Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75487 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #360 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 06:36:59 PM »

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง



กรมอนามัยเผยถึงผลการวิจัย ของผลไม้ในเมืองไทย ที่มีสารต้านมะเร็งสูง เบต้าแคโรทีน และวิตามินซี เป็นกลุ่มของสารอาหาร ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจกมะเร็ง และหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมาก พอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อ   สุขภาพที่ดี

      ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ

      ผลไม้ที่มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
 6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยมชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต



       ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย ได้แก่

- แก้วมังกร
- มะขามเทศ
- มังคุด
- ลิ้นจี่
- สาลี่
   


      ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ

1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
 4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. พุทรา แอปเปิล



       ผลไม้ที่มีวิตามินที่มีประโยชน์สูง 10 อันดับแรกคือ

1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
 4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่


          ผลไม้ทั้งอร่อยแล้วก็มีประโยชน์ คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะหันมารับประทานผลไม้กัน อย่างจริงจังแล้วนะคะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #361 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 04:34:19 PM »



ชมรมคนหัวเราะที่ฮ่องกง ภาพเดลินิวส์

การหัวเราะแบ่งได้ 2 ประเภท คือ หัวเราะธรรมชาติ เกิดจากถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขัน ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และหัวเราะบำบัด เป็นการหัวเราะแบบรู้ตัว เพื่อใช้ประโยชน์จากการหัวเราะกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เราอารมณ์ดี มีความสุข จนมีนักวิชาการบางท่านนิยามสารชีวเคมีนี้ว่าเป็น "สารสุข"

ข้อดีของการหัวเราะ

การหัวเราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายใน 7 ระบบได้แก่

ระบบทำงานของสมอง การหัวเราะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทสมองส่วนพรีฟรอนทอลคอร์เทกซ์ (prefrontal cortex) บริเวณสมองส่วนหน้า (ซึ่งสมองบริเวณนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมความคิดที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของอารมณ์เชิงบวกและลบ) ที่ทำให้เกิดการหลั่งของสารชีวเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า endorphin ซึ่งเป็นสารชีวเคมีของสมองที่มีฤทธิ์ "เพชฆาตความเจ็บปวด" หรือสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คือในด้านที่ส่งผลทำให้อารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน สมองก็จะมีการถูกกระตุ้นให้มีเพิ่มพื้นที่การประมวลผลความคิดในเชิงบวกและสร้างสรรค์ มีผลทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการบำบัดและฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

ระบบหายใจ (Breathing) ในระหว่างที่หัวเราะร่างกายมีการหายใจเข้า กลั้นหายใจ และหัวเราะ (หายใจออกยาวๆ) ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนถ่ายออกซิเจน ฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดง จึงทำให้เซลล์ประสาทหัวใจ ปอด คอ แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยบริหารร่างกายให้เกิดความร้อนและการเผาผลาญพลังงานสูง ช่วยฆ่าเชื้อโรคและป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัด ภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส กรน ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคปอด

ระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย (Digestion and Gastrointestinal) การหัวเราะบำบัดช่วยให้อวัยวะส่วนท้อง อาทิ ลำไส้ใหญ่ เล็ก ตับ ไต ไส้ กระเพาะ มีการเคลื่อนไหว เกิดการบริหารกระเพาะและลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายทำงานดีขึ้น ป้องกันโรคอ้วน โรคบูลิเมีย (Bulimia : โรคที่กินอาหารเข้าไปแล้วรู้สึกผิด จนบางครั้งต้องกินยาถ่าย หรืออาเจียนออก) หน้าท้องหย่อน ท้องป่อง โรคเบื่ออาหาร กินไม่ลง ท้องผูก ท้องเสีย โรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น

ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulation and Cardio-vascular system) การหัวเราะบำบัดเป็นการออกกำลังทุกส่วนของร่างกายทำให้อวัยวะต่างๆ ได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะเร็วบ้าง ช้าบ้าง หัวใจสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ มากขึ้น หัวใจทำงานเป็นระบบขึ้น ป้องกันอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็ว เจ็บแน่นหน้าอก โรคขาดเลือด เส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคหัวใจ ตลอดจนอาการใจสั่น เสียงสั่น ตัวสั่น ตื่นตระหนกและประหม่าง่าย

ระบบพักผ่อนและผิวพรรณ (Rest and Skin system) การหัวเราะบำบัดช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้เส้นประสาท กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ยืดหยุ่น ไม่ตึงหรือเกร็ง ทำให้ร่างกายเกิดการพักผ่อน นอนหลับสนิท ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่น และไม่เป็นโรคทางผิวหนัง ช่วยให้ร่างกายและจิตใจเกิดความสงบ มีสมาธิมากขึ้น

ระบบเจริญพันธุ์ (Reproduction) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายทุกส่วนขยับขับเคลื่อน ส่งผลต่อการทำงานของสมองส่วนนอก ส่วนกลาง และส่วนใน ให้ทำงานดีขึ้น เป็นระบบขึ้น ทำให้สมองคิดแง่ดี มองโลกแง่บวก อารมณ์ดี พัฒนาอารมณ์รัก และการมีเพศสัมพันธ์ และช่วยป้องกันอาการไร้อารมณ์ หงอยเหงา โดดเดี่ยว ไม่อยากเข้าสังคม การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และการเข้าสังคม

สัญชาติญาณการอยู่รอด (Survival instinct) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว แข็งแรง ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาท กระดูก กล้ามเนื้อ ร่างกายทำงานเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคไขข้อ โรคกระดูกต่างๆ ทั้งกระดูกพรุน ปวดหลัง ปวดเอว อ่อนเปลี้ยเพลียแรง โรคซึมเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยทำลายสารอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
***หัวเราะมีข้อดีมากมาย คนอารมณ์ดีหัวเราะง่าย สุขภาพใจดี และสุขภาพกายก็จะดีด้วยค่ะ อิ อิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า***

ที่มา:
http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=1044
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #362 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 04:39:09 PM »

10 นิสัย ทำลายสมอง


10 นิสัย ทำลายสมอง
สมอง คืออวัยวะสำคัญ มีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว, พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้

1.ไม่ ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2.กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)
3.การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
4.ทาน ของหวานมากเกินไป การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง
5.มล ภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะ เข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6.การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้
7.นอนคลุมโปง การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8.ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9.ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
10.เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #363 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 04:40:11 PM »



การหัวเราะ ก่อให้เกิดโรคได้


การหัวเราะมากหรือหนักจนเกินไป เสี่ยงต่อการเกิดของหลายโรคเว็บไซต์เดลิเมล์ กล่าวว่า การหัวเราะอาจไม่ใช่ยาที่สุดที่สุดอีกต่อไป เมื่อมีการวิจัยพบถึงอันตรายที่เกิดจากการหัวเราะนักวิจัยจากเบอร์มิงแฮมและมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของการหัวเราะที่ส่งผลต่อร่างกาย ตั้งแต่ปี ค.ศ.1946 จนถึงปัจจุบัน จากการนำตัวตลกไปแสดงที่โรงพยาบาลพบว่าช่วยเผาผลาญพลังงานได้ 2000 แคลอรี่ อีกทั้งคุณแม่ที่เข้ารับการผสมเทียมก็ได้ตั้งครรภ์หลังจากที่ได้ชมการแสดง และยังมีความเชื่อมโยงกับระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน บรรเทาอาการตึงเครียด

แต่ถึงแม้จะทราบถึงประโยชน์มากมาย ต่อมาก็มีข้อพิสูจน์ออกมาให้เห็นว่า การหัวเราะอาจส่งผลร้ายแรงกว่าที่คาดคิด ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติเป็นประจำ ได้ล้มลงและเสียชีวิตหลังจากเพียงแค่หัวเราะกับเพื่อนๆ นอกจากนี้การหัวเราะอย่างหนัก หรือรุนแรง อาจทำให้เกิดโรคลมชัก, หอบหืด, หัวใจและหลอดอาหารฉีกขาด, ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่, ไส้เลื่อน ฯลฯ การหัวเราะมีทั้งประโยชน์และโทษ หากแต่ต้องให้พอเหมาะพอควร จึงจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายโดยแท้จริง

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #364 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 04:42:59 PM »

10 อาหารที่ไม่ควรทานหลังออกกำลังกาย

1. เครื่องดื่มบำรุงกำลัง หรือเอเนอร์จี้บาร์
เอเนอร์จี้บาร์ให้พลังงานมากก็จริง แต่ไม่เหมาะจะกินหลังออกกำลังกาย อาจลองกินโยเกิร์ตจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้ดีกว่า


2. ผักเเละผลไม้สด
แปลกใจที่เห็นผักสดเข้ามาอยู่กลุ่มนี้ใช่ไหม นั่นเป็นเพราะวิตามินที่มีมากมายในผักสดไม่ช่วยเรียกพลังกลับมาหลังออกกำลังกายได้ โปรตีนและคาร์โบไฮเดรตต่างหากที่ร่างกายกำลังต้องการ


3. ชีส
ชีสเป็นอาหารที่มีไขมันสูงมาก โดยเฉพาะเชดด้าร์ชีส จึงเป็นตัวเลือกอาหารที่ไม่เหมาะหลังเพิ่งออกกำลังกาย เพราะอาหารที่ร่างกายต้องการคือโปรตีน


4. น้ำอัดลม น้ำปั่น และน้ำผลไม้
น้ำอัดลมเป็นสิ่งที่ควรเลี่ยงเสมอ และโดยเฉพาะหลังการออกกำลังกายเพราะมีน้ำตาลสูง ดังนั้น หากกระหายน้ำหลังออกกำลังกายควรดื่มน้ำเปล่าเป็นดีที่สุด


5. ขนมเค็มๆ
หลังการเสียเหงื่อจากการออกกำลัง การกินขนมเค็มๆ จะทำให้สมดุลที่ร่างกายกำลังดึงกลับคืนเสียไป จริงอยู่ว่าร่างกายต้องการโซเดียมไปทดแทนที่เสียไปกับเหงื่อ แต่เกลือจากขนมรสเค็มนับว่ามากเกินไป


6. ขนมปัง โดนัท แพนเค้ก และพิซซ่า
สำหรับขนมปังนั้นหากต้องรับประทาน แนะนำให้เลือกที่เป็นโฮลเกรนจะดีกว่าขนมปังขาว ยิ่งโดนัทด้วยแล้วมีไขมันเกินมาอีก จึงนับเป็นอาหารควรงด สำหรับส่วนพิซซ่าเป็นอาหารที่ใช้เกลือมากจึงควรหลีกเลี่ยงหลังการเสียเหงื่อไปมาก แต่หากพิซซ่านั้นคุณทำเอง ประกอบด้วยแป้งโฮลเกรน และหน้าพิซซ่าคุณภาพก็รับประทานได้


7. ลูกอม หรือช็อกโกแลต
ด้วยปริมาณน้ำตาลที่สูงเกินไปจึงไม่เหมาะจะรับประทานหลังออกกำลังกายทั้งคู่ แต่หากเป็นดาร์กช็อกโกแลต หรือนมช็อกโกแลตสามารถทานได้ เพราะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้


8. ไข่เจียว ไข่ทอด
ยามปกติไข่นับเป็นอาหารที่ดี เหมาะกับการเป็นอาหารหลังออกกำลังกาย แต่เมื่อนำมาทอดน้ำมันที่มากเกินไปไม่ดีกับร่างกายหลังออกกำลังกาย จึงแนะนำให้ต้มจะดีกว่า


9. เฟรนช์ฟรายส์
ไม่บอกทุกท่านก็คงทราบดีว่าเป็นอาหารขยะที่มีไขมันไม่ดีจากน้ำมันที่ทอด และไม่มีโปรตีนให้ร่างกายที่เสียพลังงานไปดูดซึม


10. เบคอน และเนื้อที่ไม่ได้ทำจากเนื้อสด
เบคอนนับเป็นเนื้อตัวร้ายที่มีทั้งไขมันและเกลือสูง ทำให้ย่อยยากขณะที่ร่างกายต้องการโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อจึงเป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหลังออก กำลังกาย




ที่มา : lovefitt

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #365 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 04:45:07 PM »

ทำงานหนักเกินไป เสี่ยงเป็นโรคต่างๆ



เมื่อพูดถึงเรื่องสุขภาพ เชือว่าไม่มีใครที่อยากสุขภาพ ย่ำแย่ คงต้องมาดูกันหน่อยล่ะ ว่าทุกวันนี้เราใช้ร่างกายหนักเกินไปหรือเปล่า แล้วจะเสี่ยงกับโรคอะไรบ้าง มาดูกัน


10. โรคกังวล
มีความวิตกกังวลมากผิดปกติ และมีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วย เช่น กระวนกระวายใจ เหนื่อยง่าย หงุดหงิดง่าย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ นอนไม่หลับ อาการดังกล่าวเป็นติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน ผู้ป่วยมักกังวลกับเรื่องในชีวิตประจำวัน เช่นการงาน ครอบครัว การเรียน

9. ความดันโลหิตสูง
เกิดจากหลอดเลือดหดตัว เลือดไหลเวียนไม่สะดวกทำให้หัวใจต้องออกแรงดันเลือดเพิ่ม ความดันโลหิตในร่างกายที่เคยอยู่ในระดับปกติจึงเพิ่มระดับสูงขึ้น ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน ก็จะนำไปสู่ปัญหาโรคหลอดเลือดหัวใจตามมา

8. โรคแผลในกระเพาะอาหาร
ถ้าเกิดความเครียดเมื่อใดก็ตาม กรดในกระเพาะอาหารจะหลั่งออกมา นานไปจะทำให้มีอาการปวดท้องเวลาหิว และปวดท้องหลังกินอาหาร โดยเฉพาะถ้าเป็นอาหารรสจัด เปรี้ยวๆ เผ็ดๆ และของหมักดอง

7. ภูมิแพ้
เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติอ่อนแอลง อันเนื่องมาจากความเครียด รวมทั้งไข้หวัดก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อร่างกายอ่อนแอ เชื้อไวรัสสาเหตุของหวัดก็จะทำร้ายร่างกายของเราได้ง่าย

6. หอบหืดเป็นผลมาจากปอดและหลอดลมตีบ รวมทั้งผลจากโรคภูมิแพ้

5. ปวดศีรษะ
เกิดจากกล้ามเนื้อตึงตัวบริเวณท้ายทอยและต้นคอ และลามไปบริเวณศีรษะ ถ้านวดก็จะช่วยให้อาการคลายลงได้

4. ไมเกรน
จะมีอาการปวดตุ้บๆ หรือปวดจี๊ดที่ขมับข้างเดียว ทั้งสองข้างหรือตรงท้ายทอย เป็นความปวดอย่างรุนแรง อาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนด้วย

3. ปวดหลัง
เกิดจากกล้ามเนื้อตึงตัวเป็นเวลานาน และทำให้มีอาการอ่อนล้า

2. มะเร็ง
ความเครียดทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายเราอ่อนแอลง ไม่สามารถกำจัดสารก่อมะเร็งที่อยู่ภายในร่างกาย เซลล์มะเร็งจึงเจริญเติบโตได้อย่างสบายๆ

1. โรคย้ำคิดย้ำทำ
มีอาการย้ำคิดหรือย้ำทำซ้ำๆ โดยไม่มีเหตุผล ไม่สามารถขัดขืนได้ จะรู้สึกไม่สบายใจ เครียด วิตกกังวล และบางครั้งอาจมีอารมณ์เศร้าร่วมด้วย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #366 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 04:47:47 PM »

สิ่งที่ควรทำก่อนนอน

“การนอน” เป็นการพักผ่อนร่างกายซึ่งเป็นสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในร่างกายและสมองหลายๆอย่าง ก่อนนอนเราจึงควรทำกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้เราสามารถหลับสบายได้ตลอดทั้งคือ มาดูกันว่า สิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำก่อนนอน กันค่ะ


1.อย่าลืมห่มห่อหุ้มร่างกายของคุณก่อนหลับตานอน การที่มีสิ่งห่อหุ้มร่างกายของคุณไว้จะทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในยามนอน และรู้สึกปลอดภัยอีกด้วย


2.การดื่มนมอุ่นๆ ก่อนเข้านอน การดื่มนมอุ่นๆ สักแก้วก่อนเข้านอน นอกจากจะทำให้คุณหลับสบายแล้ว ในนมวัวยังมีแคลเซียมและโปรตีน Tryptophan ซึ่งสารสำคัญทั้งสองนี้จะทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายเพราะนมเป็นสารจากธรรมชาติช่วยในการนอนหลับได้อย่างดีเยี่ยม

3.หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟก่อนนอน เนื่องจากน้ำชากาแฟ จะมีสารกระตุ้นทำให้ร่างกายคุณีรู้สกตื่นตัวจากสารคาเฟอีน การดื่มน้ำชา กาแฟ ก่อนเข้านอน เป็นสิ่งที่คุณควรหลีกเลี่ยง แม้ในปริมาณน้อยก้ตาม เพราะคาเฟอีนจะมีนานกว่านั้น ทางที่ดี แม้แต่ในช่วงบ่ายหรือเย็น ก็ควรงดดื่ม น้ำชา กาแฟจะเป็นการดียิ่ง

4.การทำสมาธิก่อนนอน การทำสามาธิก่อนนอนจะช่วยให้คุณพักผ่อนได้ดีขึ้นในยามหลับ นอกจากนี้ในช่วงที่คุณต้องการความชุ่มชื่นกระปี้กระเป่า การทำสมาธิจะทำให้คุณรู้สึกได้ถึงความรู้สึกนั้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การทำสามธิคือ ในยามเช้าตรู๋และตอนช่วงยามเย็นก่อนค่ำ ลองฝึกทำสมาธิดูแล้วคุณจะรู้ว่าการหลับไหลอย่างมีความสุขเป็นเช่นไร

5.อาบน้ำอุ่นก่อนเข้านอน การได้อาบน้ำอุ่นก่อนเข้านอนจะช่วย ชำระล้างความตรึงเครียดระหว่างวัน และช่วยผ่อนคลายความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะทำให้คุณหลับได้อย่างสบาย เคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อได้นอนแช่น้ำอุ่นสบายควรเหยาะน้ำมันกลิ่นลาวินเดอร์ ลงในอ่างน้ำสัก 2-3 หยด ลองนอนผ่อนคลายในน้ำ และสูดกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย จะทำให้เราพบกับความสุขของการนอนอย่างที่ปรารถนา

6.ผ่อนคลายอารมณ์ก่อนนอน ความตื่นตาน่าหลงใหลของดอกไม้หรือผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นรูบแบบ หรือกลี่นของมัน จะส่งผลต่อระบบประสาททำให้คนสงบสุขเยือกเย็น ซึ่งสิ่งที่รับรู้กันมานานแล้ว ไม้ดอกไม้ผล หรือสมุนไพรเหล่านี้ เช่น มะนาว ดอกคำฝอย คุณสามารถหาได้ง่ายดายตามร้านอาหารสำหรับสุขภาพทั่วไป

7.หวีผมก่อนเข้านอน การแปลงผมก่อนเข้านอนให้ประโยชน์ถึงสองสถานแก่คุณซึ่งนอกจากจะทำให้ผมของคุณสวยงามแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นต่อมผ่อนคลายที่บริเวณหนังศีรษะของคุณ ช่วยทำให้คุณ รู้สึกโล่งหลับสบายขึ้น

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #367 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 04:49:54 PM »



โรคท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อย เป็นอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อย เป็นอาการผิดปกติของท้องหรือลำไส้ มักมีอาการบริเวณตรงกลางของท้องด้านบน อยู่ระหว่างใต้ลิ้นปี่และเหนือสะดือ จะรู้สึก แน่นท้อง มีลมในท้อง  เรอบ่อยๆ  หากมีอาการท้องอืดบ่อยๆและหากเป็นมากๆก็จะมีอาการปวดท้องเป็นพักๆ แต่ถ้าอาการท้องอืด นี้เกิดขึ้นอย่างเรื้อรังก็อาจเป็นอาการนำร่องของบางโรคที่รุนรงหรือร้ายแรง เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร  แผลในกระเพาะอาหาร หรือกระเพาะอาหารอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี  โรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น

พฤติกรรม หรืออุปนิสัย ลักษณะการกินอาหาร  ดังต่อไปนี้ทำให้เกิดอาการท้องอืดได้ง่ายๆ และเป็นปัจจัยเเสี่ยงของบางโรคได้


1 กินอาหารผิดเวลา ด้วยการกินอาหารให้ตรงเวลา


2 กินอาหารรสจัด มีไขมันสูงย่อยยาก เช่น ชีส พิซซ่า เค้ก  นม น้ำอัดลม  เมื่อรับประทานนมมากเกินไป อาจจะทำให้อาการท้องอืด


3 การรีบเร่งกินอาหาร หรือเคี้ยวไม่ละเอียด พอรับประทานครั้งละมากๆก็เกิดการย่อยยาก ควรเคี้ยว อาหารให้เข้ากันดี ก่อนกลืนอาหาร


4 กินอาหารจนอิ่มมากเกินไป ควรลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลง และแบ่งเป็นมื้อย่อยๆ แต่กินบ่อยๆ แทน


5.กินอาหารอิ่มใหม่ๆ ไม่ควรนอนราบทันทีเพราะ การนอนราบ ส่งผลให้ระดับของกระเพาะอาหารและหลอดอาหารจะอยู่ในระนาบเดียวกันและอาจทำให้กรดไหลจากกระเพาะอาหารย้อนกลับเข้าสู่หลอดอาหารได้ เกิดการระคายเคือง และหลอดอาหารอักเสบได้


6 เครื่องดื่มแอลกอฮอล์  เหล้า เบียร์ น้ำอัดลม โซดา เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน (กาแฟ ชา)


7.การใช้ยากลุ่ม NSAIDs (เอ็นเสด) ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ถ้าจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้ควรปรึกษาแพทย์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #368 เมื่อ: มกราคม 06, 2014, 08:48:02 PM »

ระวังเสพติดยาแก้ปวด

เว็บไซต์โรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คอลัมน์ Harvard Health Letter เดือนพฤศจิกายน ได้เผยแพร่และเตือนเกี่ยวกับการใช้ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์

สาระน่ารู้ ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ (Opioid) เป็นยาแก้ปวดที่มีศักยภาพเสพติดสูง มักใช้ในระยะเวลาสั้นๆ เช่น สำหรับการรักษาอาการปวดอย่างรุนแรงหลังการผ่าตัด

สำหรับอาการปวดผ่าตัดเล็กหรือการบาดเจ็บ ไม่ควรใช้ยาเกิน 7 วัน และหากใช้ติดต่อกันนานเกิน 30 วัน อาจทำให้เสพติด ซึ่งหมายความผู้ใช้จะเกิดอาการถอนยา(ลงแดง)ได้ทันทีเมื่อหยุดการใช้ ซึ่งอันตรายถึงชีวิต และการติดยาประเภทนี้จะไม่เหมือนกับการติดยาเสพติดทั่วไป ซึ่งเป็นลักษณะการบังคับและให้หมกมุ่นกับเรื่องยาเสพติดที่จะส่งผลรบกวนต่อชีวิตปกติ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดในกรณีที่ไม่ร้ายแรงมากนัก

แต่บางครั้งจะมีการใช้ยาในระยะยาว สำหรับการบรรเทาอาการปวดที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ซึ่งการหลีกเลี่ยงหรือลดการใช้ยาแก้ปวดประเภทนี้ กลับไม่ใช่วิธีที่ดีเพราะจะให้ผลในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ได้รับความเจ็บปวดที่รุนแรงจะจดจำความเจ็บปวดนั้นได้ และจะต้องการใช้ยาในปริมาณที่สูงขึ้น

จะเห็นได้ว่า ยาแก้ปวด ไม่ใช่ยาที่จะหาซื้อมาทานได้ตามอำเภอใจ เพราะเราอาจไม่ทราบว่ายาแก้ปวดยี่ห้อที่ซื้อมานั้น จัดอยู่ในกลุ่มโอปิออยด์หรือไม่ ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นในการสั่งจ่ายยา

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #369 เมื่อ: มกราคม 14, 2014, 08:09:34 PM »




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #370 เมื่อ: มกราคม 14, 2014, 08:43:51 PM »

อันตรายจากเส้นก๋วยเตี๋ยว...

 อันตรายจากเส้นเล็กและเส้นหมี่ ถ้ารับประทานมากๆ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตับและโรคไตสูง ผลวิจัยชี้เส้นก๋วยเตี๋ยวมหาภัย เติมสารกันบูดเกินมาตรฐานอื้อโดยเฉพาะเส้นเล็กและเส้นหมี่ เสี่ยงตับไตพัง

เผยบะหมี่เหลือง-วุ้นเส้นปลอดภัยกว่า แนะผู้ประกอบการอย่าโลภผลิตขายข้ามจังหวัดจนต้องใส่สารกันบูด จำนวนมาก ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่คนไทยนิยมบริโภค และเส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นวัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารได้หลายชนิด ทำให้มีการแข่งขันทางการตลาดสูง จากก๋วยเตี๋ยวส่วนใหญ่เป็นเส้นสดที่ค้างหลายวันไม่ได้ ผู้ประกอบการจึงมีการเติมสารกันบูด เพื่อยืดอายุเส้นก๋วยเตี๋ยว ทำให้ยืดระยะเวลาการจำหน่าย ซึ่งสารกันบูดที่นิยมใช้คือ กรดเบนโซอิกและกรดซอร์บิก

ถ้าร่างกายได้รับปริมาณสูงเป็นเวลานานจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของตับและไตลดลง ดังนั้น คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากล (Codex) ได้กำหนดให้ใช้กรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ไม่เกิน 1,000มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ผลการตรวจวิเคราะห์พบปริมาณกรดเบนโซอิกตั้งแต่ 1,079-17,250มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณที่กำหนดกรดเบนโซอิกในเส้นก๋วยเตี๋ยวตามมาตรฐานสากล โดยก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก 17,250 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เส้นหมี่ 7,825 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ก๋วยจั๊บเส้นใหญ่ 7,358 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ก๋วยจั๊บเส้นเล็ก 6,305มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม บะหมี่โซบะ 4,593 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ 4,230 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวว่า จากผลวิจัยดังกล่าวทำให้ความเชื่อเดิม ที่คิดว่าเส้นหมี่ ซึ่งมีลักษณะแห้งจะมีวัตถุกันเสียน้อย แต่จะพบมากในเส้นใหญ่ที่มีความชื้นสูงนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า กลับมีการใส่วัตถุกันเสียเยอะมากเป็นอันดับ 2 รองจากเส้นเล็ก

***ส่วนเส้นที่ไม่พบสารเลยคือ เส้นบะหมี่เหลืองเพราะผลิตจากแป้งสาลี ส่วนเส้นอื่นๆ จะผลิตจากแป้งข้าวเจ้า* ที่มีความชื้นสูง ทำให้ราขึ้นง่าย จึงมีการใส่วัตถุกันเสีย ขณะที่วุ้นเส้นไม่มีปัญหาเช่นกัน
ขอบคุณภาพจาก- g+ — กับ Lilysingle 'dudge


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #371 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2014, 01:27:22 PM »

รู้ได้อย่างไรว่าจะต้องประคบร้อนหรือเย็น?



   การประคบร้อนหรือเย็นเป็นวิธีหนึ่งในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อบรรเทาอาการปวดหรืออักเสบ ทั้งอาการปวดที่เกิดจากการเจ็บป่วย มีไข้ หรือการได้รับบาดเจ็บระหว่างเล่นกีฬา วิ่งเล่น ซึ่งอาจมีได้ตั้งแต่ การหกล้ม ศีรษะกระแทกจากการปะทะ การบาดเจ็บ ฟกช้ำของส่วนต่างๆของร่างกาย
        การจะเลือกใช้ความร้อนหรือเย็นนั้นมีข้อที่ต้องพิจารณาเบื้องต้น คือ ถ้าเกิดการบาดเจ็บเฉียบพลันร่วมกับมีการบวม ควรเลือกใช้ความเย็น เพราะความเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้เลือดออกน้อยลงและช่วยลดบวมได้ แต่ถ้าเป็นการปวดแบบเป็นๆหายๆ มีอาการมานานหรือเรื้อรัง หรือปวดร่วมกับมีอาการตึงกล้ามเนื้อ ควรใช้ความร้อน เพราะความร้อนจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว การไหลเวียนเลือดดีขึ้นจึงลดอาการปวดและตึงกล้ามเนื้อได้



ประคบเย็น เมื่อ...
        หากมีอาการปวดหรือได้รับบาดเจ็บควรประคบด้วยน้ำแข็งหรือน้ำเย็นทันที (ภายใน 24-48 ชั่วโมง) ประคบนาน 20-30 นาที วันละ 2-3 ครั้ง อาการที่ควรประคบเย็น เช่น ปวดศีรษะ มีไข้สูง ปวดฟัน ปวดบวมข้อเท้า ข้อเคล็ด เลือดกำเดาไหล หรือ ปวดบวมบริเวณอื่นๆ ที่เกิดจากการได้รับบาดเจ็บหรือเพิ่งมีอาการใหม่ๆ
        อาจใช้เจลสำหรับประคบร้อนเย็นแบบสำเร็จรูปหรือทำถุงน้ำแข็งขึ้นใช้เอง โดยการใช้ถุงพลาสติกขนาดพอเหมาะแล้วเติมน้ำเปล่าผสมน้ำแข็งอย่างละครึ่งลงไปในถุง ตรวจสอบว่าไม่เย็นเกินไปโดยการนำมาประคบผิวหนัง ถ้าบริเวณที่มีอาการเป็นบริเวณมือ แขน ขา หรือเท้า อาจใช้การแช่ในภาชนะที่บรรจุน้ำเย็นแทน โดยแช่นานประมาณ 15-20 นาที



ประคบร้อน เมื่อ...
         การประคบร้อนจะเริ่มใช้หลังจากมีอาการผ่านไปแล้ว 48 ชั่วโมง ให้ประคบครั้งละ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อลดอาการปวดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ อาการที่ควรประคบร้อน เช่น ปวดตึงของกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า หลัง น่อง ปวดประจำเดือน อาจใช้เจลสำหรับประคบร้อนเย็นแบบสำเร็จรูป ใช้กระเป๋าน้ำร้อน หรืออาจใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อน โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 45 องศาเซลเซียส สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง คือ ไม่ควรประคบด้วยความร้อนที่มากเกินไป เพราะจะทำให้รู้สึกแสบร้อนบริเวณที่ประคบ ไม่ควรประคบนานหรือถี่เกินไป และต้องไม่ประคบร้อนในบริเวณที่มีบาดแผลเปิดหรือมีเลือดออก เพราะจะยิ่งทำให้มีการอักเสบเพิ่มมากขึ้น จะประคบร้อนได้ก็ต่อเมื่อการอักเสบน้อยลงแล้ว ซึ่งสังเกตได้จากไม่มีอาการบวม แดง ร้อน




หมายเหตุ
>> สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องวิธีการใช้ถุงประคบร้อนเย็น ได้ที่ วิธีการใช้ถุงประคบร้อนเย็น (Cold-Hot Pack)
>> สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องวิธีการใช้กระเป๋าน้ำร้อน ได้ที่ การใช้กระเป๋าน้ำร้อน
 
เอกสารอ้างอิง
1. มูลนิธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบยา. คู่มือตู้ยาโรงเรียนและแนวทางการรักษาโรคที่พบบ่อย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: มูลนิธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบยา; พ.ศ. 2553. หน้า 99-100.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #372 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 04:21:15 PM »



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #373 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 04:21:59 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #374 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 04:23:14 PM »







บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: