jainu
|
|
« ตอบ #390 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2014, 10:18:13 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #391 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2014, 10:18:40 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #392 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2014, 10:19:01 PM » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 02, 2014, 09:04:18 PM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #393 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2014, 08:17:38 PM » |
|
ต้นกำเนิดของยาสีฟัน
ยาสีฟัน ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยอียิปต์โบราณ โดยยาสีฟันในสมัยทำจากการผสมวัตถุดิบธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งวัตถุดิบที่นำมาใช้เป็นส่วนผสม ได้แก่
• เกลือป่น • พริกไทยป่น • ใบมินต์ • และดอกไม้ต่างๆ
ในสมัยโรมันมีการคิดค้นสูตรยาสีฟันของตัวเองขึ้นมาใหม่ ซึ่งออกแนวค่อนข้างแปลกประหลาดเพราะใช้ปัสสาวะของมนุษย์เป็นส่วนผสมหลัก โดยชาวโรมันเชื่อว่าแอมโมเนียที่อยู่ในปัสสาวะอาจจะช่วยให้ฟันขาวสะอาดขึ้น
ต่อมาช่วงราวศตวรรษที่ 18 ยาสีฟันตำรับอเมริกันที่ใช้ขนมปังเผาเป็นวัตถุดิบก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นอกจากนั้น ในเวลาไล่เลี่ยกันยังมีการคิดค้นสูตรที่เรียกว่า "เลือดมังกร", "ซินนามอน" และ "สารส้มเผา" ขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม การใช้ยาสีฟันของผู้คนทั่วไปยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนกระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 19 เดิมทีคนส่วนใหญ่จะแปรงฟันด้วยน้ำเปล่า แต่ต่อมากระแสความนิยมของยาสีฟันประเภทผงเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น คนส่วนใหญ่จะใช้ยาสีฟันที่ทำขึ้นเอง ซึ่งโดยมากยาสีฟันในสมัยนั้นจะทำจากผงช็อล์ค ผงอิฐ และเกลือ
ในปี 1866 สารานุกรมเอนไซโคลพีเดียแนะนำให้ใช้ผงถ่านแทน ต่อมาในปี 1900 ได้เริ่มมีการผลิตยาสีฟันแบบเหลวที่มีส่วนผสมของไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ และเบรกกิงโซดา สำหรับส่วนผสมประเภทฟลูออไรด์ได้รับการเติมลงไปในยาสีฟันครั้งแรกในปี 1914
ในช่วงศตวรรษที่ 19 ยาสีฟันแบบเหลวยังคงได้รับความนิยมน้อยกว่ายาสีฟันแบบผงจนกะทั่งถึงช่วงสงครามโลกครั้ง 1 ทั้งนี้ บริษัทคอลเกตถือเป็นผู้ผลิตเจ้าแรกที่คิดค้นยาสีฟันแบบหลอดบีบขึ้นมาเมื่อปี 1896 และลักษณะเช่นนี้ก็ยังคงมีใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #394 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2014, 08:13:52 PM » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 02, 2014, 09:04:00 PM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #395 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2014, 08:14:09 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #396 เมื่อ: มีนาคม 02, 2014, 07:45:06 PM » |
|
น้ำอัดลม กับนิ่วในไต
น้ำ - อัด - ลม น่ากลัวมากและควรระวังนะคะ
เห็นหลาย ๆ คนเลือกดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ อย่างเช่น "น้ำอัดลม" กันเยอะมาก เลยอยากแนะนำให้รู้จักกับโรคนี้ค่ะ........
"นิ่วในไต" จากการทานน้ำดำ เพราะในน้ำดำมีคาเฟอีนสูง
"คาเฟอีน" มีผลต่อการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้ตกตะกอนเป็นนิ่ว และทำให้มีโอกาสสูญเสียแคลเซียมจากร่างกาย และผลจากฟอสเฟตสูงในน้ำอัดลม ทำให้ระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำลง
นอกจากจะเป็นนิ่วแล้ว ยังกระดูกพรุน กระดูกเปราะด้วยนะคะ และถ้าคนกลุ่มนี้โชคร้ายเป็นมะเร็ง เวลารักษาคีโมก็จะยิ่งทำลายมวลกระดูก มะเร็งจะลามไปที่กระดูกได้ง่าย เจ็บปวดทรมาณ มาก ๆ
ไม่ใช่น้ำดำอย่างเดียวที่มีคาเฟอีนสูง ยังมีกาแฟสด กาแฟดำ ที่มีคาเฟอีนไม่แพ้น้ำอัดลมค่ะ ผลที่ได้ก็จะคล้าย ๆ กัน
เปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่า หรือเครื่องดื่มสมุนไพรแบบไม่ใส่น้ำตาลดีกว่า เพื่อสุขภาพ และลดความเสี่ยงของการก่อโรคอีกหลายโรคเลยนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/behealthyonline/2013/09/29/entry-3
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #397 เมื่อ: มีนาคม 05, 2014, 09:54:13 PM » |
|
การฝึกลูกนั่งคาร์ซีท คุณพ่อคุณแม่ควรพูดกับลูกบ่อย ๆ ให้ลูกเข้าใจว่าเขาจะต้องนั่งคาร์ซีทนะคะ เพราะพ่อแม่รักเขา อยากให้เขาปลอดภัย ในช่วงแรก ๆ ลูกอาจร้องไห้งอแง คุณแม่ควรนั่งเป็นเพื่อนลูกอยู่ด้านหลัง คุยกับเขา เล่นกับเขา เล่านิทานให้เขาฟัง ให้รู้สึกเพลิดเพลิน และเคยชิน จากนั้นเขาก็จะร้องไห้น้อยลง จนไม่ร้องไห้อีกเลยละคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #398 เมื่อ: มีนาคม 07, 2014, 11:55:48 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #399 เมื่อ: มีนาคม 07, 2014, 11:57:06 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #400 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 09:02:43 PM » |
|
รักษา 9 โรคด้วยการกดข้อนิ้ว
วันนี้ขอนำเสนอเสนอวิธีการกดข้อนิ้วเพื่อรักษา 9 โรคค่ะ
1. โรคตับ กดคลึงข้อทั้ง 2 ของหัวแม่มือขวา
2. หูอื้อ กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วนางทั้ง 2 ข้าง
3. ปวดเข่า กดคลึงด้านข้างทั้ง 3 ของนิ้วก้อยมือซ้าย
4. เบาหวาน กดคลึงข้อทั้ง 2 ของหัวมือมือซ้าย
5. ความดันโลหิตสูง กดคลึงโคนนิ้วก้อยมือซ้าย
6. หัวใจ กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วก้อยมือซ้าย
7. ปวดประจำเดือน กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วชี้ทั้ง 2 ข้าง
8. ตาเมื่อย กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วกลางมือขวา
9. เสริมพลังแก่ร่างกาย กดคลึงข้อทั้ง 3 ของนิ้วกลางมือซ้าย
แต่ละจุดให้กดคลึงครั้งละ 3 นาที ทำวันละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้ามีไข้หรือนิ้วมีบาดแผลควรหยุดทำค่ะ
ขอขอบคุณความรู้ดีดีจากหนังสือชีวจิต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #401 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 09:04:56 PM » |
|
โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร
ใครมีพุงบ้าง ยกมือหน่อย คิดว่าหลายๆ ท่านคงมีปัญหาเรื่องนี้ วันนี้มีบทความดีๆ เกี่ยวกับความอ้วนคือ โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ มาให้อ่านกัน
โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร หากสะสมมาจะทำให้เกิดข้อบกพร่องและเป็นผลทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น
1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย
2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศีรษะ
3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว
4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย
5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด
6. ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ ทำให้จามในตอนเช้า
7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก หน้าท้องเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่จะบ่งบอกถึงว่า ตอนนี้สภาพร่างกายคุณเป็นอย่างไร นั้นก็หมายถึงอาหารที่คุณกินเข้าไปมันเข้าไปสะสมจนทำให้คุณมีไขมันหน้าท้องมาก และจะทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนไปในที่สุด และหน้าท้องเมื่อมีไขมันสะสมแล้วก็ลดยากเสียด้วยพอ ๆ กับไขมันที่สะโพกนั่นแหละ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/behealthyonline/2013/09/20/entry-3
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #402 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 09:07:02 PM » |
|
รู้ไหม? จานโปรดที่คุณกิน แค่จานเดียวกี่แคลอรี่?!
เมนูอาหารตามสั่งและอาหารจานเดียวดูจะกลายเป็นจานหลักที่ทุกคนต้องกิน มาดูกันดีกว่าว่าแต่ละอย่างให้พลังงานมาก-น้อย แค่ไหน แล้วคุณจะแปลกใจที่ข้าวมันไก่ไม่ใช่ที่สุดของความอ้วน !
ข้าวราดผัดคะน้าหมูกรอบ : 670 กิโลแคลอรี่
อาหารตามสั่งจานนี้มีผักใบเขียวเข้มอย่างคะน้าเป็นตัวเพิ่มคุณค่าทางสารอาหารก็จริง แต่หมูกรอบก็ไม่ใช่ของเฮลตี้เลยสักนิด เปลี่ยนเป็นผัดคะน้าหมูธรรมดา จะลดลงเหลือ 580 กิโลแคลอรี่ ก็จะดีขึ้นอีกนิด
ข้าวผัดหมู : 660 กิโลแคลอรี่
ถ้าอยากลดความอ้วนต้องงดข้าวผัด เพราะเมนูนี้ข้าวทุกเม็ดจะดูดซับน้ำมันที่ใช้ผัดเข้าไปอย่างเต็มที่และไม่มีทางเลี่ยงได้เลย ทางเลือกเดียว สำหรับคนชอบกินอาหารจานนี้ก็คือ เปลี่ยนเมนูซะ !
ข้าวราดกะเพราไก่-ไข่ดาว : 630 กิโลแคลอรี่
อาหารตามสั่งยอดฮิตที่หลายคนให้คำนิยามเอาไว้ว่า "เมนูสิ้นคิด" ชนิดนี้ แคลอรี่ก็สูงไม่น้อยหน้าใคร แค่ไข่ดาวฟองเดียวก็ปาเข้าไปประมาณ 125 กิโลแคลอรี่แล้ว แค่ตัดออกไปจานนี้ก็จะเหลือ 505 กิโลแคลอรี่
ข้าวมันไก่ : 596 กิโลแคลอรี่
ไก่ไม่กี่ชิ้นที่ตบแบน ๆ มาบนหน้านั้นไม่เท่าไหร่ แต่ข้าวมันก็คือข้าวที่หุงผสมกับน้ำมันที่ได้จากไก่ แคลอรี่ก็มาจากตรงนี้แหละ ถ้าจะปรับเมนูให้ดีขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนเป็นข้าวสวยธรรมดากับไก่ต้มไม่เอาหนัง เหลือจากนี้ประมาณ 305 กิโลแคลอรี่
เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วหมู : 679 กิโลแคลอรี่
ในขั้นตอนการผลิตก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่จะมีการเคลือบน้ำมันบาง ๆ ไว้ที่เส้น เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นติดกัน ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจที่แคลอรี่จะพุ่งกระฉูดขนาดนี้ ถ้าลองเปลี่ยนเป็นเส้นหมี่ก็จะเหลือประมาณ 440 กิโลแคลอรี่
ข้าวขาหมู : 690 กิโลแคลอรี่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแคลอรี่มหาศาลขนาดนี้มาจากไหน ไขมันนิ่ม ๆ แสนอร่อยนั่นแหละตัวดีเลยเชียว หากอยากกินข้าวขาหมูแบบห้ามไม่ไหวก็ต้องฝืนใจสั่งแม่ค้าว่าเอาแบบเนื้อล้วน ไม่เอามันและหนัง และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นอีกต้องไม่ราดน้ำพะโล้หวาน ๆ ด้วยนะ อาจไม่อร่อยลิ้นเท่าไหร่ แต่จะเหลือแคลอรี่ประมาณ 430 กิโลแคลอรี่
Expert Says...
สำหรับสาว ๆ ที่อยากจะลดน้ำหนักโดยการควบคุมแคลอรี่ ถ้าจะให้เห็นผลที่สุด คุณปาล์มขัตติยา ประชาเดชะ นักโภชนาการจากคลับสุขภาพและความงามอาเมทิส แนะนำให้คุณคำนวณพลังงานที่เหมาะสมต่อวัน แล้วค่อย ๆ ปรับให้กินน้อยลงวันละ 100-200 กิโลแคลอรี่ เพื่อไม่ให้ร่างกายรับภาระหนักเกินไป ซึ่งพลังงานสามารถคิดได้จากสูตร
(10xน้ำหนัก (กก.))+(6.25xส่วนสูง (ซม.))-(5xอายุ)-161
จากนั้น หากคุณไม่ได้ออกกำลังกายให้นำผลที่ได้คูณด้วย 1.2 อีกครั้ง แต่หากออกกำลังกายบ้างก็คูณด้วย 1.3 จนถึง 1.7 แล้วแต่ว่ามีกิจกรรมเผาผลาญพลังงานมากน้อยแค่ไหน โดยเฉลี่ยแล้วส่วนใหญ่ควรจะคุมให้อยู่ในช่วง 1,200-1,300 กิโลแคลอรี่ ต่อวันนะคะ
ตัวอย่างเช่น หากคุณอายุ 25 ปี มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม มีส่วนสูง 160 เซนติเมตร ไม่ค่อยออกกำลังกาย ลองมาคำนวณดูก็จะได้
(10x50)+(6.25x160)-(5x25)-161=1,214 กิโลแคลอรี่ ถ้าไม่ออกกำลังกายให้คูณด้วย 1.2 ก็จะเท่ากับว่า ในหนึ่งวันคุณควรได้รับพลังงานประมาณ 1,456 กิโลแคลอรี่นั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Kapook.com, Lisa
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #403 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 09:07:35 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #404 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 09:08:24 PM » |
|
แป้ง มักจะมีไขมันสะสมบริเวณต้นขาและสะโพกแต่โชคดีที่ลดง่าย >> ทางที่ดีลดของหวาน, แป้ง และหัดเดินวันละ 45 นาที หรือฝึกโยคะง่ายๆ ที่บ้านนะคะ
2. พุงจอมเครียด : ใครที่กินอาหารไม่ตรงเวลา, ชอบดื่มกาแฟ, กินฟาส์ตฟู้ดเป็นประจำ หรืออกกำลังกายมากเกินไประวังจะเครียดลงพุง! >> ถ้าไม่อยากให้พุงเครียดลองหาเวลาเข้าสปา,ไปนวดผ่อนคลายหรือออกกำลังแบบเบาๆ ดู นะคะ
3. พุงยื่น : มักเกิดกับคนที่เพิ่งคลอดบุตรและไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หรือดูแลตัวเองผิดวิธี >> วิธีแก้ คือ เมื่อครบ 2-3 เดือนหลังคลอด รอจนร่างกายพร้อมแล้วค่อยเริ่มทำกายบริหารในท่านอนจะฝึกโยคะหรือพิลาทิสก็ไม่ว่ากันจ้ะ
4. พุงอืด : พุงแบบนี้จะแบนเรียบในช่วงเช้าแต่มาป่องระหว่างวัน อาจเกิดจากการแพ้หรือไม่ถูกกับอาหารบางชนิด อาหารเลยไม่ย่อยเกิดแก๊ซในท้อง >> ให้ลองทานอาหารช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด เลี่ยงพวกเค้ก ขนมปังและอย่ากินมื้อดึกจะช่วยให้พุงหายอืดได้จ้า
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ผู้หญิงถึงผู้หญิง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|