมเกลือและน้ำมะนาว สารพิษจะถูกขับออกมาพร้อมการขับถ่าย

4. การอดล้างพิษระยะสั้น + การสวนกาแฟ โดยรับประทานผลไม้ที่ไม่หวานจัดเพียงชนิดเดียวตลอดทั้งวัน เพื่อไม่ให้ร่างกายใช้พลังงานในการย่อยมาก วันรุ่งขึ้นรับประทานอาหารตามปกติและสวนกาแฟ ทำสลับไปตลอดสัปดาห์ ร่างกายจะกระปรี้กระเปร่า วิธีนี้เหมาะกับคนที่สุขภาพแข็งแรง แต่ต้องการทำความสะอาดภายในร่างกาย

5. การสวนกาแฟ โดยใช้ชุดสวนกาแฟ ทำวันละครั้ง วันเว้นวัน ทำต่อเนื่องจนรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงสดชื่นขึ้น จึงค่อยเว้นระยะห่างทำนาน ๆ ครั้ง เหมาะสำหรับคนที่เจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ภูมิแพ้ชนิดไม่รุนแรง เป็นต้น

6. การอดล้างพิษต่อเนื่อง เริ่มด้วยการอดล้างพิษหนึ่งวันทุก ๆ สัปดาห์ติดต่อกัน เมื่อครบ 6 เดือนให้อดอาหาร รับประทานแต่ผักอย่างต่อเนื่อง 10 วัน แล้วเริ่มต้นโปรแกรมใหม่อีกครั้ง ทำจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยหนัก เช่น โรค SLE ภูมิแพ้ขั้นรุนแรง เป็นต้น

…เลือกปฏิบัติตามความชอบและความเหมาะสมของสภาพร่างกายนะคะ ให้รางวัลกับร่างกายของตัวเองบ้าง ดีกว่าการอ้างว่าให้รางวัลกับตัวเองโดยการสรรหาร้านอร่อย หรือ ซื้อเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ฯลฯ ให้สุขภาพที่ดีดีกว่านะคะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #336 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2013, 06:25:45 PM »

Cultured Beef


Cultured Beef คือเนื้อในหลอดทดลองเป็นเนื้อที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื้อ ซึ่งเนื้อดังกล่าวจะใช้แทนที่เนื้อแฮมเบอร์เกอร์ เป็นวิธีการที่ได้เนื้อมาโดยไม่ต้องฆ่าวัวและเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มีมากขึ้นในอนาคตข้างหน้า เมื่อ 5 สิงหาคมที่ผ่านมาเนื้อถูกนำออกมาให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ชิมกันซึ่งผลปรากฏว่ามีรสชาติคล้ายกับเนื้อมากๆ



www.nextsteptv.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #337 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2013, 06:30:56 PM »




น้ำมะพร้าว" เอนเนอจี้ดริ้งค์ (energy drink)จากธรรมชาติ
มะพร้าวถือเป็นพืชที่ปลอดสารพิษชนิดหนึ่ง เนื่องจากเกษตรกรมีการใช้สารเคมีในการปลูกมะพร้าวน้อยมาก ในส่วนของน้ำมะพร้าวอ่อนนั้น มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะประกอบไปด้วย แคลเซียม โพแทสเซียม ...แมกนีเซียม วิตามินซี บี2 บี5 และบี6 กรดโฟลิก กรดอะมิโน และฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง แถมมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีน้ำมะพร้าวยังมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง แถมการดื่มน้ำมะพร้าวเป็นประจำยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
ฮอร์โมนเอสโตรเจนในน้ำมะพร้าว ยังช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ชะลอริ้วรอยก่อนวัย และยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย จึงช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส
เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นเครื่องดื่มเติมพลังหลังจากเสียเหงื่อ เสียน้ำ เสียเกลือแร่ ยิ่งในประเทศไต้หวันและจีน นิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย
วิธีการดื่มน้ำมะพร้าวให้ได้ประโยชน์สูงสุด ต้องดื่มทันทีเมื่อเปิดลูกแล้วไม่ควรทิ้งไว้นาน โดยเฉพาะในอุณหภูมิห้อง เพราะในน้ำมะพร้าวมีน้ำตาลและแร่ธาตุที่เป็นปัจจัยในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้ดี หากเปิดลูกแล้วทิ้งไว้ อาจทำให้น้ำมะพร้าวนั้นเปรี้ยว และเสื่อมเสียจากจุลินทรีย์ได้

www.nextsteptv.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #338 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2013, 08:41:42 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #339 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2013, 08:42:40 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #340 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2013, 07:53:43 AM »

เบื้องหลังครีมกันแดด ที่คุณอาจไม่รู้



สมัยนี้ การทาครีมกันแดดนับว่าเป็นเรื่องสำคัญที่คุณสาวๆ ที่รักผิวนั้นจะพลาดไม่ได้เลย เพราะหากผิวของคุณนั้นถูกทำร้ายจากแสงแดดแล้วล่ะก็ การฟื้นฟูให้กลับมามีผิวสวย สุขภาพดีจะต้องใช้เวลา

แต่ในการใช้ครีมกันแดดนั้น ก็อาจจะก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้นลองมาดูกันว่า เบื้องหลังครีมกันแดด ที่คุณสาวๆ ควรรู้นั้น จะมีความสำคัญอย่างไรบ้าง เพราะถ้าคุณอยากเป็น คนมีผิวขาว หน้าใสไร้สิว ก็ถึงเวลาแล้วล่ะ ที่ต้องมาทำความรู้จักวิธีรับมือกับมัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ ที่สามารถทิ้งสารตกค้างเอาไว้ที่ผิวและเกิดการอุดตันได้ง่าย อีกทั้งเมื่อเกิดการสะสมของสารเคมี ก็จะเกิดเป็นผื่นแดดหรือแสดงอาการแพ้ออกมานั่นเอง การเลือกครีมกันแดดนั้น จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับกิจวัตรประจำวันของคุณ หากคุณสาวๆ อยู่ในที่ร่มเสียเป็นส่วนใหญ่ และไม่ค่อยเจอแสงแดดโดยตรงแล้วล่ะก็ ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ก็เพียงพอต่อการกันแดด

แต่หากต้องเจอแดดมากๆ ควรใช้ SPF 30 ขึ้นไป แต่ยิ่งค่า SPF มากเท่าไร โอกาสเกิดการแพ้ก็จะมากตามไปด้วย ส่วนวิธีต่อสู้กับแสงแดดที่ได้ผลที่สุดคือ "หลีกเลี่ยง"

แม้การทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ จะช่วยปกป้องผิวของคุณได้ในระดับหนึ่ง แต่สารตกค้างจากครีมกันแดด อาจทำให้ผิวกร้าน และระคายเคือง คนผิวมันอาจทำให้เกิดสิว และสารกันแดดประเภทออยฟรี ก็มักมีค่า SPF ต่ำ เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดหลีกเลี่ยงแดดจัดมากที่สุดเท่าที่ทำได้ นอกจากนี้ ในครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะมีราคาแพงกว่ามาก หากคุณเลือกใช้ค่า SPF สูงๆ นอกจากที่จะมีเปอเซนต์การป้องกันแสงแดดที่ไม่แตกต่างกันมากเท่าไรแล้ว สารตกค้างจากครีมกันแดด อาจทำให้ผิวกร้าน และระคายเคือง คนผิวมันอาจทำให้เกิดสิว และสารกันแดดประเภทออยฟรี ก็มักมีค่า SPF ต่ำ

เพราะฉะนั้นควรป้องกันก่อนที่จะต้องมาควักเงินรักษาผิวหน้า ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งนอกจากการ “หลีกเลี่ยง” แดดจัดมากที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว ยังควรป้องกันอีกทางหนึ่งคือ การทำความสะอาดครีมกันแดดให้หมดจด ลดโอกาสการอุดตันของสิว และการตกค้างของสารเคมีในครีมกันแดด

ซึ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าอย่าง Provamed Sun Perfect Cleansing Water “โปรวาเมด ซัน เพอร์เฟค คลีนซิ่ง วอเตอร์” ผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นมาสำหรับทำความสะอาด ครีมกันแดด เครื่องสำอางและ สิ่งสกปรกโดยเฉพาะ ด้วยสาระสำคัญ ANTI POLLUTION SYSTEM จะช่วยดักจับเมคอัพ ครีมกันแดด และสิ่งสกปรกที่ตกค้างออกจากรูขุมขนได้อย่างสะอาด ล้ำลึก ในขณะเดียวกันจะเข้าบำรุงผิวหน้า เพิ่มความชุ่มชื่นและยืดหยุ่นกับผิว แลดูสุขภาพดีอีกด้วย เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะดูแลผิวหน้าเมื่อต้องใช้ ครีมกันแดดอีกด้วย 


http://variety.teenee.com/foodforbrain/57038.html
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #341 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 09:27:08 PM »

นานาสาระเพื่อสุขภาพที่ดี



ประโยชน์ของกล้วยหอม..... สารพันสรรพคุณจนน่าทึ่ง

กล้วยหอมเป็นอีกหนึ่งผลไม้ไทยที่มีผลงานวิจัยแล้วว่า เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและสารอาหารต่าง ๆ มากมาย
ที่ร่างกายควรได้รับ และให้พลังงานมากถึง 100 กิโลแคลอรี่ต่อหน่วยเลยทีเดียว
เนื่องจากว่า ในกล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส (sucrose, fructose and glucose)
รวมทั้งเส้นใยอาหารมันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเลยครับ
เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที ไม่ต้องสงสัยเลยนะครับ ...
นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก (เคยเห็นในสนามเทนนิส....
พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ) ยังไม่หมดนะ....
เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์ ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย...มาดูกันครับ

1.ความเศร้าซึม
จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม
พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง
ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

2.pms (premenstrual syndrome)
สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน
อารมณ์จะหงุดหงิดง่ายไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย..เช่นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ

3.โรคโลหิตจาง (Anemia)
ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน)
ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้

4.ช่วยลดความดันโลหิต (Blood Pressure)
กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ เป็นตัวช่วยความดันเลือด
จนกระทั่ง US Food and Drug Administrationอนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดัน
ได้จริง

5.เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power)
ที่อังกฤษในแคว้น Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school
อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า
รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมอง
สดชื่นเขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ

6.อาการท้องผูก (Constipation)
เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดี

7.เมาค้าง (Hangovers)
วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้วยหอมปั่น
banana milkshake โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย
ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ ปรับระดับน้ำตาลใน
เส้นเลือดและทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น......

8.ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn)
กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว

9.Morning Sickness
ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีนะ...อาการงี่เง่าตอนเช้าเช่ นไม่อยากจะตื่นบ้าง...ฯลฯ
ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น
มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าว ในตอนเช้าได้

10.บรรเทาแผลยุงกัด
ก่อนที่จะใช้ยาทาลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูก
ยุงกัดจะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง
นั้นจริง ๆ

11.ระบบประสาท (Nerves)
วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด. .....อ่อนล้าได้

12.อ้วนจากทำงานมากเกินไป
ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่าความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ต
และพวกโปเต้โต้ชิปส์มากเกินไปทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆน้อย ๆ
ประมาณทุก ๆ 2 ชม.มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก
13.ลดการเกิดแผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล (Ulcers)
สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เล็กดีขึ้นรวมทั้งกรดต่าง ๆ
ที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะลดการเป็นแผลในกระเพาะได้
14.ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control)
ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับ
และเชื่อว่ามันเป็นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง อย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล้วยหอมเป็นประจำ
เพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล เป็นต้น......so cool....
15.ลดความอยากสูบบุหรี่
สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่ กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12
โปแตสเซียมและแม็กนีเซียมที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็ว




s0 dam! good / กิงซะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #342 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 09:28:41 PM »

ประโยชน์จากกล้วย 4 วัย

กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่ใกล้ชิดคนไทยที่สุด เด็กไทยสมัยก่อนโตมากับกล้วยน้ำว้ากันทั้งนั้น นอกจาก ข้าวสุกบดแล้ว ก็มีกล้วยน้ำว้าเป็นเหมือนอาหารเสริมประจำที่ไม่ต้องซื้อหาเพราะทุกครัวเรือนมีกล้วยปลูกไว้สำหรับเป็นผลไม้ เป็นอาหารและสารพัดขนมกินกันได้ตลอดทั้งปี

การใช้ทำยา/สรรพคุณ/ประโยชน์

- กล้วยดิบ
มีสารฝาดสมานชื่อแทนนิน ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ไม่ให้เชื้อโรคและของรสเผ็ดจัด เช่น พริก เข้าไปทำลายผนังกระเพาะลำไส้ ช่วยแก้ท้องเสีย

วิธีการกินกล้วยเป็นยาก็ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อกินเป็นยาแก้โรคกระเพาะ ควรนำกล้วยดิบมาฝานเป็นแว่นบางๆ แล้วอบให้แห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ห้ามใช้ความร้อนสูงกว่านี้เด็ดขาด เพราะสารในกล้วยมีฤทธิ์รักษาโรคกระเพาะนั้นจะสูญเสียไปหรือหมดฤทธิ์ไปเลยก็ได้ ถ้าโดนความร้อนสูงมากเกินไป กล้วยดิบที่ผ่านการอบอุณหภูมิต่ำแล้ว ให้นำมาบดเป็นผง กินครั้งละ 1 ช้อนชา จะผสมกับน้ำผึ้งหรือไม่ก็ได้ กิน 3 ครั้งก่อนอาหาร กล้วยดิบๆมีฤทธิ์ทั้งป้องกันและรักษาโรคกระเพาะ ส่วนยาแผนปัจจุบันทุกขนานที่ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารนั้นมีฤทธิ์เพียงป้องกันแต่ไม่ช่วยรักษา กล้วยจึงเป็นยารักษาโรคกระเพาะที่มีราคาถูกที่สุด และหาง่ายที่สุด

- กล้วยที่เพิ่งเริ่มสุก(กล้วยห่าม)
เปลือกยังสีเขียวอยู่ประปราย เป็นทั้งยาและอาหารที่ดีมากสำหรับคนท้องเสีย เพราะนอกจากจะช่วยแก้ท้องเสียแล้วยังช่วยหล่อลื่นลำไส้ ช่วยเพิ่มกากเวลาถ่าย กล้วยกึ่งดิบกึ่งสุกยังมีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้นเวลาใช้กล้วย แก้ท้องเสีย ก็เท่ากับให้ธาตุโพแทสเซียมไปในตัวด้วย ตามธรรมดาคนไข้มักสูญเสียธาตุโพแทสเซียมในเวลาท้องร่วง การกล้วยห่ามจึงเป็นการชดเชยธาตุโพแทสเซียมที่เสียไป เพราะถ้าร่างกายสูญเสียธาตุโพแทสเซียมไปมากๆ ขณะท้องร่วง จะทำให้การเต้นของหัวใจผิดปกติในคนชราอาจทำให้หัวใจวายตายได้ ยิ่งไปกว่านั้นกล้วยที่เริ่มสุกจะมีสารเซโรโทนินอยู่มาก ช่วยออกฤทธิ์ กระตุ้นให้ผนังกระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือกมากขึ้น ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร แต่ไม่ช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร

- กล้วยสุก
มีสรรพคุณ ตรงกันข้ามกับกล้วยดิบ คือกล้วยสุกกลับเป็นยาระบายแก้ท้องผูก เพราะมีสาร เพ็กติน อยู่มาก ช่วยเพิ่มกากในลำไส้ กล้วยที่สุกงอมมากๆจะมีฤทธิ์ระบายสูง เพราะมีสารเพ็กติน มากขึ้นนั่นเอง ฤทธิ์ระบายของกล้วยน้ำว้าสุกไม่รุนแรงมากต้องกินเป็นประจำวันละ 5-6 ลูก จึงจะเห็นผล อุจจาระที่ออกมาเป็นสีเหลือง ไม่มีกลิ่นเหม็น การกินกล้วยสุกก็ต้องเคี้ยวให้ละเอียด นานๆ เพราะกล้วยเป็นผลไม้ที่มีแป้งอยู่ถึง 20 -25 % ของเนื้อกล้วย จึงสามารถนำมาเป็นอาหารเสริมให้เด็กเล็กได้ ตามปกติ กระเพาะมีเอนไซม์ย่อยแป้งน้อย การเคี้ยวกล้วยให้แหลกละเอียดจะช่วยแป้งได้มากก่อนกลืนลงกระเพาะ หากกินกล้วยโดยเคี้ยวหยาบๆ จะทำให้ท้องอืด จุกแน่น โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ควรเริ่มให้กินกล้วยสุกเมื่อเด็กเริ่มกินข้าวบดได้ อายุราว 3 เดือน โดยขูดเนื้อกล้วยสุก ( ไม่เอาไส้กล้วยเพราะจะทำให้เด็กท้องผูก ) ให้กินคราวละน้อยๆ ไม่ควรเกินครึ่งช้อนชา วันละครั้ง เพราะเด็กยังมีน้ำย่อยแป้งไม่พออาจเกิดอาการท้องอืดได้ เด็กอายุครบขวบกินกล้วยครั้งละ 1 ลูก วันละครั้งก็พอ

- กล้วยสุกงอม
กล้วยที่สุกเต็มที่จะสร้างสารที่เรียกว่า TNF (Tumor Necrosis Factor) ซึ่งมีความสามารถที่จะไปต่อสู้กับเซลล์ที่ผิดปกติ ยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่ ก็จะเกิดจุดสีดำที่เปลือกมากขึ้น ยิ่งมีจุดดำนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เกิดภูมิต้านทานมากขึ้น ในการทดลองกับสัตว์โดยศาสตราจารย์ญี่ปุ่นผู้หนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ในการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากผลไม้ต่างๆ โดยใช้ กล้วย องุ่น แอปเปิล แตงโม สับปะรด ลูกแพร์ ลูกพลับ ปรากฏว่ากล้วยให้ผลดีที่สุด มันช่วยทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย และสร้างสารต้านมะเร็ง TNF

คำแนะนำคือให้กินกล้วยวันละ 1-2 ใบเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ เช่น หวัด ไข้หวัดใหญ่ และอื่นๆ กล้วยทีมีผิวเหลืองและมีจุดดำๆ หลายๆ แห่งจะมีคุณสมบัติในการเพิ่มเม็ดเลือดขาวได้มากกว่ากล้วยที่มีผิวเขียวถึง 8 เท่า


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #343 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2013, 09:29:33 PM »



คุณสมบัติพิเศษของกล้วยน้ำว้า

ถ้าต้องการ ไม่ให้มีกลิ่นปากและผิวพรรณดี ให้กินกล้วยน้ำว้า หลังตื่นนอนแล้วค่อยแปรงฟัน
ทำอย่างนี้ 1 สัปดาห์ กลิ่นปากจะหายไปผิวพรรณก็ดีขึ้น

เป็นยาอายุวัฒนะโดยใช้กล้วยน้ำว้าสุกงอมปอกเปลือกแช่ในน้ำผึ้งอย่างน้อย 1 สัปดาห์ กินวันละ 1-2 ผล ทุกวัน

กล้วยน้ำว้านอกจากจะช่วยในเรื่องของผิวพรรณแล้ว ยังมีเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งมาบอกให้ทราบกันคือ
เมื่อกินกล้วยน้ำว้าแล้วเปลือกอย่าทิ้งนะค่ะ นำมาขัดรองเท้าโดยเฉพาะรองเท้าหนังสีดำ
หลังจากนั้นก็ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เช็ดออกรับรองค่ะว่ารองเท้ามันวาวแน่นอน

ต่อไปเรื่องของกล้วยคงจะไม่ใช่กล้วยๆ แล้วนะ กินก็ได้รักษาโรคก็ดี แถมทุกส่วนยังใช้ประโยชน์ได้ดีแม้กระทั่งเปลือกของมันค่ะ
๑. แก้บิดมูกเลือด บำรุงโลหิต ใช้น้ำคั้นจากหัวปลี

๒. ขับพยาธิ ใช้หยวกกล้วยเผาไฟ รับประทานขับพยาธิ

๓. สูญเสียน้ำหลังการออกกำลังกายหรืออบตัว รับประทาน กล้วย หอมสุกทดแทน เพราะมีโปแตสเซี่ยมมาก

๔. ทาแก้ส้นเท้าแตก เปลือกกล้วยหอมสุก เอาด้านในทาส้นเท้า แตก

๕. แก้เบาหวาน ใช้หัวปลีย่างไฟรับประทานเป็นประจำ

๖. บำรุงน้ำนม ทำแกงเลียงหัวปลีทานบ่อยๆ ช่วยเพิ่มน้ำหนักนม มารดา คลอดบุตรใหม่ๆ หรือจิ้มน้ำพริกกินบ่อยๆ

๗. แก้ท้องผูกได้ชะงัด ในกล้วยสุกจริงๆ ไม่ถึงกับดำ จะมีสาร เพ็คติน (Pectin) ซึ่งเป็นเส้นใยอ่อนนุ่ม
สามารถกระตุ้นให้เกิดการ ขับถ่ายอย่างดี เพ็คติน จะช่วยเพิ่มกากอาหารในลำไส้ เมื่อกากอาหารมี มาก
ก็จะไปดันผนังลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดถ่ายขึ้นมา

๘. แก้ท้องเสีย ใช้กล้วยดิบหั่นเป็นแว่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง นำมา บดเป็นผง รับประทานครั้งละ ๑ ช้อนกาแฟ
เมื่อมีอาการท้องเสีย กล้วย ดิบมีสารแทนนิน (Tanin) มากช่วยฝาดสมานลำไส้ ลดอาการท้องเสีย ได้ดี

๙. แผลมีเลือดออก ใช้ยางจากก้านใบ นำมาทาแผลสด ที่มีเลือด ไหล ทำให้เลือดหยุด แผลหายเร็ว

๑๐. โรคกระเพาะ ใช้ผงกล้วย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย พอ อุ่น แล้วดื่ม ก่อนอาหาร เช้า-เย็น

๑๑. ถ่ายเป็นบิดมูกเลือด ใช้น้ำคั้นจากหัวปลีดื่ม

๑๒. แก้ผดผื่นคัน ใช้ใบกล้วยต้มอาบ

๑๓. แก้คอพอก ใช้รากกล้วยน้ำว้า ตากแห้งบดเป็นผง ปั้นเป็นเม็ด เท่าเม็ดพุทรา กินครั้งละ ๓ เม็ดก่อนอาหาร เช้า-เย็น

อ้างอิงจาก สารศิลปยาไทย ฉบับที่ ๒๘ สมาคมผู้ประกอบโรคศิลปแผนไทย เชียงใหม่

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.bkk1.in.t...?TopicID=203972
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #344 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2013, 08:11:59 PM »

วิธีใหม่คลายปวดหัว

เวลาปวดหัวคุณจะทำอะไรเป็นอันดับแรกคะ

กินยาพาราเซตามอล แช่น้ำอุ่น จิบน้ำชา หรือบางคนก็แทบจะกระโดดโลดเต้นไปเลยก็มี ปวดหัวเป็นอาการที่แสนจะธรรมดาที่ไม่ธรรมดาค่ะ ว่ากันว่าถ้าปล่อยให้ตัวเองปวดหัวนาน ๆ โดยไม่กินยาหรือคิดว่าทำลืม ๆ คงจะหายไปเอง

อย่าเลยค่ะจะไปทรมานทรกรรมตัวเองทำไมคะ เราจึงเสนอทางเลือกอีกทางให้คุณทำเมื่ออาการปวดหัวกำเริบค่ะ

พอปวดหัวปุ๊บคุณก็เอามือทั้งสองข้างนี้แหละค่ะ บี้ ๆ ถู ๆ ไปที่หู พร้อม ๆ กับหายใจออกแรง ๆ หลาย ๆ ครั้ง วิธีนี้คล้ายกับการกดจุดกดเส้น เป็นการบำบัดโรคด้วยตัวเองเบื้องต้นค่ะ ถ้ายังไงคราวหน้าถ้าปวดหัวขึ้นมาล่ะก็ ลองทำตามวิธีนี้ดูนะคะ รับรองว่าไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 21 22 [23] 24 25 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: