Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 32 33 [34] 35 36 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75653 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #495 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2014, 04:39:52 PM »










https://www.facebook.com/morkeawfansclub?fref=photo
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #496 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2014, 08:55:31 AM »

***กินผักบุ้งแล้วตาสวย (จริงเปล่า?)***

ผักบุ้ง สรรพคุณมีมากมาย โดยในผักบุ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 22 กิโลแคลอรี และประกอบด้วยเส้นใย วิตามิน และแร่ธาตุอื่น ๆ อีก เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก

ผักบุ้งไทยนั้นจะมีวิตามินซีสูง และสรรพคุณทางยามากกว่าผักบุ้งจีน แต่จะมีแคลเซียมและเบต้าแคโรทีน น้อยกว่าผักบุ้งจีน หากรับประทานสด ๆได้ จะทำให้คุณค่าของวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ไม่เสียไปกับความร้อน ประโยชน์ของผักบุ้งช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส มีน้ำมีนวล ช่วยชะลอวัยความแก่ชรา และการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ช่วยบำรุงสายตา รักษาอาการตาต้อ ตาฝ้าฟาง ตาแดง สายตาสั้น อาการคันนัยน์ตาบ่อย ๆ เป็นต้น


ที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์/by สาระแห่งสุขภาพ —


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #497 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2014, 08:56:52 AM »




***ยำตะไคร้ ได้ประโยชน์***

ตะไคร้ ใช้ส่วนของเหง้าและลำต้นแก่ ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารที่สำคัญหลายชนิดเช่น ต้มยำ และอาหารไทยหลายชนิด ให้กลิ่นหอม มีสรรพคุณทางยาเช่น บำรุงธาตุ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร แก้โรคหืด แก้อหิวาตกโรค บำรุงสมอง ช่วยให้สมาธิดี ต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียน ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามากๆ ช่วยให้สร่างเร็ว

ส่วนหัวสามารถใช้แก้โรคเกลื้อน ท้องอืดท้องเฟ้อ โรคนิ่ว มากไปกว่านั้นยังสามารถทำเป็นยาช่วยนอนหลับ ช่วยลดความดันสูง น้ำมันตะไคร้หอมใช้ทากันยุงได้ ถ้าปลูกใกล้ผักอื่นๆจะช่วยกันแมลงได้และยังให้กลิ่นหอม ที่ดับกลิ่นบางชนิดใช้ตะไคร้เป็นส่วนผสมเพราะมีกลิ่นที่หอม และที่กำจัดยุงบางชนิดก็ใช้ตะไคร้เป็นส่วนผสมด้วยเนื่องจากมีกลิ่นที่แรงจึงช่วยทำให้ไล่ยุงได้ นอกจากนี้ตะไคร้ยังแก้กลิ่นคาวหรือดับกลิ่นคาวของปลา และเนื้อสัตว์ได้ดีมากๆ

ตะไคร้ยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะช่วยเพิ่มเกลือแร่ที่จำเป็นหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และยังมีวิตามินเอ รวมอยู่ด้วย

ยำตะไคร้อาหารรสจัดจ้านที่เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องปรุงและเครื่องสมุนไพรนานาชนิด จัดได้ว่าเป็นรายการอาหารที่ครบ 5 หมู่เลยก็ว่าได้ อีกอย่างรสชาติดีเลิศ ถูกปากคนไทยและให้คุณค่า มากมาย ทั้งจากส่วนของตะไคร้และเครื่องประกอบอื่นๆ

ที่มา : rspg.or.th/by สาระแห่งสุขภาพ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #498 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2014, 08:57:46 AM »

**ไข่ต้ม ง่ายและดีที่สุด***

ไข่ต้ม เมนูอาหารที่ไม่ค่อยมีใครนึกถึง แต่ทราบกันรึเปล่าว่า ประโยชน์ของไข่ต้มนั้นมีมากกว่าที่คุณเห็น ที่นอกจากจะให้โปรตีนสูงแล้วไข่ต้มฟองน้อยๆที่คุณเห็น ยังเปี่ยมไปด้วยกรดอะมิโน ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก

จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่าในไข่ขาวจะมีโปรตีนสูง และเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง คือมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย(Essential Amino Acid) ส่วนในไข่แดงนั้น ก็ยังมีสารอาหารหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุ ซึ่งมีคุณค่าเช่นเดียวกับไขมันในปลาแซลมอลและปลาทะเล

ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะในไข่ต้มนั้นยังมี ไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหรือเอชดีแอล(HDL Cholesterol) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดี ไม่มีผลต่อการเพิ่มคลอเลสเตอรอล ซึ่งส่งผลดีต่อร่างกาย ถ้าหากว่าคุณเลือกทานไข่ต้มเป็นประจำวันละ 1 ฟอง ก็จะสามารถช่วยป้องกันคุณให้ห่างไกลจากโรคหัวใจได้อย่างแน่นอน โดยในไข่ต้ม 1 ฟอง จะมีน้ำหนักประมาณ 30 กรัม ซึ่งจะให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี่ ยังไม่หมดแค่นั้นไข่ต้ม 1 ฟอง สามารถให้ประโยชน์ได้มากเท่ากับการที่คุณทานรังนก 10 กระปุกเลยทีเดียว (จ่ายแพงกว่าทำไม)

ถ้าเบื่อไข่ต้มรสชาติเดิมๆ ก็ลองปรับแต่งสูตร อาจจะเพิ่มน้ำยำรสชาติจัดจ้านขึ้นมาอีกนิดรับรองได้ว่า "อร่อยเหาะ"

ที่มา : mhthailand.com/by สาระแห่งสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #499 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2014, 08:31:50 PM »

ที่ผ่านมาว่ากันว่า โกรทฮอร์โมน (ฮอร์โมนที่ทำให้เด็กสูงขึ้นและทำให้เซลล์ในร่างกายฟื้นฟูสภาพ) จะหลั่งออกมามากช่วง 4 ทุ่มถึงตี 2 แต่ปัจจุบันศาสตร์แห่งการชะลอวัย (Anti-Aging Medicine) มีการเปิดเผยออกมาใหม่ว่าช่วงที่โกรทฮอร์โมนหลั่งมากที่สุดคือช่วงตี 1 ถึงตี 5เทียบกับอดีต

ปัจจุบันคนนอนดึกมากขึ้นจึงเป็นสาเหตุทำให้เวลาหลั่ง โกรทฮอร์โมน ถูกเลื่อนออกไปด้วย หากต้องการให้ โกรทฮอร์โมน หลั่งออกมามากๆ แนะนำให้ ออกกำลังกาย ยกเวทตอนกลางคืน การยกดัมเบล การบริหารหน้าท้อง หรือการตีสควอช ออกกำลังกาย หนักๆ จะทำให้เส้นใยกล้ามเนื้อเสียหาย ร่างกายจะเร่งซ่อมแซมโดยการหลั่ง โกรทฮอร์โมน ระหว่างนอนเพิ่มสูงขึ้นถึง 150% จากปกติ

จึงทำให้ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น ไขมันถูกเผาผลาญ ทำให้ร่างกายฟื้นสภาพจากความเหนื่อยล้า หลังการบริหารกล้ามเนื้อสามชั่วโมงจะเป็นช่วงที่หลั่งฮอร์โมนได้ดีที่สุด และหากนอนในช่วงนี้ยิ่งจะทำให้หลั่งฮอร์โมนได้มากขึ้น

ซึ่งการ ออกกำลังกาย บริหารกล้ามเนื้อ ได้แก่ การยกดัมเบล การวิดพื้น การบริหารหน้าท้อง การตีสควอช เป็นต้น ควรทำประมาณ 20-30 ครั้งเป็นมาตรฐาน จากนั้นก็ทำเพิ่มตามกำลังกล้ามเนื้อของตนเองที่มี ไม่ควรทำภายใน 30 นาทีหลังรับประทานอาหารหรือทำก่อนนอน เพราะจะทำให้ประสาทตื่นตัว

ขอบคุณที่มาจาก greenerald.com



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #500 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2014, 08:32:46 PM »

ทคนิคการนอนหลับอย่างสนิทและมีความสุขตลอดคืน

เวลานอนแล้วหลับไม่สนิท แม้จะนอนนานอย่างไรก็เหมือนยังนอนไม่พอ ส่งผลให้การทำงานหรือการเรียนสะดุด สมองอึน ๆ
ไม่โล่งโปร่ง หลายคนหากลวิธีเพื่อช่วยให้หลับสนิทในยามค่ำคืน นับแกะบ้าง ออกกำลังกายให้รู้สึกเหนื่อยบ้าง
คุณรู้หรือไม่ว่าการนอนอย่างมีความสุขสามารถสร้างได้ไม่ยาก เพียงแต่ปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้

-ออกกำลังกายเบา ๆในตอนเย็น จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและเกิดความรู้สึกอยากนอนพัก

-กินอาหารมื้อค่ำแต่พออิ่ม เลือกกินอาหารที่ย่อยง่าย และรสชาติไม่จัดจนเกินไป จะช่วยให้สบายท้อง

-งดดื่มน้่ำชา กาแฟ โกโก้ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มชูกำลังในช่วงบ่าย

-ดื่มนมอุ่น ๆก่อนเข้านอนจะช่วยให้สบายท้องและผ่อนคลาย

-ไม่ดูโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ก่อนเข้านอน 2-3 ชั่วโมง

-อาบน้ำและแปรงฟันให้สะอาดก่อนเข้านอน

-ทำใจให้สบาย นอนหลับตาด้วยการหายใจเข้า-ออกยาว ๆ
และผ่อนคลายอวัยวะทุกส่วนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหรือจะใช้วิธีนั่ง

สมาธิก่อนเข้านอนก็ได้

-สร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะแก่การนอน ด้วยการปิดไฟ ปืดเสียงต่าง ๆ
โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ ปิดการสื่อสารที่ทำให้คุณพะวง

ปรับอุณหภูมิห้องให้พอดี อาจะใช้กลิ่นหอมจาง ๆจากสมุนไพรสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลายด้วยก็ได้

หากทำตามคำแนะนำดังกล่าวข้างต้น รับรองว่าคุณต้องนอนได้สนิท ตื่นมารับเช้าวันใหม่ด้วยความสดใส กระฉับกระเฉงอย่างแน่นอน


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #501 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2014, 08:33:02 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #502 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2014, 08:34:42 PM »

15 กฎทองของการกิน...

1.คุมปริมาณอาหารที่กิน

โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลอรีสูงจากไขมัน กินในปริมาณน้อยๆ อย่ากินจนอิ่มแปล้ เพราะนั่นหมายถึงคุณกำละงสะสมพลังงานส่วนเกินให้กับตัวเอง

2.เลือกกินอาหารให้หลากหลายชนิด

อาหารแต่ละชนิดมีสารอาหารต่างกันหรือถ้ามีสารอาหารเหมือนกันก็จะมีปริมาณต่างกัน ฉะนั้นการกินให้หลากหลายชนิดไม่เลือกที่รักมักที่ชัง จะทำให้เราได้รับสารอาหารหลากหลายชนิดอย่างทั่วถึง เหนืออื่นใดการเลือกกินอาหารให้หลากหลายชนิด ยังเป็นวิธีการลดสารพิษต่างๆที่ร่างกายได้รับ เช่นจากยาฆ่าแมลงที่ใช้ในการปลูกผักซึ่งอาจจะสะสมไว้มากในพืชผักบางชนิดด้วย

3.เน้นอาหารที่มีกากใยสูง

เช่น ผักผลไม้ ถั่ว และธัญพืชไม่ขัดสี ซึ่งจัดเป็นคาร์ดบไฮเดรตที่ดี มีสารอาหารสูงแต่พลังงานต่ำ เราควรกินใยอาหารให้ได้วันละ 20-35 กรัม จะช่วยให้อาหารคาร์โบไฮเดรตถูกดูดซึมช้าลง ร่างกายใช้อินซูลินน้อยลงอย่างมีประสิทธิภาพเป็นการรักษระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ นิกจาดนี้ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น อาหารที่มีกากใยสูงมักจะมีวิตามินและแร่ธาตุสำคัญสูงรวมทั้งสารพฤกษเคมีซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมุลอิสระสูงช่วยต้านวัยต้านโรคเช่นกัน

4.กินผักผลไม้วันละ 8-9 ส่วน

( ผัก = 2-21/2 ถ้วยตวง หรือ 4-5 อุ้งมือผู้หญิง และผลไม้ 11/2 - 2 ถ้วยตวงหรือ 3-4 อุ้งมือ ) พยายามเลือกกินผักหลายสีคละกัน สำหรับผลม้ เลอกผลไม้สดแทนน้ำผลไม้ ซึ่งไม่มีใยอาหารหรือมีน้อยมาก

5.เลือกธัญพืชไม่ขัดสีทุกครั้งที่มีโอกาส

โดยปกติครึ่งหนึ่งของข้าวแป้งที่ควรกินในชีวิตประจำวันควรเป็นธัญพืชไม่ขัดสี เช่นหากในหนึ่งวันคุณกินข้าวทั้งหมด 8 ทัพพี ครึ่งหนึ่งควรเป็นข้าวซ้อมมือ หรือขนมปังโฮลวีตหรือธัญพืชต่างๆ โดยแลกเปลี่ยนปริมาณดังนี้ ขนมปัง 1 แผ่น = ข้าวซ้อมมือสุก ข้าวโอ๊ต หรือข้าวโพดต้ม หรือเผือก หรือมัน หรือฟักทอง หรือลูกเดือย หรือเส้นต่างๆ 1/2 ถ้วยตวง ( 1 อุ้งมือผู้หญิง )

6.จำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตขัดสี

เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว เส้นต่างๆ และขนมของว่าง อาหารเหล่านี้มีใยอาหารน้อยมาก นอกจากนี้กำจัดอาหารที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานว่างเปล่า แต่ขาดสารอาหารที่ดี วิตามิน แร่ธาตุ และกากใยอาหาร แต่กลับช่วยเพิ่มน้ำหนักเพิ่มโรคได้ดี อาหารที่มีน้ำตาลส่วนใหญ่มักจะมีไขมันสูงและพลังงานหรือแคลอรีสูง

7.เลือกกินไขมันดี

ซึ่งมีมากในปลาทะเล ถั่วปากแข็ง อะโวคาโดและน้ำมันพืช ขณะเดียวกันก็ควรลดไขมันไม่ดีหรืออาหารที่ไม่มีประโยชน์ มิฉะนั้นจะทำให้ได้พลังงานเกิน ใช้น้ำมันพืชที่มีไขมันอิ่มตัวน้อยที่สุด กินปลาทะเลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพราะปลาทะเลเป็นแหล่งที่ดีของกรดโอเมก้า 3 ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และสมองเสื่อม

8.เลี่ยงไขมันอิ่มตัว

ซึ่งมีมากในเนื้อสัตว์ติดมันโดยเฉพาะ วัว หมู ไก่ เวลากินอาหารพวกนี้ ควรเลือกเนื้อล้วนเลาะไขมันทิ้งให้หมด เลี่ยงอาหารที่มองแล้วมันเยิ้มซึ่งจะไปสะสมที่พุง

9.จำกัดหรือเลี่ยงไขมันทรานซ์

ซึ่งเป็นไขมันแปรรูปจากน้ำมันพืช มีมากในเนยเทียม หรือมาการีน เนยขาว เบเกอรีประเภทเค้ก คุกกี้ แครกเกอร์ กินได้แต่ต้องกินน้อยๆ หรือนานๆกินที

10.จำกัดอาหารคอเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มิลลิกรัม/วัน

แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น ความดันสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคหัวใจ เบาหวาน ควรลดปริมาณอาหารคอเลสเตอรอลไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม

11.จำกัดอาหารที่โซเดียมสูง

และเพิ่มอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ส้ม กล้วย มันฝรั่ง ถั่ว เป็นต้น โซเดียมมีผลในการเพิ่มความดันโลหิตในคนส่วนใหญ่และมีผลต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ควรบริโภคโซเดียมวันละไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัม ( น้อยกว่าเกลือ 1 ช้อนชา ) และสำหรับผู้ที่อายุ 51 ปีขึ้นไป คนที่มีความดันโลหิตสูงเป็นทุนเดิม เบาหวานและโรคไตเรื้อรัง ควรจำกัดโซเดียมไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัม (เกลือ 2/3 ช้อนชา)

12.บริโภคแคลเซียมและวิตามินดีให้เพียงพอ

เพื่อสุขภาพของกระดูกและฟันและุขภาพด้านอื่นๆ สำหรับวิตามินดี อาจจะไม่ง่ายนักหากจะกินจากอาหารให้พอหรือจะรับจากแสงแดดก็อาจจะค่อนข้างเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังและอาจจะได้ไม่สม่ำเสมอจากแสงแดด

13.กินวิตามินอาหารแทนที่จะกินจากเม็ดยา

วิตามินกินแทนอาหารธรรมชาติที่ดีไม่ได้เพราะอาหารจะให้มากกว่าวิตามินและแร่ธาตุ อาหารจะให้วิตามินและแร่ธาตุ ใยอหาร สารต้านมะเร็ง แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ วิตามินแร่ธาตุรวมจะช่วยเติมสารที่พร่องไปได้ วิตามินและแร่ธาตุที่ควรพิจารณาเสริมคือแคลเซียมและวิตามินดี ปรีกษาแพทย์ นักกำหนดอาหาร และเภสัชกรก่อนเสริม

14.ระวังเครื่องดื่มที่มีแคลอรี

ปัจจุบันในชีวิตประจำวัน คนเราได้รับพลังงานจากเครื่องดื่มมากวว่า 20% ของพลลังงานที่ควรได้ทั้งวัน เครื่องดื่มที่ให้พลังงานบางชนิดอาจจะเป็นเครื่องดื่มที่ดี เช่น นมพร่องมันเนย และนมขาดไขมัน และน้ำผลไม้ 100% ซึ่งต้องจำกัดปริมาณการดื่ม แต่เครื่องดื่มที่คนเารมักจะดื่มกันในชีวิตประจำวันคือ น้ำอัดลม น้ำหลานและเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ซึ่งให้พลังงานฟุ่มเฟือยแก่ร่างกายโดยไม่ให้สารอาหารที่จำเป็น ทำให้คนในยุคนี้มีปัญหาน้ำหนักตัวง่ายขึ้น

15.ถ้าดื่มแอลกอฮอลล์จงดื่มแต่พอควร

ก็คือวันละ 1 ดริ๊งสำหรับผู้หญิง และไม่เกิน 2 ดริ๊งสำหรับผู้ชาย แอลกอฮอลล์เพียงเล็กน้อยให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ถ้ามากไปจะนำไปสู่อาหารสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #503 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2014, 08:35:44 PM »

คณะวิจัยจากสถาบันคาโรลินสกา กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ได้ทำการทดลองกันจะจะ ด้วยการให้หญิงกลุ่มทดลอง 10 ราย ตื่นอยู่ตลอดเป็นเวลา 31 ชั่วโมงติดต่อกัน จากนั้นจึงนำรูปถ่ายก่อนอดนอนและหลังอดนอนสามสิบกว่าชั่วโมงนั้นมาเปรียบเทียบกัน โดยให้คนอีก 40 ราย เป็นผู้เปรียบเทียบข้อแตกต่าง ซึ่งปรากฏว่า ทุกคนที่อดหลับอดนอนนั้นล้วนมีหน้าตาโทรมลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด คือมีเปลือกตาที่บวม ดวงตาแดงก่ำ ใต้ตาคล้ำ แถมยังดูมีริ้วรอยชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ทำให้ดูแก่ โทรม เศร้า อ่อนล้า หน้าตาน่าเกลียดไม่น่าดูชม

ทิน่า ซันเดลิน ผู้นำการทดลองง่าย ๆ แต่ได้ผลชัดเจน กล่าวว่า ยามนอนหลับเลือดจะถูกสูบฉีดส่งไปยังเส้นเลือดฝอยมากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนังได้ซ่อมแซมฟื้นฟูตัวเอง การอดหลับอดนอนจึงเป็นการขัดขวางกระบวนการรักษาซ่อมแซมตัวเองของเซลล์ผิวหนังอย่างเห็นได้ชัด คำพูดที่ว่า "นอนดึกแก่ไว" จึงไม่ใช่แค่คำขู่ไปเล่น ๆ อย่างแน่นอน

นอกจากนี้การอดนอนยังส่งผลโดยตรงต่อเรื่องสภาพอารมณ์ เพราะมันทำให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายเกิดการแปรปรวน จึงเกิดความเครียดและซึมเศร้าได้ง่าย

ผลกระทบจากการนอนน้อยยังแผ่กว้างออกไป ไม่ใช่แค่กระทบกับรูปลักษณ์ที่แสดงออกผ่านใบหน้าอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปฏิสัมพันธ์จากคนรอบข้างที่คงไม่สู้ดีนักแน่ ๆ เมื่อเห็นว่าคุณดูโทรม หน้านิ่วคิ้วขมวด และอารมณ์ไม่สู้ดีแบบนี้

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #504 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2014, 08:36:16 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #505 เมื่อ: มกราคม 06, 2015, 08:17:31 PM »

“หน่อไม้” กินเป็นแซบหลาย กินพลาดถึงตาย !
“หน่อไม้” คือหน่ออ่อนจากต้นไผ่ที่แตกเหง้าออกจากดิน อีกหนึ่งอาหารยอดนิยมจากธรรมชาติ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มักใช้ทั้งหน่อไม้สดและหน่อไม้ดองมาปรุงอาหารได้หลายประเภททั้ง ต้ม ยำ แกง มีรสอร่อย แถมยังมีคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย
หน่อไม้มีสรรพคุณลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยมีใยอาหารสูงจึงช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ดีต่อระบบย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูก มีฤทธิ์เย็นแก้อาการร้อนต่างๆ ช่วยแก้กระหาย ละลายเสมหะ แก้ไอ ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง แก้โรคบิดเรื้อรัง รวมทั้งขับพิษใต้ผิวหนัง

แต่ถึงกระนั้นแม้ว่าหน่อไม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ถ้านำไปรับประทานไม่ถูกวิธีก็อันตรายไม่ใช่เล่น เช่น ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ไม่ควรรับประทาน เพราะหน่อไม้มีสารพิวรีนสูง ส่งผลให้กรดยูริกสูงขึ้นจนเป็นอันตราย รวมทั้งผู้ที่ภาวะไตเสื่อม เมื่อรับประทานหน่อไม้เข้าไป ร่างกายจะสร้างกรดยูริกมากเกินไปทำให้ไตขับออกได้น้อยลง กรดยูริกจะเกาะตามผนังหลอดเลือด ข้อ ไต และอวัยวะอื่นๆ ส่งผลให้มีอาการปวดข้อ กระดูกพรน หรือนิ่วในไตได้
โดยเฉพาะ “สารไซยาไนด์” ที่มีอยู่ในหน่อไม้ดิบ หากได้รับในปริมาณ 1.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมอาจส่งผิลถึงแก่ชีวิตได้ เพราะไซยาไนด์จะเข้าไปเกาะกับธาตุเหล็กในกระแสเลือด ธาตุเหล็กไม่สามารถพาออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ เซลล์สมองจะหยุดทำงานและเสียชีวิต
แต่ไม่ต้องวิตกกังวลไป อันตรายจากไซยาไนด์เกิดเฉพาะกรณีที่รับประทานดิบๆ เท่านั้น หากทำให้สุกสามารถรับประทานได้ เนื่องจากไซยาไนด์ถูกกำจัดได้ด้วยความร้อน
ดังนั้นไม่แปลกใจเลยว่าอาหารอีสานแสนแซบอย่าง “ซุปหน่อไม้” จึงมีกรรมวิธีที่พิถีพิถันยิ่งนัก เริ่มจากนำหน่อไม้สดมาเผาไฟแล้วปลอกเปลือก จากนั้นทำการเคี่ยนหน่อไม้ให้ออกมาเป็นเส้นๆ ก่อนนำไปต้มในน้ำเดือดหนึ่งน้ำเพื่อลดความขม เทน้ำน้ำร้อนทิ้ง ใส่น้ำสะอาดลงในหม้ออีกครั้งเพื่อให้หน่อไม้เย็นตัว รวมทั้งเป็นการล้างความขมให้หมดไป จากนั้นบีบหน่อไม้ให้น้ำออกไปให้หมด
จากนั้นนำหน่อไม้มาใส่ในน้ำใบย่านางที่คั้นเตรียมไว้ ยกขึ้นตั้งไฟ ใส่ใบแมงลัก ตะไคร้ เกลือ หรือปรุงตามที่ชอบ ต้มต่อจนเดือดสุกได้ที่จะได้เป็น “อู๋หน่อไม้” จากนั้นนำมาใส่ครกปรุงด้วยข้าวคั่ว งาคั่ว พริกป่น น้ำมะนาว น้ำปลาร้า น้ำปลา ตำเบาๆ ให้เข้ากัน ตามด้วยหอมแดงซอย ต้นหอมซอย ตบท้ายด้วยผักชีใบเลื่อย ใบสะระแหน่ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #506 เมื่อ: มกราคม 07, 2015, 03:40:49 PM »



Cr ความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพ
อาหารลดความดันโลหิตสูง ที่ทุกครัวเรือนควรมี
โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่สามารถเกิดกับคนได้ทุกวัย ถ้าหากมีพฤติกรรมการกินแบบไม่ห่วงสุขภาพ
และเมื่อไรที่โรคความดันโลหิตสูงเกิดขึ้นแล้วย่อมนำโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมาด้วยเสมอ เ
ามาดูกันดีกว่าสุดยอดอาหารลดความดันจะมีอะไรบ้าง

ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าอาหารที่เรากินเป็นประจำมีผลต่อระดับความดันโลหิตของเรา แต่คงมีน้อยคนนักที่จะใส่ใจเลือกซื้อหามาบริโภคอย่างจริงจัง ซึ่งจากข้อมูลของเว็บไซต์Prevention.com บอกว่าอาหารที่ดีต่อระดับความดันโลหิตต้องประกอบไปด้วยแร่ธาตุจำเป็น
3 ชนิดดังนี้ คือ โพแทสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ซึ่งจะมีอยู่ในอาหาร 13 ชนิดต่อไปนี้ เราลองมาดูกันนะคะว่า
แร่ธาตุทั้งสามชนิดนี้ซ่อนอยู่ในอาหารชนิดใดกันบ้าง

ถั่วขาว
สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องระดับความดันโลหิตสูง เราขอแนะนำให้ลองเพิ่มถั่วขาวเข้าไปในเมนูที่กินเป็นประจำ เพราะในเมล็ดถั่วขาวมีแร่ธาตุแมกนีเซียมสูงถึงร้อยละ 30 เชียวนะ แต่สำหรับใครที่คิดจะใช้ถั่วขาวบรรจุกระป๋องไปปรุงอาหารนั้น ก็ควรระวังเรื่องปริมาณโซเดียมเอาไว้ด้วย ทางที่ดีควรตักแยกเนื้อถั่วขาวแยกออกมาจากน้ำ ทิ้งไว้ข้ามคืนก่อนนำไปปรุงอาหาร
Tips: ใครที่กำลังลดน้ำหนัก เราขอแนะนำเมนูอยู่ท้องคือ สลัดผักเพิ่มถั่วขาวต้มสุกราดน้ำสลัดงา แค่นี้ก็อิ่มอร่อยไม่อ้วนแล้ว







เนื้อสันใน
คนรักสเต็กก็สามารถสนุกกับการกินได้เหมือนเดิมโดยไม่ต้องห่วงว่าความดันโลหิตจะสูงจนน่าตกใจ เพียงแค่ใช้เทคนิคเล็กน้อยคือ
เลือกสเต็กชนิดเนื้อสันใน ซึ่งเป็นเนื้อส่วนที่ไม่ติดมัน เพราะเนื้อในส่วนนี้อุดมไปด้วยโพแทสเซียมร้อยละ 15 และมีคอเลสเตอรอลน้อยกว่าเนื้อส่วนที่ติดมัน ที่สำคัญคือ กำหนดปริมาณการกินไม่ให้เกิน 70 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 5-6 ชิ้นแบบพอดีคำ ถึงจะดีต่อสุขภาพจริง ๆ
Tips: การปรุงเนื้อสันในให้ได้สุขภาพต้องไม่เพิ่มรสชาติเนื้อให้เค็มมากไป และควรใช้วิธีปรุงด้วยการอบ หรือย่างโดยไม่ต้องใส่น้ำมันใด ๆ





โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
โยเกิร์ตที่วางขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่จะอุดมด้วยแมกนีเซียมร้อยละ 12 โพแทสเซียมร้อยละ 18 และมีแคลเซียมสูงถึงร้อยละ 49 ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะได้รับน้ำตาลที่มาจากส่วนประกอบอื่น ๆ ที่อยู่ในเนื้อโยเกิร์ตด้วย เช่น ชิ้นเนื้อผลไม้
และรสปรุงแต่ง ทางที่ดีควรเลือกทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติดีกว่า
Tips: เพิ่มประโยชน์ให้โยเกิร์ตรสชาติโปรดง่าย ๆ ด้วยการเพิ่มชิ้นเนื้อผลไม้สด หรือใช้เป็นน้ำสลัด

ปลานิล
ปลาเนื้อขาวส่วนใหญ่อุดมไปด้วยแร่ธาตุแมกนีเซียม และโพแทสเซียมอยู่ร้อยละ 8 ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน
โดยเฉพาะปลานิลที่มีประโยชน์ต่อคนที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิต อย่างไรก็ตามมีข้อควรระวังคือ ก่อนนำปลานิลมาปรุงอาหารทุกครั้งควรทำความสะอาดให้ดีเสียก่อน เพราะในเนื้อปลานิลอาจมีสารพิษตกค้างมา เช่น สารปรอท และ สารสังเคราะห์โพลีคลอริเนตไบฟีนิล (Polychlorinated Biphenyls) ซึ่งเป็นสารที่อันตรายต่ออวัยวะตับ ผิวหนัง และทางเดินอาหาร ทำให้ทำงานผิดปกติ
Tips: การทำเมนูปลานิลนึ่งได้สุขภาพมากกว่าเมนูปลาทอดนะจ๊ะ
เราขอแนะนำเมนู ปลานิลนึ่งมะนาว กินคู่กับผักต่าง ๆ เป็นเครื่องเคียง ได้สุขภาพเน้น ๆ เลยล่ะ



กีวี
เชื่อหรือไม่ว่า กีวีอุดมด้วยวิตามินซีสูงกว่าผลส้มเสียอีกนะ
ซึ่งวิตามินซีนี่แหละที่จะทำงานร่วมกับแร่ธาตุโพแทสเซียมช่วยปรับสมดุลระดับความดันโลหิตของเราได้
Tips: กีวีที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตบ้านเราอาจมีราคาสูง ใครที่สู้ราคาไม่ไหวแต่ก็อยากใส่ใจสุขภาพไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ก็สามารถหาซื้อผลไม้ตระกูลเบอร์รีมาทดแทนกันได้นะ





ลูกพีช
ลูกพีชมีความหวานธรรมชาติที่ดีต่อระดับความดันโลหิตของเรา และยังอุดมด้วยโพแทสเซียมถึงร้อยละ 8 เราสามารถกินได้ทั้งแบบสด
คั้นเป็นน้ำพีช หรือจะนำไปทำเป็นเมนูสมูธตี้ก็ได้ แต่ต้องไม่เติมน้ำตาล
หรือน้ำเชื่อมมากไปนะคะ มิเช่นนั้นเมนูสมูธตี้ปั่นจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
Tips: ลูกพีชหรือลูกท้อก็มีแบบอบแห้งนะ ซึ่งเราไม่แนะนำให้ซื้อมากินเล่นอย่างเด็ดขาด
เพราะผลไม้อบแห้งส่วนใหญ่เคลือบด้วยน้ำตาลและเติมความหวานด้วยสารซัคคารินที่เป็นศัตรรูร้ายต่อสุขภาพของเรา





กล้วย
กล้วยเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยแร่ธาตุโพแทสเซียมมากถึงร้อยละ 12 มีคุณสมบัติกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสารเซโรโทนิน เราจึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นได้ทันตาเห็น
Tips: หากรู้สึกร่างกายไม่สดชื่นแจ่มใส แนะนำให้กินกล้วยหอมสักลูก รับรองอารมณ์ดีขึ้นแน่นอน






ผักคะน้า
ผักใบเขียวอย่างคะน้าอุดมด้วยวิตามินซีสูงไม่แพ้ผลไม้เลย ผักคะน้าที่ปรุงสุกแล้วจะมีแร่ธาตุโพแทสเซียมกับแคลเซียมมากถึงร้อยละ 9
และยังมีกรดอัลฟาไลโปอิกที่จะทำงานร่วมกับวิตามินซี ช่วยดักจับสารอนุมูลอิสระในร่างกาย
เพิ่มการกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตให้ทำงานเป็นปกติ
Tips : เมนูผัดคะน้าน้ำมันหอยไม่ใส่เนื้อสัตว์ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว




พริกหยวกแดง
พริกหยวกแดง หรือพริกหวานมีแร่ธาตุโพแทสเซียมอยู่ร้อยละ 9 ที่พร้อมจะช่วยปรับสมดุลความดันเลือดของเราให้เป็นปกติ
แต่ใครจะรู้บ้างหรือไม่ว่า การเก็บพริกหยวกแดงไว้ในตู้เย็นนานเกิน 10 วัน สามารถสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการได้
หากไม่ได้ทำการห่อด้วยฟิล์มถนอมอาหาร

Tips : ทำเมนูผัดผักเมื่อไร อย่าลืมใส่พริกหยวกแดงเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้เมนูโปรดของเราด้วย




บรอกโคลี
บรอกโคลี เป็นผักในตระกูลกะหล่ำที่มากไปด้วยคุณประโยชน์ทางโภชนาการ ซึ่งในบรอกโคลีเพียงหัวเล็ก ๆ
ก็อุดมด้วยโพแทสเซียมร้อยละ 14 ที่จะช่วยปรับสมดุลระดับความดันเลือดของเราให้เป็นปกติได้
Tips : หากร่างกายรู้สึกอ่อนเปลี่ยนเพลียแรง เราขอแนะนำเมนูเพิ่มพลังและอิ่มท้องด้วยเมนูบรอกโคลีต้มสุก ราดด้วยน้ำจิ้มสุกี้




มันเทศ
เปลือกของมันเทศแทบทุกสายพันธุ์อุดมไปด้วยโพแทสเซียมมากถึงร้อยละ 15 แต่ถ้าบริโภคแบบปอกเปลือกเราก็จะได้ประโยชน์จากโพแทสเซียมในเนื้อมันเทศแค่ร้อยละ 10 ที่สำคัญยังมีคุณประโยชน์จากคาร์โบไฮเดรต ทำให้อิ่มท้อง
ร่างกายนำไปเผาผลาญเป็นพลังงานได้ ไม่อ้วนด้วย
Tips : มันเทศเป็นพืชที่มีแป้งเยอะ ดังนั้นหากใครท้องอืดง่าย เราขอแนะนำว่าอย่ากินตอนท้องว่าง มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้

ควินัว
หลายคนไม่เคยรู้เลยว่าควินัวเป็นธัญพืชในตระกูลข้าว
เราจึงสามารถกินเป็นอาหารเช้าได้ เพราะควินัวเป็นธัญพืชโฮลเกรนที่มีโปรตีนสูง เหมาะสำหรับคนที่แพ้กลูเตน
อุดมด้วยแมกนีเซียมร้อยละ 5 ดังนั้นใครที่กำลังกินคลีนอยู่ เราอยากบอกให้รู้ว่า ควินัวก็เป็นหนึ่งในอาหารคลีนด้วย แถมอิ่มท้องดีด้วย

Tips: ทุกวันนี้ควินัวหาซื้อไม่ยากแล้ว ตามซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ก็มีวางขายกันหลายยี่ห้อแล้ว ดังนั้นคนที่รักสุขภาพตัวจริงต้องลองหาซื้อมาทานดู




อะโวคาโด
อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีกรดไขมันชนิดดี (HDL) ช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) ในกระแสเลือด โดยเฉพาะไขมันเลวชนิดคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุโพแทสเซียมอยู่ถึงร้อยละ 10 ที่จะช่วยคงสมดุลของระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติได้
Tips : เมนูช่วยดีท็อกซ์หลอดเลือดให้สะอาดอย่างง่าย ๆ ที่เราอยากแนะนำคือ สลัดอะโวคาโดราดด้วยน้ำมันงา
ซึ่งเป็นเมนูทำง่ายแถมได้สุขภาพอีกด้วย

การรักษาสมดุลความดันโลหิตนั้นไม่ยากเลย แค่ระวังเรื่องอาหารเท่านั้น ซึ่งเราต้องหลีกเลี่ยงอาหารมัน เค็มจัด และหวานจัด
เพราะสามสิ่งนี้เป็นตัวการร้ายที่ทำให้ระดับความดันโลหิตของเราผิดปกติได้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว มื้อต่อไปอย่าลืมกินอาหารที่เราได้แนะนำไป
http://health.kapook.com/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
paul711
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4406


Gold is value because it's value!


« ตอบ #507 เมื่อ: มกราคม 07, 2015, 04:55:21 PM »

 Grin  ขอบคุณครับคุณ หนูใจ เรื่องดีๆมีประโยชน์มากครับ    เทวดา
บันทึกการเข้า

ผมไม่ใช่กูรูเรื่องทอง ไม่เคยเขียนหรือพูดแม้แต่ครั้งเดียวว่าเก่งเรื่องทองอ่านที่ผมเขียน แล้วตัดสินใจเอง เกิดผิดพลาด ต้องรับผิดชอบเองอย่าโทษผู้อื่นว่าพลาดเพราะไปเชื่อคนอื่น ไม่มีใครบังคับให้ท่านเชื่อ ผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา----Paul711 
จุดหมาย 1) ทองแท่ง ให้ได้กําไร อย่างน้อย 10% ทุก 3 เดือน 2) Gold Future ให้ได้กําไรอย่างน้อย 5% ทุกเดือน 3) gold online ให้ได้กําไร อย่างน้อย 5% ทุกเดือน 
ชีวิตต้องมีหลักและจุดหมายที่ดีและแน่นอน ชีวิตที่ไม่มีหลักที่ดีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวก็เปรียบเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ใครชวนให้ทําดีก็ดีไป ใครชวนให้ทําเรื่องไม่ดี ก็จะพบกับความล้มเหลวและภัยพิบัติได้


http://ichpp.egat.co.th/

Gold2Gold.com
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #508 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2015, 12:16:10 PM »


คู่มือรถทุกคันจะบอกว่า เมื่อขึ้นรถแล้วให้ลดกระจกลงก่อนเปิดแอร์เพื่อถ่ายเทความร้อนในตัวรถออกไป ทำไมถึงบอกอย่างนั้น?

ไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันมีคนตายด้วยมะเร็งมากขึ้น

เวลาขึ้นรถ อย่าเพิ่งรีบเปิดแอร์ทันที ให้ลดกระจกลงเพื่อให้ความร้อนระบายออกไป อย่างน้อยสัก 2-3 นาทีถึงค่อยเปิดแอร์ เพราะอุปกรณ์พลาสติกในรถ เมื่อโดนความร้อนสะสมในรถจะมีการปล่อยสารเบนซีน ที่เป็นสารก่อมะเร็งออกมา มีผลต่อสุขภาพ กระดูก และลดปริมาณเม็ดเลือดขาว ในระยะยาวจะทำให้เป็นลิวคีเมีย และเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุทำให้หญิงตั้งครรภ์แท้งบุตรได้
ระดับสารเบนซีนในที่ร่มที่รับได้คิอ 50 ม.ก. ต่อตารางฟุต

รถที่จอดในที่ร่มแต่ปิดหน้าต่าง จะมีสารเบนซีน 400-800 ม.ก. คือ 8 เท่าของระดับที่รับได้ แต่หากจอดรถกลางแจ้ง ที่มีอุณหภูมิ 60 องศาฟาเรนไฮต์ ระดับสารเบนซีนจะขึ้นไปถึง 2000-4000 ม.ก. คือ 40 เท่าของระดับที่รับได้

ใครที่ขึ้นรถแล้วไม่เปิดหน้าต่าง จะหายใจเอาสารพิษของเบนซีนเข้าไปจำนวนมาก ซึ่งจะทำลายตับ ไต และยากจะขับออก 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #509 เมื่อ: มีนาคม 18, 2015, 07:47:47 PM »

ไอเดียการถ่ายรูปอาหารให้น่ากินด้วยกล้องมือถือแบบง่ายๆ



  คงจะดูเป็นเรื่องที่ไม่แปลกอีกต่อไปแล้วว่าก่อนจะกินอาหารมื้อโปรดจะต้องมีการถ่ายภาพเมนูอาหารมื้อนั้นจากมือถือส่วนตัวแล้วโพสต์รูปนั้นไปยังสื่อ Social media เช่น Facebook , Instargram , Twitter เพื่ออวดความน่ากินให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน ก่อนจะลิ้มรสความอร่อยของอาหารมื้อนั้น แล้วจะถ่ายภาพอาหารจากมือถือเครื่องน้อยของเราอย่างไรให้ภาพดูสวย และเชิญชวนให้น้ำลายไหลกับอาหารของคุณละ วันนี้ Admin เลยเอาเทคนิคการถ่ายรูปมาฝากกันเพื่อเพื่อนๆ คนไหนสนใจอยากลองเอาไปทำตามดูบ้าง เริ่มกันเลย

เคล็ดลับที่ 1 :องค์ประกอบเป็นกุญแจสำคัญ

เราจะสังเกตว่าภาพถ่ายที่ดีที่สุดนั้นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของภาพด้วยไม่ว่าจะเป็นจานอาหาร แก้วน้ำ ช้อนซ้อม แจกันดอกไม้ หรืออะไรก็ตามที่อยู่ในบริเวณรอบๆ อาหารของเรา ก็สามารถทำให้ภาพถ่ายของเราดูสวยได้ การถ่ายรูปอาหารจะต้องถ่ายภาพที่มุม 45 องศา เล็งเข้าโดยตรงลงในเครื่องดื่มหรืออาหาร จะได้มุมภาพที่ดีกว่าการถ่ายแบบตรงๆ ธรรมดา เรียกว่าแค่มุมกล้องก็สามารถทำให้อาหารของคุณดูน่ารับประทานยิ่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยละคะ

เคล็ดลับที่ 2: แสงเป็นสิ่งสำคัญ

บ่อยครั้งที่เวลาเราไปร้านอาหารเรามักจะเลือกไม่ได้ว่าจะต้องเจอกับแสงสว่างอย่างไรภายในร้าน ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบการถ่ายภาพก็ต้องเจอปัญหาเหล่านี้อยู่แล้ว ดังนั้นเวลาที่เราจะได้ภาพที่สวยนั้นเรื่องของ “แสง” นั่นก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ภาพออกมาดี หรือไม่ดีก็ได้ ดังนั้นหากจะถ่ายภาพให้ออกมาดีควรจะถ่ายในบริเวณที่มีแสงตามธรรมชาติมากกว่าแสงจากหลอดไฟสีส้ม สีเหลืองภายในร้าน ซึ่งการถ่ายภาพด้วยแสงสีออกส้มๆ เหลืองๆ จากมือถือนั้นจะได้ภาพออกมาไม่ดีเหมือนกล้องถ่ายรูปใหญ่ ทำให้สีของภาพส้มไปบ้าง เหลืองบ้างอาหารก็จะดูไม่น่ารับประทาน เพราะฉะนั้นการที่จะถ่ายรูปในที่ที่มีแสงน้อยนั้นควรจะหาแสงธรรมชาติจากหน้าต่างที่ใกล้เคียง และควรระวังในเรื่องของแสงที่สว่างจ้าเกินไปด้วยอาจจะทำให้ภาพสีจืดได้ควรหาแสงที่พอดีๆ จะดีที่สุด





เคล็ดลับที่ 3 : หลีกเลี่ยงการใช้แฟลช

ในการถ่ายภาพอาหารที่มีแสงน้อยนั้นบางคนอาจจะใช้แฟลชในการช่วยให้ภาพดูสว่างขึ้นแต่ถ้าไม่ใช้จะดีที่สุด เพราะแสงจากแฟลชอาจจะไปรบกวนหรือสร้างความรำคาญใจให้แก่ลูกค้าท่านอื่นๆ หรืออาจจะรบกวนพ่อครัวที่มาทำอาหารให้คุณก็ได้ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรอย่างยิ่งหากจะใช้ในร้านอาหาร และการใช้แฟลชก็จะทำให้สีของอาหารเปลี่ยนไปไม่สวยงามแต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อยก็ให้ลองปรับโหมดให้อยู่ในโหมดที่ใช้แสงน้อย ซึ่งมือถือบางรุ่นก็สามารถปรับได้แต่บางรุ่นก็จะมีเทคโนโลยีปรับแสงอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่ถ้าได้ภาพที่ไม่สวย ไม่ถูกใจเราก็สามารถเอามาปรับแสงทีหลังด้วย app แต่งภาพต่างๆ เพิ่มได้คะ




เคล็ดลับที่ 4 : แรงบันดาลใจ

เป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่ในตัวอยู่แล้วคือกระบวนการทางความคิด คิดที่จะสร้างสรรค์ผลงานว่าตัวคุณต้องการให้ภาพออกมาในรูปแบบใด อยากจะนำเสนออะไร หากขาดแรงบันดาลใจก็อาจจะถ่ายภาพออกมาไม่ดีก็ได้ เพราะฉะนั้นแรงบันดาลใจก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการถ่ายภาพด้วย

 
           เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับไอเดียง่ายๆ ที่เพื่อนๆ ก็สามารถนำไปปรับใช้ในการถ่ายภาพเมนูสุดโปรดให้ดูสวยน่ากินพร้อมโพสต์ให้ใครต่อใครได้ดูกันจนกด Like กันแถบไม่ทันเลยละคะ

 
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก   forkly.com
โดย: Admin kimji
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 32 33 [34] 35 36 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: