Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 34 35 [36] 37 38 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75621 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 11 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #525 เมื่อ: เมษายน 21, 2015, 07:43:47 PM »

สูตรรักษาฝ้าด้วย วิธีธรรมชาติ ที่คุณเองก็ทำได้
ช่วงนี้แดดเปรี้ยงมาก จนแทบจะลมจับทุกทีเมื่อออกไปเดินกลางแจ้ง และแดดจัดแบบนี้ก็ส่งผลเสียกับผิวไม่น้อย
โดยเฉพาะเมื่อเม็ดสีผิวหรือเม็ดสีเมลานินทำงานมากเกินไป เนื่องมาจากเจ้าเม็ดสีเมลานินนั้นมีหน้าที่กรองรังสียูวี เมื่อผิวได้รับแสงแดดมากขึ้น เมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้นตามไปด้วย แล้วก็อาจมีข้ออบกพร่องในการกรองรังสียูวี ทำให้รังสีที่มีผลต่อการเกิดฝ้าคือ “รังสี UVA” เข้าไปสามารถทำลายผิวได้ลึก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อตากแดดนานๆ แล้วผิวถึงคล้ำเสีย และเกิดฝ้าได้ รวมไปถึงฮอร์โมนและกรรมพันธุ์ ก็เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าได้เช่นกัน

วิธีการรักษาฝ้า ด้วยธรรมชาติ
1. สูตรว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้ ถือเป็นสมุนไพรใช้รักษาแผล ยอดนิยมมากๆ วิธีหนึ่ง โดยวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ให้คุณใช้ว่านหางจระเข้ 1 ใบใหญ่ (เลือกใบล่างๆ แบบที่แก่แล้ว) นำไปแช่น้ำประมาณ 10 นาที จากนั้นก็ปอกเปลือกออกและล้างให้สะอาด นำไปปั่นหรือบดก็ได้ตามถนัด แล้วจึงนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที โดยสูตรนี้หากทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยให้ฝ้าหายได้ไวยิ่งขึ้น

2. สูตรหัวไชเท้า
หัวไชเท้า สามารถนำมาทำเป็นสูตรรักษาฝ้าได้ โดยคุณสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่นำหัวไชเท้าบดหยาบๆ มาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที (แล้วแต่สภาพหน้าของแต่ละคนว่ารับได้แค่ไหน ส่วนคนที่มีผิวแพ้ง่ายไม่ควรใช้สูตรนี้) แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง หรือวันเว้นวัน ก็จะช่วยลดฝ้าทำให้ฝ้าดูจางลงได้มากเลยทีเดียว และนอกจากจะช่วยลดฝ้าได้แล้วหัวไชเท้ายังมีสรรพคุณช่วยลดริ้วรอยต่างๆ และทำให้หน้ากระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย แต่หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นแล้ว ก็ให้กระชับรูขุมขนด้วยโทนเนอร์หรือน้ำเย็นเพื่อป้องกันไม่ให้รูขุมขนกว้างด้วยล่ะ

3. สูตรมะขามเปียก
อีกหนึ่งวิธีรักษาฝ้าด้วยสมุนไพร ให้คุณนำเนื้อมะขามเปียกมาพอกหรือทาบางๆ บริเวณผิวที่เป็นรอยฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออก วิธีนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าทำให้รอยฝ้าดูจางลงและยังช่วยลดรอยด่างดำได้ด้วย แต่ถ้าที่บ้านคุณไม่มีมะขามเปียก ก็อาจเลือกใช้เป็นน้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดแทนก็ได้

4. สูตรใบบัวบก
สมุนไพรรักษาฝ้าอีกสูตร ซึ่งจากการวิจัยพบว่าใบบัวบกนั้นมีสรรพคุณในการช่วยรักษาอาการของโรคผิวหนังได้ โดยเฉพาะฝ้า กระ และสิว วิธีใช้ก็ไม่ยาก เพียงแค่นำมาปั่นแล้วใช้น้ำใบบัวบกมาเช็ดหน้าแทนการใช้โทนเนอร์ก่อนนอนทุกวัน เพียงเท่านี้รอยฝ้าต่างๆ ก็จะค่อยๆ จางลง เหลือไว้แต่เพียงหน้าอันขาวเนียนสดใส

5. สูตรไข่ขาว
อาจจะมีกลิ่นคาวสักหน่อย เพียงแค่นำไข่ขาวบริเวณรอบๆ ไข่แดง (เฉพาะไข่ขาว) มาทาบางๆ ให้ทั่วบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ไข่ขาวจะช่วยดูดซับรอยฝ้าและสิ่งสกปรกให้หมดไปจากใบหน้าของคุณได้

6.สูตรน้ำส้มสายชูจากผลแอปเปิ้ล
ใครจะรู้ว่าน้ำส้มสายชูจากผลแอปเปิ้ลจะมีประโยชน์ในด้านการช่วยดูแลผิวพรรณได้ตั้งแต่หัวจรดเท้าเนื่องจากในน้ำส้มสายชูนั้นมีฤทธิ์กรดจึงช่วยทำให้ผิวดูกระจ่างใสและเนียนนุ่มขึ้นได้เพียงแค่คุณนำมันมาผสมกับน้ำเปล่าเล็กน้อย แล้วใช้สำลีชุบและเช็ดให้ทั่วใบหน้า รอจนแห้วแล้วจึงล้างออก

7. บำรุงจากภายในสู่ภายนอก
นอกจากการรักษาด้วยวิธีต่างๆ ในระหว่างการรักษาเราสามารถดูแลตัวเองจากภายในได้โดยการรับประทานทานอาหารที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ที่เป็นตัวช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ฝ้าขยายตัวใหญ่ขึ้นนั่นเอง
อันที่จริงแล้ว ก่อนจะไปถึงการรักษา การป้องกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด คุณควรเริ่มต้นจากการหลีกเลี่ยงแสงแดด ถ้าหากต้องเผชิญแสงแดดก็ควรแต่งกายแบบไม่เผยผิวพร้อมกับทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวจากรังสียูสี โดยเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF30
ขึ้นไป และต้องเป็นแบบ PA+++ ด้วย ถึงจะช่วยปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าต้องอยู่ภายใต้แสงแดดตลอดทั้งวัน คุณอาจเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงมากกว่านี้ แต่ให้หมั่นทาครีมกันแดดบ่อยๆ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าครีมกันแดดยังมีประสิทธิภาพดีพอต่อการป้องกันแสงแดด

นอกจากนี้คุณควรสังเกตตัวเองด้วยว่าเรารับประทานยาอะไรที่เสี่ยงต่อการเกิดฝ้าหรือเปล่าเช่นยาคุมกำเนิดใช้เครื่องสำอางอะไรแล้วแพ้จนเป็นรอยคล้ายฝ้าหรือไม่
: http://www.emaginfo....h.fQa7qq5s.dpuf




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #526 เมื่อ: เมษายน 21, 2015, 07:54:16 PM »

คืนความสุขให้แก่ร่างกาย ด้วย 4 สูตรดีท็อกซ์ ทำง่าย ไม่ยุ่งยาก
หลังจากเทศกาลสงกรานต์ที่หลายคนได้หยุดยาว ไปพักผ่อน
กิน ดื่ม เที่ยวกันอย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่าก็อาจมีสังสรรค์กับครอบครัว ญาติมิตรและเหล่าเพื่อนสนิท เรียกได้ว่าทุกมื้อนั้นแทบจะเป็นมื้อหนักๆ แทบทั้งสิ้น อีกทั้งหลายคนที่เป็นนักดื่มก็อาจเติมแอลกอฮอล์เข้าเส้นเลือดไม่มีหยุดพัก เอาเป็นว่าเรามาเรียกคืนสดชื่นให้กับร่างกายด้วยการ “ดีท็อกซ์” กันดีกว่า

** หมายเหตุ : เพียงหั่นผลไม้ดังกล่าวแช่ลงในน้ำสะอาด
จิบดื่มระหว่างวัน ก็ทำให้คุณสดชื่นขึ้นแล้ว
สูตรที่ 1 แตงกวา ราสเบอร์รี่ และองุ่น
สูตรนี้แตงกวาจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและขับสารพิษออกจากร่างกาย ส่วนราสเบอร์รี่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและองุ่นจะช่วยดีท็อกซ์เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ อีกทั้งยังช่วยขับปัสสาวะอีกด้วย
สูตรที่ 2 สตรอเบอร์รี่และมะนาว
สตรอเบอร์รี่เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างคอลลาเจน อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่ช่วยในเรื่องของการดีท็อกซ์สารพิษที่ดีมาก ส่วนน้ำมะนาวตัวช่วยบรรเทาความอ่อนเพลีย แก้ร้อนใน
ดับกระหายได้ดีทีเดียว
สูตรที่ 3 สับปะรดและสะระแหน่
สับปะรดมีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย อีกทั้งยังช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดี ส่วนสะระแหน่นั้นมีฤทธิ์ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยย่อยอาหารและแก้อาการอ่อนเพลีย
สูตรที่ 4 ส้ม มะนาว และขิง
ส้มช่วยให้การไหลเวียนเลือดในร่างกายดี อีกทั้งยังเพิ่มความสดชื่นทำให้ร่างกายมีชีวิตชีวา ส่วนมะนาวนั้นสรรพคุณมากมายมีส่วนช่วยย่อยอาหารและขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากจะช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
http://manager.co.th/goodhealth/ViewNews.aspx



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #527 เมื่อ: เมษายน 26, 2015, 08:40:11 PM »

พาร์กินสัน : รู้เร็ว ฟื้นตัวเร็ว
โรคพารฺกินสันหรือที่คนไทยเรียกว่า "โรคสั่นสันนิบาต" จัดเป็นโรคความเสื่อมทางระบบประสาทที่พบบ่อยโรคหนึ่งในฺผู้สูงอายุ อาการที่แสดงออกของโรคได้อย่างชัดเจน คือ ภาวะการสั่น ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหว หรีอบังคับไม่ให้สั่นได้ มักพบในผู้ป่วยช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 100 ราย แต่ปัจจุบันกลุ่มคนทั่วไป อายุ 21-40 ปี ก็มีพบได้เช่นเดียวกัน
ปัจจุบันพบว่า ก่อนที่ผู้ป่วยจะมี "อาการสั่น" หรือ "เคลื่อนไหวช้า" มักมีอาการเตือนนำมาก่อนอย่างน้อย 5 ปี อาการเตือนที่พบได้แก่ ท้องผูก การดมกลิ่นที่ลดลง นอนละเมอ และซึมเศร้า อาการหลักของโรคพาร์กินสัน คือ ปัญหาการเคลื่อนไหว
1. อาการสั่น เป็นอาการเด่นที่พบบ่อยสุด คือ มักจะเริ่มเห็นที่มือ โดยจะเป็นที่ข้างใดข้างหนึ่งก่อน และเกิดขณะที่อยู่เฉยๆ อาการสั่นจะลดลงเมื่อใช้มือนั้นทำงาน
2. อาการแข็งเกร็ง มักจะเกิดที่แขน หรือขาข้างเดียวกันกับที่มือาการสั่น ทำให้เกิดความลำบากต่อผู้ป่วยมากที่สุด เคลื่อนไหวได้ช้าลง นอกจากนี้ตัวหนังสือที่ผู้ป่วยเขียนจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง คือ ตัวหนังสือจะเล็กลงและชิดติดกัน
3. อาการเคลื่อนไหวช้า เคลื่อนไหวน้อยๆ และต้องใช้ระยะเวลานานในการเริ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย
4. อาการทรงตัวไม่สมํ๋าเสมอ การเดินของผู้ป่วยมักจะเดินซอยเท้าถี่และเล็ก ลักษณะโน้มตัวไปข้างหน้า และเดินไม่แกว่งแขน

ทั้งนี้ พบว่าคนที่ออกกำลังกายอย่างสมํ๋าเสมอ มีโอกาสเป็นพาร์กินสันน้อยกว่าผู้ที่ออกกำลังกายน้อย


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #528 เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2015, 11:17:44 AM »

แบบนี้สิ มีประโยชน์จริง
ไม่มีโทษ แชร์แล้วได้บุญด้วย...
ไม่ทำให้ใครเสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้อง ....





"ทำไมพุทธเถรวาทถึงนิยมให้พระฉันต์มื้อเดียว"

Being Hungry Makes You Healthy

หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” เขียนโดย นายแพทย์โยะชิโนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo)

ในบทนำมีการเกริ่นว่า ผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อ เมื่ออายุ 45 ปี เพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ

ผ่านไปสิบปี เมื่อเขาไปตรวจร่างกาย พบว่า อายุหลอดเลือดของเขา เท่ากับคนอายุ 26 ปี

เขาเล่าว่า มนุษย์ในอดีต ไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์ โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้

ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้นร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง

เมื่อเราหิว ไม่มีกิน เราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอินออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย

ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา

ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด

ปัญหาก็คือเมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ

และที่สำคัญ ร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี

ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง

ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่า เขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ

เพราะว่า เขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซม และปรับตัวให้เยาว์วัย ด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น

ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์ เขาอธิบายดังนี้

(1) ปากทางเข้าลำไส้เล็ก จะมีเซ็นเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่

ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา

ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก

เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ

(2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่า หิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา

เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว

โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร

ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา

เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็นหนุ่มสาว”

นั่นหมายความว่า ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้น จากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว

ถึงท้องจะร้อง ก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาว

ที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน

(3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา

นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน

จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า

ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ มีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว”

ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน

ดังนั้น การกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิว จึงหมายถึง การมีของดีอยู่กับตัว แต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์

มาทำให้ท้องร้องจ๊อก ด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็ว

พร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่า ความแก่ชราและโรคมะเร็ง ก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน

ดังนั้น เราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว และป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้อง

มาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ

นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่า

การนอนที่ดีคือ นอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุด นั่นก็คือ ช่วงเวลาระหว่าง สี่ทุ่มถึงตีสอง

หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ

(1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง

และ (2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ…….”

นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่า

เมื่อตอนคุณหมอนะงุโมมีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม

ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปีอายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี

จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ

คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่า แค่เริ่มต้นไม่กี่วัน ก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว

กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า

คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อ คือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินือะไรก็ตามใจตัวเองได้

หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ






หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่อังคาร 20 ม.ค. 2558
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #529 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2015, 06:26:36 PM »

เลี้ยงบริเวณนั้นเพิ่มขึ้นเพื่อพาเอาจ้ำเลือดหรือสารคั่งค้างจากบริเวณนั้นกลับไป จะช่วยให้หายบวม โนและจ้ำเขียวเร็วขึ้น
ถ้าปวดให้ทานยาแก้ปวดได้ครับ โดยทั่วไปอาการบวม โน จ้ำเลือดมักจะหายไปภายใน 10-14 วัน
แต่ถ้าหากมีอาการบวมมาก บวมมากขึ้น เจ็บปวดรุนแรง ปวดบวมแดงร้อนบริเวณที่บวม ปวดศรีษะมาก ซึม อาเจียนหรืออาการอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่แน่ใจ ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจว่าไม่มีอาการอื่นแทรกซ้อนและเพื่อการรักษาที่เหมาะสมครับ

Cr คลีนิคหมอสังคม


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #530 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2015, 06:27:54 PM »

อาหารเป็นยา ทางเลือกที่ไม่ต้องใช้ยา
สำหรับคนที่ใส่ใจสุขภาพ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าต้องสรรหาสิ่งของดีๆ มีประโยชน์ เพื่อมาบำรุงร่างกายอยู่เสมอ ไม่ว่าใครจะแนะนำ
ว่าอะไรดีก็ต้องลอง ในประเทศไทยนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหารต่างๆ ซึ่งอาหารเาหล่านั้นก็เป็นยาที่ช่วยป้องกัน
จากโรคภัยต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ข้อมูลสรรพคุณต่างๆ นี้ได้มาจาก อ.มานพ เลิศสุทธิรักษ์ นายกสมาคมแพทย์จีนในประเทศไทย โดยจะแนะนำให้รู้จัก 11 ชนิด
1. ฟัก
มีสรรพคุณเป็นยารสเย็น ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ขับปัสสาวะ ลดอาการบวม หรือถ้าบางรายพักผ่อนน้อยเป็นร้อนใน
จะสามารถช่วยให้สดชื่นได้ และยังสามารถบรรเทาอาการตับอักเสบทั้ง A B และ C แต่ต้องกินอย่างต่อเนื่อง
2. ต้นหอม
ก้านหัวหอมที่ขาวๆ เป็นอาหารสำคัญที่ขับเหงื่อ ทั้งยังมีคุณสมบัติบำรุงหัวใจและทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น ใจไม่สั่น ถ้ากินสดๆ
อย่างต่อเนื่องจะสามารถลดไขมันในเส้นเลือดรวมทั้งขับไขมันได้ สำหรับคนที่เป็นหวัดนำต้นหอม 5-6 ก้านต้มกับขิง 2 แว่น
กรองน้ำดื่มจะทำให้ขับเหงื่อและลดไข้หวัดได้
3. หอมหัวใหญ่
มีสรรพคุณช่วยลดการอุดตันไขมันในเส้นเลือด ถ้ากินประจำจะสามารถลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ช่วยบรรเทาอาการแผล
อักเสบ นำมาตำผสมกับเหล้าเล็กน้อยและนำมาพอกจะสามารถระบายความร้อนกระจายเลือดคั่ง ลดการอักเสบ บวมได้
4. มะระ
มีสรรพคุณเป็นยารสเย็น บรรเทาอาการร้อนใน แก้อักเสบ เจ็บคอ และสำหรับคนที่เป็นงูสวัดสามารถคั้นน้ำมะระผสม
น้ำส้มสายชูทาบริเวณที่เป็นอาการจะดีขึ้น ถ้ากินเป็นระยะเวลานานอย่างต่อเนื่องจะสามารถลดอาการเบาหวานได้
5. กุยช่าย
มีสรรพคุณช่วยบำรุงไต บำรุงกำหนัด จะกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ และถ้าตำผสมเหล้าเล็กน้อยจะสามารถช่วยแก้ช้ำในได้
เพราะจะช่วยกระจายเลือดไม่ให้คั่ง และคนจีนนิยมกินกุยช่ายเพื่อช่วยเพิ่มความอบอุ่น
6. ใบกะเพรา
มีสรรพคุณลช่วยขับลม แก้ท้องอืด แน่น เฟ้อ ถ้านำใบกะเพรา 1-2 กำมาต้มกินจะช่วยลดความดันได้ แต่ถ้าผัดกับพริกจะช่วย
ขับลมรวมทั้งยังมีผลช่วยลดไขมันอุดตันในเส้นเลือดและควบคุมความดันไม่ให้สูงขึ้น
7. ผักชี
มีสรรพคุณเป็นยาขับพิษได้ คนที่เป็นหวัดสามารถกระทุ้งไข้หวัดขับพิษได้ ถ้าเรากินยาพาราเซตามอลจะเพียงแค่บรรเทา
แต่ถ้ากินน้ำต้มผักชีจะสามารถกระทุ้งพิษ ขับเหงื่อออกมาและหวัดก็จะหาย สำหรับเด็กที่เป็นหัด สุกใส ให้คั้นน้ำผักชีมาเช็ดตัว
จะทำให้พิษไม่หลบใน
8. ใบตำลึง
มีสรรพคุณช่วยระบายความร้อน แก้ร้อนใน ขับพิษร้อน สำหรับคนที่อดนอนเสียงแหบ ดื่มน้ำต้มใบตำลึงจะทำให้สดชชื่นขึ้น
และยังบรรเทาอาการผิวอักเสบ ถ้าเป็นงูสวัด ให้คั้นน้ำนำมาทาบริเวณที่เป็นจะช่วยให้หายได้
9. ถั่วงอก
มีสรรพคุณเป็นยาที่ขับพิษได้ รวมทั้งขับปัสสาวะ แก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ถ้ากินอย่างต่อเนื่องจะสามารถป้องกันเนื้อร้าย
และต้านมะเร็ง และคนที่มีอาการของโรคลมชักก็จะลดลง ถ้านำมาต้มดื่มน้ำจะช่วยให้ผ่อนคลายและสดชื่นได้
10. ใบขี้เหล็ก
มีสรรพคุณเป็นยาเย็น รสขมเป็นยาสำคัญที่ช่วยให้นอนหลับง่าย คลายเครียด สำหรับคนที่ไม่ต้องการกินยานอนหลับ
นำใบขี้เหล็กมาต้มดื่มน้ำ ถ้าอยากให้นอนหลับดีลองใส่ดอกมะลิลงไปจะทำให้หอมสดชื่น และสำหรับคนที่มีธาตุเย็นอยู่แล้ว
ให้ใส่ขิงสัก 1-2 แว่นเพื่อให้ธาตุสมดุลไม่เย็นเกินไป
11. มะเขือเทศ
มีสรรพคุณช่วยบำรุงผิว ถ้ากินต่อเนื่องจะทำให้ผิวพรรณดีขึ้น ช่วยลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน และทำให้เส้นเลือดฝอย
ในผิวหนังในมดลูกสมบูรณ์ขึ้น จะช่วยทำให้ไม่ตกเลือด อีกทั้งยังสามารถทำให้ความดันลดลง เนื่องจากการไหลเวียนของเลือด
ดีขึ้นและสามารถต้านมะเร็งได้ แต่สำหรับเคล็ดลับอันดับหนึ่งที่จะทำให้ผิวพรรณสดใสหน้าตาสดชื่นจะต้องมีอารมณ์ที่เบิกบาน
แจ่มใสซึ่งต้องมาจากจิตใจที่ดีด้วยจะได้ผลมากที่สุด
อ.มานพได้แนะนำว่า สำหรับผู้ที่สนใจรับประทานอาหารให้เป็นยานั้น ขอให้รู้ว่ายังมีพืชผักอีกหลายชนิด ที่สามารถป้องกันและ
รักษาโรคได้ แต่ที่สำคัญเราต้องรู้ว่าพืชผักเหล่านั้นมีความเป็นหยินหรือหยาง ต้องดูว่าร่างกายของเราเป็นธาตุร้อนหรือเย็น
เพื่อรักษาสมดุลของร่างกายจะช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีไม่อ่อนแอไม่เป็นโรคง่าย รวมทั้งผัก ผลไม้ อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะต้องสะอาดปลอดสารพิษ เพราะไม่อย่างนั้นแทนที่จะเป็นยารักษาป้องกันโรคกลับได้รับพิษสะสมจากยาฆ่าแมลงจาก
สารเคมี ทำให้เราอ่อนแอป่วยง่าย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก อ.มานพ เลิศสุทธิรักษ์
นายกสมาคมแพทย๋จีนในประเทศไทย

 
http://www.nautilus.co.th/hea…/herb_food%20is%20medicine.asp

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #531 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2015, 09:08:19 AM »


ความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพ with Chatda Siriburee
6 hrs ·

ผักกะสัง : ผักเมนูสุขภาพ สมุนไพร รักษาฝี แก้ปวด
ยาสระผม
สมัยเด็กๆ จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยกินผักกะสังกับน้ำพริก บางทีก็ลวกกิน บางทีก็กินสดๆ แต่สิ่งที่ทำให้จำผักกะสังได้อย่างแม่นยำคือ ในสมัยที่ยังเรียนอยู่ชั้นประถม จำได้ว่าคุณครูนำพืชต้นเล็กๆ ลำต้นใสๆ เข้ามาในห้อง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสอนและให้เราเรียนรู้ถึงกระบวนการดูดน้ำของพืช แต่ในวันนั้นต้นพืชใสๆ
ผู้เสียสละต้องดูดน้ำหมึกแทนน้ำธรรมดา เพื่อให้นักเรียนทั้งชั้นได้เห็นเส้นทางน้ำหมึกค่อยๆ เคลื่อนที่ไปตามลำต้นใสๆ นั้น แต่หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้เจอะเจอผักกะสังบ่อยนัก รู้แต่ว่าเป็นยาทาฝี ยาแก้อักเสบของหมอยาหลายคน
ผักกะสังกลับมาให้คนได้รับรู้อีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากการที่ไปส่งเสริมการปลูกวัตถุดิบสมุนไพรเกษตรอินทรีย์ที่บ้านดงบัง ตำบลดงขี้เหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ชุมชนที่นี่มีภูมิปัญญามากมายในการใช้สมุนไพรและการกินผักพื้นบ้าน แต่เมื่อมีการปลูกพืชตามระบบเคมีทำให้ผักพื้นบ้านหลายชนิดหายไป และไม่กล้าเก็บผักรอบบ้านหรือตามหัวไร่ปลายนามากินอีก เพราะรู้ว่าเพิ่งฉีดยาฆ่าหญ้าหรือยาฆ่าแมลงไป เมื่อหันมาปลูกวัตถุดิบสมุนไพรเกษตรอินทรีย์ ผักพื้นบ้านหลายชนิดกลับมางอกงาม พวกเขากล้าเก็บผักพื้นบ้านมากินไม่ต้องเสียเงินซื้อผักจากตลาดอีก ผักกะสัง เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
ผักกะสังมีรสเผ็ดหอม มีสรรพคุณทางหยาง (จัดแบ่งง่ายๆ ว่า หยินคือเย็น หยางคือร้อน) เรื่องรสยาเผ็ดหอมนี้ ยังพออธิบายได้อีกมุมมองหนึ่งว่า ผักกะสังกับพริกไทยนั้นเป็นพี่น้องกัน มีคนลองนำเอาผักกะสังมาขยายใหญ่ให้เท่าต้นพริกไทย มองใบสีเขียวใสๆ ให้เป็นสีเขียวเข้ม ก็จะเห็นหน้าตาผักกะสังเหมือนกับต้นพริกไทย นอกจากนี้ถ้าได้กินผักกะสังที่ยังมีเมล็ดเกาะกันเป็นช่อ คล้ายช่อเมล็ดพริกไทย ก็จะได้ลิ้มรสเผ็ดนิดๆ ซ่าน้อยๆ ที่ลิ้น ผักกะสังเป็นผักสมบูรณ์แบบชนิดหนึ่งทั้งรสชาติ รูปร่างหน้าตาโดยนำมากินสดๆ หรือลวกกินกับน้ำพริก กินเป็นสลัด หรือยำกินก็ได้ หรือนำมาจัดเป็นแจกันผักขนาดเล็กเป็นผักแกล้มบนโต๊ะกินข้าวก็น่าชมไม่น้อย
ผักกะสังถือว่าเป็นผักต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีการศึกษาวิจัยในปัจจุบันพบว่า ผักกะสังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและมีวิตามินซีสูง เรียกได้ว่าวิตามินซีน้องๆ มะนาว คือมะนาว ๑๐๐ กรัม มีวิตามินซี ๒๐ มิลลิกรัม ส่วนผักกะสังมีอยู่ ๑๘ มิลลิกรัม รวมทั้งทางสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เคยวิเคราะห์หาธาตุอาหารในพืชผักต่างๆ พบว่าผักกะสัง ๑ ขีด หรือ ๑๐๐ กรัม มีเบต้าแคโรทีน ราว ๒๘๕ ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล การที่ผักกะสังมีธาตุอาหารต้านมะเร็งอยู่สูงขนาดนี้ ผักกะสังจึงจัดว่าเป็นผักต้านมะเร็งชนิดหนึ่ง
“ยำผักกะสัง” โด่งดังขึ้นจากการที่หมู่บ้านดงบังต้องการให้คนเข้าไปชมวิถีการผลิตระบบเกษตรอินทรีย์ จึงได้พัฒนาตนเองเพื่อเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว ได้มีการค้นหาเอกลักษณ์ของหมู่บ้าน สิ่งที่พวกเขาเชี่ยวชาญนอกจากการปลูกต้นไม้แล้ว แม่บ้านของชุมชนนี้ทำอาหารอร่อยมาก เช่น แกงบอน แกงปลาดุกใส่ไพลดำ ยำผักกะสังและตำรับอาหารอื่นๆ อีกมากมาย แต่เมื่อเปิดตลาดออกไปอาหารที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือยำผักกะสัง มีสื่อมวลชนมากมายไปชิมและนำสูตรมาเผยแพร่ ปัจจุบันสูตร “ยำผักกะสัง” ของหมู่บ้านดงบังเป็นที่รู้จักกันดี ไม่มีการจดสิทธิบัตร ใครจะเชื่อว่าผักกระสังเป็นพืชพื้นเมืองของทวีปอเมริกาใต้ แต่ได้นำมาปลูกในประเทศที่มีอากาศร้อนทั่วๆ ไปรวมทั้งประเทศไทย แต่เราลืมมันไปจากกลไกผักตลาดที่ผลิตแบบเคมี ต้องขอบคุณชาวบ้านดงบังที่ทำให้ผักกระสัง กลับมาสู่สังคม
ผักกะสัง...รักษาโรคลักปิดลักเปิด
ในตำรายาไทยระบุไว้ว่าใบของผักกะสังใช้ในการรักษาโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งพอจะอธิบายได้ว่า ในผักกะสังมีวิตามินซีและสารอาหารสูง ซึ่งการรักษานั้นใช้ทั้งการกินและการบดต้นแปะบริเวณที่เลือดออกตามไรฟัน
ผักกะสัง…รักษา เริม ฝี มะเร็งเต้านม
หมอยาพื้นบ้านของไทยใช้ผักกะสังเป็นยาไม่มากนักส่วนใหญ่ใช้พอกฝีและสิวโดยใช้ต้นสดตำพอกฝี หรือใช้น้ำคั้นทาสิว ในต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ใช้ทั้งต้นสดบดประคบฝี หรือตุ่มหนอง และโรคผิวหนังอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งจากการศึกษาสมัยใหม่พบว่าผักกระสังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านแบคทีเรียหลายชนิด ทั้งยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งจะช่วยกำจัดเนื้อตายทำให้ฝีแตกได้ง่าย และสิวยุบเร็วขึ้น
“ผักกะสังรักษาเริมและมะเร็งเต้านม” ความรู้นี้ไม่ค่อยแพร่หลายนักแต่แมะ (มือลอ มะแซ) ที่บ้านกำปงบือแน ตำบลจะกว๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลาบอกว่า ผักกะสังเป็นยารักษาเริม มะเร็งเต้านม และฝี ในการรักษาเริมนั้นจะนำต้นผักกะสังผสมกับขมิ้นและข้าวสาร (ฮูยงงูกุมาตอกูยิ) ตำให้ละเอียดแล้วพอกทิ้งไว้ ๑ คืน และนำใบมาตำขยำแปะทาเม็ดที่เป็นใต้ราวนม แก้มะเร็งเต้านม ข้อมูลที่ว่าผักกะสังใช้รักษามะเร็งนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยและเป็นที่น่าทึ่งตรงที่ว่ามีรายงานการศึกษาพบว่า สารในผักกะสังมีฤทธิ์ต้านมะเร็งด้วย นอกเหนือไปจากการแก้อักเสบและแก้ปวด
ผักกะสัง…แก้อักเสบ ข้ออักเสบ เก๊าท์
หมอยาพื้นบ้านบางคนบอกว่ากินผักกะสังแก้ปวดข้อ ซึ่งในประเทศฟิลิปปินส์มีการกินผักกะสังสดๆ หรือนำมาต้มกิน เพื่อรักษาโรคเก๊าท์และข้ออักเสบ โดยนำผักกะสังต้นยาวสัก ๒๐ เซนติเมตร ต้มกับน้ำ ๒ แก้ว ให้เหลือประมาณ ๑ แก้ว แบ่งรับประทานครั้งละ ครึ่งแก้ว เช้า-เย็น ปัจจุบันผักกะสังเป็นสมุนไพรตัวหนึ่งที่ฟิลิปปินส์กำลังศึกษาวิจัยเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคข้ออักเสบรวมทั้งโรคเก๊าท์จากการที่ผักกระสังสามารถลดปริมาณกรดยูริคในกระแสเลือด
ผักกะสัง…บำรุงผิว บำรุงผม
ผักกะสังยังเป็นสมุนไพรสำหรับผู้หญิงอีกชนิดหนึ่งนอกจากใช้รักษาสิวแล้ว สาวๆ สมัยก่อนยังใช้น้ำต้มผักกะสังล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้ผิวหน้าสดใส และนอกจากนี้ คุณสารีป๊ะ อาแวกือจิ ที่บ้านกำปงบือแน ตำบลจะกวั๊ะ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา บอกว่าผักกะสังเป็นยาสระผมทำให้ผมนุ่มโดยนำใบขยำกับน้ำชโลมศีรษะให้ศีรษะเย็น ป้องกันผมร่วง ทำให้ผมนุ่ม ซึ่งอธิบายได้ว่าผักกะสังมีธาตุอาหาร มีความเป็นกรดอ่อนๆ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อราและแบคทีเรีย
ข้อควรระวัง
ในผู้ที่แพ้พืชที่มีกลิ่นฉุนประเภท mustard (พืชที่เป็นเครื่องเทศทั้งหลาย) ไม่ควรรับประทาน
สูตรยำผักกะสัง
ยำผักกะสัง ทำได้ง่ายๆ หั่นผักชิ้นพอประมาณ ๑-๒ ทัพพี น้ำมะนาว ๑-๒ ช้อนโต๊ะ กุ้งแห้ง ๑-๒ ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูแห้งทอดพอประมาณ มะม่วงซอย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ หัวหอมซอยพอประมาณ แครอทซอยฝอยๆ ๑-๒ ช้อนโต๊ะ ถั่วงคั่วพอประมาณ ขิงซอย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ หมูหยอง พอประมาณ โหระพา สะระแหน่ ไว้แต่งรส น้ำปลา ๑-๒ ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ จากนั้นรวมเครื่องปรุงทุกอย่างเข้าด้วยกัน ปรุงรสตามใจชอบ พร้อมตักเสิร์ฟได้เลย
ในยุคน้ำมันแพง แต่ไม่แล้งปัญญา หากเข้าใจธรรมชาติ นำผักกะสังที่ขึ้นได้ทั่วไป และมีสรรพคุณทางยามากมาย นำมาเป็นอาหารสุขภาพรสเด็ด ประหยัดทั้งเงิน ยังเสริมสร้างสุขภาพอีกด้วย
ผักกะสังเป็นสมุนไพรที่มีประวัติการใช้เป็นยามากมาย ในโบลิเวียมีบันทึกที่มีอายุนับพันปีชื่อ Altenos Indians document กล่าวไว้ว่า ผักกะสังทั้งต้นบดผสมน้ำใช้กินเพื่อห้ามเลือด ใช้ส่วนรากต้มกินรักษาไข้ ใช้ส่วนเหนือดินโปะแผล นอกจากนี้ ในประเทศอื่นๆ ที่มีผักกะสังขึ้นอยู่จะใช้ผักกะสังในการรักษาอาการปวดท้องทั้งแบบธรรมดาและปวดเกร็ง ฝี สิว แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก อ่อนเพลีย ปวดหัว ระบบประสาทแปรปรวน หัด อีสุกอีใส มีแก๊สในกระเพาะ ปวดข้อรูมาติก และยังมีการใช้เฉพาะบางท้องถิ่นเช่น ในบราซิลใช้ในการลดคอเลสเตอรอล ในกียานา (Guyana) ใช้ในการขับปัสสาวะ ลดไข่ขาวในปัสสาวะ ในแถบอเมซอนใช้ขับปัสสาวะ หล่อลื่น หัวใจเต้นผิดปกติ ส่วนในมาเลเซียเชื่อว่าการรับประทานผักกะสังจะช่วยรักษาโรคตาและต้อ (glaucoma) ปัจจุบันมีสารสกัดจากผักกะสังจำหน่ายในต่างประเทศ
http://innulike.blogspot.com/2014/03/blog-post.html


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #532 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2015, 09:14:06 AM »

สารอาหารในผงกะหรี่ช่วยต่อสู้เซลล์มะเร็ง

“ผงกระหรี่” มีส่วนประกอบหลักมาจากผงขมิ้น ซึ่งใน ขมิ้นนั้นจะมีสารประกอบที่เรียกว่า Curcumin
ประกอบอยู่ด้วย จากผลการวิจัยล่าสุดพบว่า Curcumin สามารยับยั้งกระบวนการ ส่งสัญญาณของ
เซลล์ที่ก่อให้เกิดเซลล์มะเร็งในคอและศีรษะได้ จากการศึกษาน้ำลายของมนุษย์ โดยนักวิจัยจาก
UCLA’s Jonsson Comprehensive Cancer Center มลรัฐ California ประเทศสหรัฐอเมริกา
กระบวนการยับยั้งการส่งสัญญาณดังกล่าว มีความ เกี่ยวข้องกับการลดปริมาณของ Pro-inflammatory
cytokines หรือโมเลกุลส่งสัญญาณในน้ำลายที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งจากผลการวิจัย
ดังกล่าว พบว่า Curcumin สามารถ ทำงานได้ดีในช่องปากผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ศีรษะและคอ อีกทั้ง
ยังสามารถลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย

      นอกจาก Curcumin จะสามารถยับยั้งการส่งสัญญาณ ของเซลล์มะเร็งได้แล้ว ยังสามารถลดปริมาณ
ของ Pro-inflam- matory cytokines ในน้ำลายได้อีกด้วย
ขมิ้นชันนิยมนำมาใช้เป็นเครื่องเทศในการประกอบ อาหารสำหรับกลุ่มประเทศแถบเอเชียใต้และกลุ่ม
ประเทศแถบ ตะวันออกกลาง และยังเป็นสมุนไพรพื้นบ้านเนื่องจากมีสรรพคุณ ทางยาในการลดอาการ
อักเสบอีกด้วย อีกทั้งจากผลการวิจัยในอดีต ที่ผ่านมาพบว่า ขมิ้นชันมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของ
เซลล์มะเร็ง ซึ่งผู้หญิงชาวอินเดียจะนำขมิ้นชันมาใช้ทาผิวเพื่อชะลอความชรา บรรเทาอาการปวด
ประจำเดือน และใช้เป็นยาพอกเพื่อช่วยในการ สมานตัวของแผลอีกด้วย

       ในปี 2005 นักวิจัยพบว่า Curcumin มีฤทธิ์ยับยั้งการ เจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในคอและศีรษะ
จากการทดลองในจาน เพาะเซลล์และหนูทดลอง ซึ่งการทดลองในสัตว์ นักวิจัยได้นำ Curcumin
ที่อยู่ในรูปลักษณะคล้ายแป้งเปียกป้ายที่เซลล์มะเร็ง โดยตรง ต่อมา ในปี 2010 นักวิจัยได้เก็บและ
บันทึกผลการทดลอง ในจานเพาะเซลล์และหนูทดลองเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งจากผลการ ทดลองพบว่า
Curcumin สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ มะเร็งในคอและศีรษะ โดย Curcumin จะไปจับ
และป้องกัน เอนไซม์ชื่อ IKK (เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ยับยั้งกระบวนการ Kappa βkinase) จาก transcription
factor ที่เรียกว่า nuclear factor kappa β ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

       ต่อจากนั้น นักวิจัยได้ทดลองในผู้ป่วยโรคมะเร็งในคอและศีรษะ ทั้งหมด 21 โดยได้เก็บตัวอย่างน้ำลาย
ทั้งก่อนและหลังจากที่ผู้ป่วย เคี้ยวเม็ด Curcumin ปริมาณ 1,000 มิลลิกรัม จากผลการทดลอง พบว่า
Pro-inflammatory cytokines ที่อยู่ในน้ำลายของผู้ป่วย และยังช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
นั้น มีปริมาณลดลงในผู้ป่วยที่ได้รับการเคี้ยว Curcumin อีกทั้งการส่ง สัญญาณของเซลล์ที่ทำให้เกิด
การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งนั้น ถูกยับยั้งไปอีกด้วย

      ทั้งนี้ นักวิจัยเชื่อว่าจะสามารถพัฒนา Curcumin ในการทำงานร่วมกับวิธีการรักษาโรคมะเร็งในคอ
และศีรษะปัจจุบัน เช่น การฉายรังสี การรักษาด้วยสารเคมี (Chemotherapy) และอาจสามารถประยุกต์
ใช้กับผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงสูงในการป่วยเป็น โรคมะเร็งในคอและศีรษะเช่น ผู้สูบบุหรี่ หรือผู้ป่วยที่ติดเชื้อ
ไวรัส HPV รวมถึงการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในช่องปากอีกด้วย

       ถึงแม้ว่า Curcumin จะไม่ก่อให้เกิดพิษต่อร่างกาย ของผู้ป่วย แต่ปัญหาที่สำคัญจากการใช้ Curcumin
คือ ปากและฟันของผู้ใช้จะกลายเป็นสีเหลือง และเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการรักษาโรค จำเป็นต้องใช้
Curcumin ในรูปอาหารเสริม เนื่องจากปริมาณของ Curcumin
ในขมิ้นชันที่ มากจากการประกอบอาหาร
นั้นมีปริมาณไม่เพียงพอต่อการรักษา ซึ่งนักวิจัยจำเป็นต้องศึกษาและพัฒนาวิธีการนำ Curcumin มาใช้
อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก Curcumin นั้นเป็นสารที่หา ได้ง่ายจากการประกอบอาหารอีกทั้งยังอาจมี
ผลกระทบ ต่อร่างกายหากรับประทานสารดังกล่าวด้วยวิธีอื่นๆ โดยไม่ใช้การเคี้ยว และอาจก่อให้เกิด
โรคมะเร็งขึ้นได้ในภายหลัง

ที่มา : www.science daily.com
http://www.ostc.thaiembdc.org/stnews_Oct11_8.html


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #533 เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2015, 09:19:01 AM »

ผลไม้ไทย 30 ชนิด มีฤทธิ์ทำลายตัวก่อโรคมะเร็ง



กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ขณะนี้คนไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสารอนุมูล อิสระ เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด

ทั้งนี้ สารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้ โดยวิตามินซี ซึ่งละลายน้ำได้ ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ส่วนวิตามินอี เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จะช่วยยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระได้ และวิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันที่อยู่ในรูปของเบต้าแคโรทีน หรือแคโรทีนอยด์ ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก และมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพด้านอื่นๆ ได้แก่ ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการเสื่อมของตา เนื่องจากสูงอายุ และต้อกระจก รวมทั้งลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิดและโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อย่างดี
ทั้งนี้กรมอนามัยได้ศึกษาแหล่งอาหารไทยที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทั้ง 3 ชนิด พบว่า
ผลไม้ที่พบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

มะม่วงน้ำดอกไม้สุกมี 873 ไมโครกรัม
มะเขือเทศราชินีมี 639 ไมโครกรัม
มะละกอสุก 532 ไมโครกรัม
แคนตาลูป 217 ไมโครกรัม
มะปรางหวาน 230 ไมโครกรัม
มะยงชิด 207 ไมโครกรัม
สับปะรดภูเก็ต 150 ไมโครกรัม
แตงโม 122 ไมโครกรัม
ส้มสายน้ำผึ้ง 101 ไมโครกรัม
ลูกพลับ 93 ไมโครกรัม
ผลไม้ที่มีวิตามินอีสูงสุด 10 อันดับแรก คือ

ขนุนหนัง 2.38 มิลลิกรัม
มะขามเทศ 2.29 มิลลิกรัม
มะม่วงเขียวเสวยดิบ 1.52 มิลลิกรัม
มะเขือเทศราชินี 1.34 มิลลิกรัม
มะม่วงเขียวเสวยสุก 1.23 มิลลิกรัม
มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 1.1 มิลลิกรัม
มะม่วงยายกล่ำสุก 0.97 มิลลิกรัม
กล้วยไข่ 0.47 มิลลิกรัม
แก้วมังกรเนื้อสีชมพู 0.59 มิลลิกรัม
สตรอเบอรี่ 0.54 มิลลิกรัม
ส่วนผลไม้ที่มีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ

ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม
ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม
มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม
มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม
เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม
ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม
สตรอเบอรี่ 66 มิลลิกรัม
มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม
พุทธาแอปเปิล 47 มิลลิกรัม
ส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม

http://guru.sanook.com/26965/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #534 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2015, 08:08:04 PM »

เรื่องเด่นเทรนด์ฮิต (เข้าขั้นดราม่าของปีนี้) การใช้ชีวิตแบบ Slow life

+++++++++

Slow life คืออะไร เทรนด์ชีวิตสไตล์ใหม่ที่คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แท้จริงแล้วนิยามของ Slow life คุณกระจ่างกับมันแค่ไหน

แอบเห็นกระแสการใช้ชีวิตแบบ Slow life ว่อนโซเซียลมีเดีย จนเริ่มอยากรู้แล้วล่ะว่า การใช้ชีวิตแบบ Slow life แท้จริงเป็นการใช้ชีวิตแบบจิบกาแฟแบรนด์ดังหรือแค่ใช้ชีวิตให้เ­­รื่อยเปื่อยมากขึ้นกันแน่ ถ้าอย่างนั้นมาไขความกระจ่างกับเว็บไซต์ this slow life ไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

Slow life คือ การใช้ชีวิตแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างมีสาระ ชะลอตัวเองให้ไม่ไหลอย่างไร้ทิศทางไปตามกระแสสังคม ทำทุกอย่างด้วยสปีดที่ช้าลง เพื่อให้มีสติและซึมซาบความหมายของชีวิตได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้มี Carl Honoré บุคคลที่ Huffington Post ขนานนามว่าเป็นตัวพ่อแห่งการใช้ชีวิตแบบช้า ๆ ได้ให้นิยามของชีวิต Slow life เอาไว้

ซึ่ง Carl Honoré ก็ยังออกตัวไว้ว่า การใช้ชีวิตแบบ Slow life ไม่ได้หมายความว่าเราใช้ชีวิตอย่างช้า ๆ แล้วจะกลายเป็นคนล้าหลังหรือดูว่าเป็นคนทึ่มไม่น่าจะทันกิน เพราะใครกันล่ะที่บอกว่า หากเราใช้ชีวิตแข่งกับเวลา ต้องแซงหน้าทุก ๆ คน แล้วชีวิตจะดีกว่า ทั้งที่จริงแล้วชีวิตที่เร่งรีบอย่างที่เคยทำมาตลอดส่งผลในด้าน­­ลบกับเราหลายอย่าง เช่น ระบบการทำงานของร่างกายถูกบังคับให้ทำงานหนักกว่าเดิม หรือยิ่งรีบยิ่งพลาดอะไรดี ๆ ในชีวิตไปไม่น้อย ดังนั้นหากเราใช้ชีวิตในทุก ๆ ย่างก้าวอย่างละเมียดละไมที่สุด ชีวิตก็น่าจะได้อะไรที่มากกว่า

ทว่าการใช้ชีวิตแบบ Slow life ก็ไม่ได้บอกให้ช้ากับทุกสิ่ง แต่เป็นการสร้างสมดุลแห่งช่วงเวลาในชีวิตอย่างเหมาะสม อาจมีบ้างที่ชีวิตต้องการความเร่งด่วน แต่ถึงอย่างไรความเร่งด่วนคงไม่ได้จำเป็นกับชีวิตเสมอไปหรอกใช่­­ไหม ฉะนั้นสิ่งไหนควรรีบให้รีบ สิ่งไหนช้าได้ก็อย่าเร่งตัวเองเท่านั้นพอ

และนอกจากนิยามชีวิตแบบ Slow life ของ Carl Honoré แล้ว Leo Babauta นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกันเชื้อสายกวม พ่วงด้วยตำแหน่งผู้ก่อตั้งเว็บบล็อก Zen Habits ยังได้บอกเล่ากฎการใช้ชีวิตแบบ Slow life ไว้ในหนังสือที่ขายดิบขายดีเรื่อง The Power Of Less ว่า หากอยากใช้ชีวิต Slow life แบบถึงแก่นจริง ๆ คุณต้องเดินรอยตาม 10 ข้อนี้

1. ทำให้น้อย

เชื่อไหมว่าหลายคนมโนไปเองว่าทุกสิ่งในชีวิตสำคัญเทียบเท่ากันหมด จนบางครั้งถึงกับจัดลำดับไม่ถูกว่าควรทำอะไรก่อนดี แต่แทนที่จะปล่อยตัวเองให้หัวหมุนไปกับภารกิจร้อยแปดพันอย่าง ลองตั้งสติแล้วลำดับความสำคัญดูว่า สิ่งไหนควรต้องทำและจำเป็นต้องรีบจัดการให้เสร็จไปก่อน ที่เหลือก็ค่อย ๆ เรียบเรียงความสำคัญทีหลัง แล้วแบ่งเวลาให้ตัวเองได้หยุดหายใจบ้าง

2. อยู่กับปัจจุบัน

ไม่เพียงแต่ชะลอจังหวะชีวิตของตัวเองให้ช้าลง แต่คุณควรต้องมีสติกับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ให้มากที่สุด สิ่งที่เกิดไปแล้วปล่อยผ่าน สิ่งที่ยังไม่เกิดช่างมัน สนใจแค่นาทีที่กำลังเป็นไป สิ่งแวดล้อมที่กำลังนั่งหายใจอยู่ และคนที่มาร่วมหายใจอยู่ข้าง ๆ คุณเท่านั้นพอ

3. เบรกตัวเองจากโลกออนไลน์สักพัก

เทคโนโลยีและโซเชียลในยุคนี้แทรกแซงเข้ามาในชีวิตเราแบบไม่ทันได้ตั้งตัว หลายคนเลยเผลอเปิดตัวเองให้พร้อมจะรับรู้ข่าวสารและติดต่อกับสังคมแทบจะตลอดเวลา เผลอทำชีวิตส่วนตัวหล่นหาย และแขวนความเป็นไปของเราไว้กับโลกออนไลน์ที่มีทั้งคนคุ้นเคยและแปลกหน้า ฉะนั้นลองชัตดาวน์ตัวเองมาอยู่ในมุมส่วนตัวสักพัก เปิดโอกาสให้ตัวเองมีเวลาเห็นและรับรู้สิ่งรอบตัวที่เคยมองข้ามไปบ้าง แค่นี้ก็ได้สัมผัสคำว่าชีวิตได้มากขึ้นอีกนิดแล้ว

4. สนใจคนรอบข้างอย่างจริงจัง

ทุกวันนี้เราเข้าสังคม เรานัดพบเพื่อนเก่า ๆ และมีเวลาให้ครอบครัวเป็นประจำ แต่ส่วนมากมักจะเป็นแนวพบเจอ พูดคุยแปบ ๆ แต่ไม่ได้สื่อสารกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ เนื่องจากมีเทคโนโลยีและการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์เข้ามาแย่งพื้นที่ จากที่ควรจะนั่งสบตาและพูดคุยกันอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราก็กลับทำเพียงฟังในสิ่งที่เขาพูด และคอยหาจังหวะพูดในสิ่งที่อยากพูดกลับไป เว้นช่องว่างของความเข้าอกเข้าใจกลวงโบ๋อย่างที่ไม่มีใครรู้ตัว ฉะนั้นเปลี่ยนมาใช้ชีวิตกับคนรอบข้างแบบที่ได้สบตาคู่สนทนามากกว่าจ้องหน้าจอกันเถอะ

5. ซึมซับธรรมชาติให้มากขึ้น

เพียงแค่เราใส่ใจธรรมชาติมากขึ้น เราก็สามารถสัมผัสธรรมชาติได้แทบทุกวินาที โดยที่ไม่จำเป็นต้องเก็บเสื้อผ้าแล้วออกเดินทางไปหาธรรมชาติจากที่ไกล ๆ ให้เหนื่อยเลย ไม่เชื่อลองเงยหน้าจากหนังสือ มือถือ แท็บเล็ต แล้วหันออกไปมองนอกหน้าต่าง เปิดโอกาสให้ตัวเองเดินย่ำเท้าบนพื้นหญ้า ให้สายลมพัดพาผมให้ปลิว ให้ผิวได้รับวิตามินดีจากแสงแดด ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งแทนการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ สัมผัสทุกสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติมากขึ้นอีกนิด แล้วคุณจะรู้สึกโชคดีกับการมีชีวิตอยู่มากขึ้นทุกวัน

6. กินให้ช้าลง

เคี้ยวอาหารให้ช้าลง ละเมียดละไมความอร่อยจากอาหารที่เราตักเข้าปาก ใครไม่เคยใช้ชีวิต Slow life แบบนี้คงไม่รู้หรอกว่า แค่ปรับวิถีการกินอาหารให้ช้าลงก็มีความสุขมากขึ้นเยอะแล้ว อย่างน้อยระบบย่อยอาหารของเราก็ไม่ต้องเร่งจนเหนื่อย ภายในร่างกายสมดุลขึ้น ชีวิตก็สมบูรณ์แบบได้

7. ขับรถให้ช้าลง

ชีวิตที่เร่งรีบอาจทำให้คุณต้องเหยียบไมล์รถจนเคยชิน จนบางครั้งก็ไม่ต่างจากการพาตัวเองไปสุ่มเสี่ยงกับอุบัติเหตุและ ความประมาทเลยสักนิด ดังนั้นถ้าไม่ต้องรีบคงดีกว่า ขับรถให้ช้าลง มีน้ำใจบนท้องถนน และอาจตื่นให้เช้าขึ้นอีกหน่อย จะได้มีเวลาแวะในจุดที่อยากแวะแต่ไม่เคยได้ทำ เปิดประสบการณ์ชีวิตให้ตัวเองเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง

8. โลกสวยด้วยมุมมอง

โลกจะสวยหรือเสื่อมอยู่ที่เราเลือกมองแบบไหน และบางครั้งการมีมุมมองแย่ ๆ กับสิ่งรอบตัวก็เป็นเพราะเรารีบเร่งจนลืมพิจารณาสิ่งนั้น ๆ ให้ดีต่างหาก ไม่ใช่เพราะสิ่งรอบตัวเราแย่เลย สักนิด ถ้าอย่างนั้นลองง่าย ๆ แค่ทำอะไรให้ช้าลงอย่างมีสติ แล้วคุณจะเห็นด้านดี ๆ จากสิ่งรอบตัววันละนิดละหน่อย เปลี่ยนโลกหม่น ๆ ให้กลายเป็นโลกที่สวยสดใส

9. ทำทีละอย่าง

อย่าลืมว่าเรามีแค่ 1 สมอง กับ 2 มือเท่านั้น ดังนั้นอย่าบังคับตัวเองให้ทำอะไรพร้อมกันหลาย ๆ อย่าง เพราะนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายในชีวิตได้ จับของสิ่งเดียวด้วยสองมือยังไงก็ชัวร์กว่าแยกอีกมือไปจับของอื่น ๆ ในเวลาเดียวกันนะ

10. หายใจเข้าลึก ๆ

เคยรู้สึกเหนื่อยจนต้องหอบเพราะความเร่งรีบกันมามากแล้ว เรามาใช้ชีวิตให้ช้าลงเพื่อให้ตัว เองสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กันบ้างดีกว่า เชื่อสิว่าเพียงแค่อยู่นิ่ง ๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ยาว ๆ สติที่บินหายไปก็จะเริ่มกลับมา ความเครียด ความโกรธ และความเหน็ดเหนื่อยก็จะหายไป

เห็นได้ชัดว่า การใช้ชีวิตในทุกวันนี้ไม่ได้หมุนวนไปพร้อมกับปัจจัยทั้ง 4 เพียงอย่างเดียว ทว่าเราทุกคนต่างหยิบเอากระแสใหม่ ๆ ในสังคมติดไม้ติดมือไปคนละอย่างสองอย่าง แต่ไม่ว่าจะมีเทรนด์อะไรเข้ามา ขอแค่ให้เรามีสติกับการใช้ชีวิตตลอดเวลา เพียงเท่านี้ก็มีชีวิตที่สมดุลได้แล้วนะคะ

Cr. http://health.kapook.com/view121714.html
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #535 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2015, 09:33:03 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #536 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2015, 09:33:28 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #537 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2015, 09:34:06 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #538 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2015, 09:34:31 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #539 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2015, 09:36:25 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 34 35 [36] 37 38 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: