Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 35 36 [37] 38 39 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75575 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #540 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2015, 09:36:59 PM »

ความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพ ประยูร จรรยาวงษ์ คอลัมนิสต์ชื่อดัง แนะเคล็ดลับการกินอาหารและการดูแลสุขภาพของคุณ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 28, 2015, 09:43:17 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #541 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2015, 09:38:06 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #542 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2015, 09:38:37 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #543 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2015, 09:42:15 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #544 เมื่อ: สิงหาคม 05, 2015, 09:49:31 PM »

ผักอะไรที่มียูริกสูง ทานแต่พอเหมาะ เลี่ยงได้หลายโรค
โรคเกาต์ นิ่วในไต ภาวะเลือดเป็นกรด รวมทั้งความเสี่ยงโรคต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นผลพวงมาจากกรดยูริกในอาหาร แต่ถ้าใครคิดจะเลี่ยงเนื้อสัตว์มากินผักก็ต้องระวัง เพราะก็มีธัญพืช ผลไม้ และผักที่กรดยูริกสูงอยู่เหมือนกัน
กรดยูริก ชื่อนี้หลายคนคงรู้จักกันดี เพราะเจ้ากรดชนิดนี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคเกาต์ ที่สร้างความเจ็บปวดทรมานให้ผู้ที่เป็น โดยหลาย ๆ คนมักจะคิดว่าการมีกรดยูริกในร่างกายสูงนั้นเกิดมาจากการรับประทานโปรตีนประเภทเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียว อยากให้รู้ว่าผิดถนัดเลยล่ะค่ะ เพราะแท้จริงแล้วพืชผัก หรือธัญพืชบางชนิดก็มีตัวกระตุ้นการสร้างกรดยูริกอย่างสารพิวรีนในร่างกาย ที่หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ ก็ทำให้มีกรดยูริกในร่างกายสูงได้เช่นกัน วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำเสนอเรื่องอันตรายของกรดยูริก และผักที่มีกรดยูริกสูง อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวเพราะอันตรายจากกรดยูริกนั้นจู่โจมคุณได้ทุกเมื่อ
อันตรายจากกรดยูริก อันตรายกว่าที่คิด
กรดยูริกเป็นผลพวงที่เกิดมาจากการย่อยสลายของสารพิวรีน (Purines) ในร่างกาย โดยสารพิวรีนนั้นก็มีต้นกำเนิดมาจากการย่อยโปรตีนในร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้วในร่างกายของเราควรจะต้องมีกรดยูริกไม่เกิน 2.3-7.1 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร แต่ถ้าหากเกิดความผิดปกติขึ้นกับระบบการย่อยโปรตีน ก็จะทำให้ร่างกายสร้างกรดยูริกออกมามากกว่าปกติและทำให้เกิดอันตรายกับอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งก่อให้เกิดโรคร้ายแรงตามมาอีกด้วย โดยอาการที่สามารถเห็นได้ชัดเมื่อกรดยูริกในร่างกายสูงขึ้นผิดปกติก็คือ หูอื้อ มีเสียงดังในหู และเวียนหัวเหมือนบ้านหมุนได้ เนื่องจากเส้นเลือดหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับหูและการทรงตัวได้ไม่เต็มที่นั่นเอง ทั้งนี้หากมีกรดยูริกสะสมในร่างกายมากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ดังนี้
โรคเกาต์ (Gout)
โรคเกาต์นั่นมีสาเหตุโดยตรงมาจากภาวะกรดยูริกในร่างกายสูง ซึ่งภาวะกรดยูริกสูงนั้นเกิดได้จาก 2 สาเหตุก็คือ รับประทานโปรตีนมากเกินไปจนทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้หมด จนทำให้ระบบย่อยโปรตีนมีปัญหาและสร้างกรดยูริกออกมาในปริมาณที่มากกว่าปกติ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็มาจากความผิดปกติของยีนในร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับการย่อยโปรตีน โดยศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ เปิดเผยว่า เมื่อกรดยูริกในร่างกายสูงขึ้น ร่างกายก็ไม่สามารถกำจัดออกจากร่างกายได้หมด กรดเหล่านี้ก็จะตกผลึกในกระเพาะปัสสาวะ หรือไปเกาะอยู่ตามข้อต่อต่าง ๆ โดยเฉพาะบริเวณเท้าและมือ ไปกดให้เนื้อเยื่อเกิดการอักเสบ ทำให้เกิดอาการปวด จากนั้นก็จะเกิดอาการข้ออักเสบและบวม ซึ่งเราเรียกอาการนี้ว่า โรคเกาต์นั่นเอง
ภาวะเลือดเป็นกรด (Metabolic Acidosis)
ภาวะเลือดเป็นกรดถือเป็นอาการที่อันตรายร้ายแรง ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง เนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกายได้หมดและเหลือตกค้างเป็นจำนวนมาก อาการที่สามารถเห็นได้ชัดก็คือ จะหายใจถี่ขึ้น
มีอาการมึนงงสับสน ซึม ช็อก และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
แต่อาการเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเฉียบพลัน หากจะเกิดจากการสะสมของกรดยูริกเป็นเวลานานค่ะ
นิ่วในไต (Kidney Stone)
เมื่อกรดยูริกสะสมอยู่ในไตมากเกินไปก็อาจจะเกิดการตกผลึกและเกาะตัวกันเป็นก้อนนิ่วอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ และสามารถสร้างความเจ็บปวดให้ได้ไม่น้อย และวิธีการรักษาเดียวก็คือการผ่าตัดนำก้อนนิ่วนั้นออก นอกจากนี้เมื่อผ่าตัดแล้วก็จำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร เนื่องจากนิ่วนั้นสามารถเกิดซ้ำได้ หากไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในครอบครัวที่มีประวัติเป็นนิ่วในไตมาก่อน
ธัญพืช ผลไม้ หรือผักอะไรที่มียูริกสูง ควรทานแต่พอเหมาะ
จริง ๆ แล้วการหลีกเลี่ยงภาวะกรดยูริกสูงที่ดีที่สุดก็คือการหลีกเลี่ยงการรับประทานโปรตีน แต่หารู้ไม่ว่าแม้จะเลี่ยงการรับประทานโปรตีนแล้ว การหันมารับประทานบรรดาพืชและผักชนิดต่าง ๆ ก็ยังต้องเลือกให้ดี เพราะบรรดาพืชที่เราคิดว่ามีประโยชน์นั้นบางชนิดก็มีกรดยูริกสูงแบบอันตรายสุด ๆ เอาไว้ด้วยล่ะ อย่างเช่นที่เอกสารทางวิชาการอย่าง Food Composition and Nutrition Tables ได้เปิดเผยปริมาณของกรดยูริกในผัก ผลไม้ และธัญพืชไว้ดังนี้ (ตามรูปที่ 3)
เรียกว่าปริมาณของกรดยูริกนั้นไม่น้อยเลยเชียวล่ะค่ะ สำหรับคนป่วยยังไงก็ควรลดปริมาณกันดีกว่า เพราะถ้าหากรับประทานบ่อย ๆ และมาก ๆ เข้า ก็อาจจะไปสะสมทำให้เกิดภาวะกรดยูริกในร่างกายสูงได้ค่ะ ทางที่ดีคือ เลือกทานผักให้หลากหลายชนิด สลับสับเปลี่ยนกันไป จะได้ไม่มีสารอะไรตกค้างในร่างกายในปริมาณที่มากจนเกินไป
กรดยูริกแม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยดีกับร่างกาย แต่ถ้าหากควบคุมให้อยู่ในระดับที่ปกติได้ ร่างกายของเราก็จะไม่มีความผิดปกติใด ๆ ดังนั้นอย่ารอให้เกิดอาการก่อนแล้วค่อยมาปรับตัว เพราะถ้าถึงตอนนั้นแล้วเราก็คงต้องใช้เวลากันอีกนานกว่าร่างกายจะมาสมบูรณ์แข็งแรงกันอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาเลย เพราะแค่สุขภาพที่เสียไปก็ไม่คุ้มกันแล้วนะ
http://health.kapook...view125452.html



cr ความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #545 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2015, 05:13:56 PM »











SVN Thailand added 9 new photos to the album: ทีมงานแพทย์วิถีธรรม: ผู้รับรางวัล SVN Award ประจำปี 2557 — at สยามสมาคมในราชูปถัมภ์.

“หมอที่ดีที่สุดในโลก คือ ตัวเราเอง และเครื่องมือที่แท้จริงในการบำบัดรักษาโรค คือร่างกายของเราเอง ถ้าสุขภาพพึ่งตนเองไม่ได้ หมอและคนไข้สุดท้ายก็พากันป่วยตาย” ดำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่กลุ่มแพทย์วิถีธรรมโรงพยาบาลโพธาราม ได้ใช้เป็นหลักคิด และนำองค์ความรู้ของคุณหมอเขียว-นายใจเพชร กล้าจน มาปรับใช้เพื่อสื่อสารกับประชาชนและคนไข้ ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการรักษาสุขภาพที่ต้องใช้ความอุตสาหะพากเพียรที่มากกว่าการทำงานตามหน้าที่ เป็นการดำเนินด้วยอุดมคติของแพทย์ผู้ต้องการให้คนไข้กลับมามีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน ด้วยองค์ความรู้ ตามหลักแพทย์วิถีธรรมและแนวเศรษฐกิจพอเพียง

ผลจากการปฏบัติอย่างจริงจังของทีมงานแพทย์วิถีธรรม โรงพยาบาลโพธาราม
ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อวงการสุขภาพในพื้นที่ ที่เกิดจากการดูแลและรักษาคนไข้ที่มิได้รักษาแต่เพียงร่างกาย หากยังมุ่งรักษาด้วยใช้หลักธรรมนำจิตใจ ทำให้วิถีชีวิตที่เคยสร้างปัญหาต่อสุขภาพ พลิกผันไปสู่วิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสุขภาพ ซึ่งเกิดจาก
การลงมือปฏิบัติงานอย่างมุ่งมั่นของกลุ่มแพทย์วิถีธรรม โดยแพทย์และพยาบาล
โรงพยาบาลโพธารามได้ก่อให้เกิดทางเลือกและทางปฏิบัติใหม่ในการรักษาสุขภาพ ที่พึ่งพาตนเอง จึงเห็นสมควรประกาศรางวัล SVN AWARD ภาคสังคมดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2557 ยกย่องเป็น “กลุ่มคนภาคสังคมดีเด่นที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ ด้วยหัวใจแห่งวิถีธรรม”
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #546 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2015, 06:15:13 PM »

Cr ข่าวด็ด ข่าวดัง

“เม็ดบัว” เม็ดบ้วไทย ใครจะรู้ ประโยชน์มหาสาร ขนาดนี้!!!
หลายท่านจะยังไม่เคยทาน ”เม็ดบัว” และอาจคาดไม่ถึง ว่าเจ้าเม็ดบัวน้อยๆ นี้จะมีสรรพคุณทางยาสามารถช่วยบำรุงโลหิต แต่เชื่อเถอะ เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลายท่านที่มักมี อาการวิงเวียนหน้ามืด หรือมีอาการแน่นหน้าอก เพราะปัญหาเลือดน้อย ขอแนะนำสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ทานง่าย ราคาไม่แพง ที่สำคัญมีอยู่ในบ้านเรา อย่างเช่นเม็ดบัว มีสรรพคุณทางการบำรุงเลือดที่ดี




สรรพคุณ ของเม็ดบัวนั้น อุดมไปด้วย วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ถึงประมาณ 23 เปอร์เซนต์ และมีเกลือแร่ ฟอสฟอรัส นอกจากนี้ตัวเม็ดบัวยังมีสรรพคุณ บำรุงสมอง บำรุงประสาท บำรุงไต ช่วยรักษาอาการท้องร่วง และบิดเรื้อรัง และสรรพคุณพื้นบ้านที่ใช้กันเป็นยาบำรุงเลือด หรือเพิ่มเลือด
“การทานเม็ดบัว เพื่อการบำรุงเลือด มีข้อแม้ว่าต้องเป็นการทานเม็ดบัวสดเท่านั้น”เม็ดบัวที่ผ่านการแปรรูปมาแล้ว หรือการนำมาต้มให้สุกจะใช้ไม่ได้ เม็ดบัวเชื่อมที่ใส่ไอศกรีมก็ใช้ไม่ได้

โดยหาซื้อฝักบัวสดที่มีขายเป็นกำๆ ตามตลาด ซึ่งหนึ่งฝักจะมีเม็ดบัวอยู่ในฝัก 7-10 เม็ด แล้วแต่ความอ้วนของฝัก ดังนั้นเวลาทานต้องแกะออกจากฝัก แล้วนำมาแกะเปลือกออกจากเม็ด เพื่อจะทานเม็ดบัวสีขาวอมเหลืองที่อยู่ในเปลือก เมื่อได้เม็ดบัวที่แกะเปลือกออกแล้ว ให้ทานเข้าไปทั้งเม็ด โดยไม่เอาต้นอ่อนภายในเม็ด หรือที่เราเห็นเป็นเส้นเขียวๆ อยู่กลางเม็ดออก พูดง่ายๆ คือทานเข้าไปหมด รสชาติก็จะมีขมฝาดเล็กน้อย ใหม่ๆ อาจจะไม่คุ้นลิ้น แต่เมื่อทานไปสักระยะก็จะเฉยๆ

ที่สำคัญต้นอ่อนในเม็ดบัว หรือดีบัวที่หลายคนชอบหยิบออกนั้น คือต้นอ่อนสีเขียวขมๆ สรรพคุณทางยาของจีน กล่าวว่าหากทานเข้าไปแล้วก็จะช่วยบำรุงถุงน้ำดี ช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ และบำรุงหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย

ข้อสำคัญ พยายามเลือกฝักที่แก่ จะได้เม็ดบัวที่โตเต็มที่ ทานวันละไม่น้อยกว่า 20 เม็ด จะทานมากกว่าก็ไม่ห้าม เพราะเม็ดบัวปกติเป็นของทานเล่นพื้นบ้านเราอยู่แล้ว ทีนี้คุณก็ได้อาหารบำรุงเลือด บำรุงหัวใจ แบบธรรมชาติราคาแสนจะคุ้มกับประโยชน์เลยทีเดียว


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #547 เมื่อ: กันยายน 29, 2015, 10:02:31 AM »

ใครชอบกินปลาหมึกกรอบปรุงรสต้องอ่าน !
ขนมขบเคี้ยวกรุบกรอบแสนอร่อยนี้ มีอันตรายอย่างที่เราคาดไม่ถึงเชียวล่ะ เพราะมักจะมีการปลอมปน "สารหนู" โลหะหนักชนิดที่พบได้ในธรรมชาติและในแวดวงอุตสาหกรรม อาทิ ผลิตสี ทำวัตถุระเบิด ทำแก้ว เซรามิก และเป็นส่วนประกอบทางการเกษตร เช่น ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหนู
ส่วนในอาหาร มักพบสารหนูปนเปื้อนในสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก พืชผัก ข้าว และน้ำดื่ม โดยสารหนูมี 2 ชนิด คือ สารหนูอินทรีย์และสารหนูอนินทรีย์ ชนิดที่เป็นอันตราย คือ สารหนูอนินทรีย์ หากเข้าสู่ร่างกายจากการอาหารปนเปื้อนในปริมาณไม่มาก แต่บ่อยครั้งและเป็นระยะเวลานานๆ สารหนูจะไปสะสมที่ตับ ทำลายระบบการทำงานของตับ บางส่วนจะอยู่ที่ผม เล็บ และผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเป็นรอยจ้ำ เกิดอาการชาตามปลายมือ
 ปลายเท้า รู้สึกแสบร้อน มีอาการแขน ขาอ่อนเพลีย และอาจเป็นมะเร็งผิวหนังได้ในท้ายที่สุด นอกจากนี้ ยังอาจทำลายระบบประสาทสัมผัส และระบบการหมุนเวียนของโลหิตในร่างกายด้วย

ทั้งนี้ ทางสถาบันอาหารได้สุ่มเก็บตัวอย่างปลาหมึกอบกรอบแผ่นปรุงรสจำนวน 5 ตัวอย่าง เพื่อนำมาวิเคราะห์การปนเปื้อนของสารหนูทั้งหมด ผลปรากฏว่ามีปลาหมึกอบกรอบแผ่นปรุงรส จำนวน 4 ตัวอย่าง ที่พบสารหนูปนเปื้อน และมี 3 ตัวอย่างที่พบปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยไม่ควรบริโภคครั้งละมากๆ บ่อยครั้ง และติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เพราะปกติสารหนูที่เข้าสู่ร่างกายจะถูกขับออกทางปัสสาวะได้ภายใน 2 วัน แต่หากหลีกเลี่ยงได้ จะเป็นการดีที่สุดค่ะ
credit : fic.nfi.or.th
http://www.healthandcuisine.com/detail.aspx



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #548 เมื่อ: มกราคม 23, 2016, 09:50:47 AM »

Why Do Beans Cause Gas?

Beans (legumes) cause gas because they contain a particular sugar, called oligosaccharide, that the human body can not break down. Oligosaccharides are large molecules and are not broken down and absorbed in the same way that other sugars are: by the normal digestive process that takes place in the small intestine.

This is because the human body actually does not produce the enzyme that breaks down oligosaccharides.

Oligosaccharides make it all the way through the digestive tract to the large intestine still intact and as yet undigested. It is the bacteria that live in the large intestine that finally break down the oligosaccharides. This process is the one that produces the gas that must eventually come out of the rectum as flatulence.

By the same principal, other foods that come into the large intestine without being properly absorbed in the small intestine will cause gas. For example, stress can cause food to move through the digestive tract too quickly to be properly digested, with the end result being more gas produced in the large intestine.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #549 เมื่อ: มีนาคม 06, 2016, 10:10:40 AM »

10 ซูเปอร์ฟู้ดบำรุงสายตา คนติดหน้าจอ ติดโซเชียล กินให้ไว



          อาหารบำรุงสายตา สำหรับคนที่ชอบเล่นโทรศัพท์ หรือต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา อยากให้ดวงตาคู่สวยอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ อาหารเหล่านี้ช่วยได้เยอะ

          ปัจจุบันนี้ที่โลกขับเคลื่อนไปด้วยเทคโนโลยี ทำให้เราต้องทำงานกับเทคโนโลยีมากขึ้น และหนึ่งในนั้นก็คือการต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ในแต่ละวันคนเราใช้เวลาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนกันไม่ต่ำกว่า 6-8 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่นานพอจะทำให้สุขภาพดวงตาของเราแย่ลงได้ แต่จะให้เลี่ยงการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ก็คงจะเป็นไปได้ยาก ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำก็คือการบำรุงสุขภาพดวงตาด้วยวิธีต่าง ๆ อาทิ การพักสายตา ทุก ๆ ชั่วโมง หรือแม้แต่การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อบำรุงสายตา แต่นอกจากอาหารบำรุงสายตาที่เรารู้จักกันดีอย่างผักบุ้งแล้ว ยังมีอาหารชนิดใดบ้างที่บำรุงสุขภาพดวงตาได้ดีสุด ๆ วันนี้เราจะพาไปรู้จักอาหารเหล่านั้นกันค่ะ ใครที่มีนิสัยติดหน้าจอ ติดโซเชียล ถ้าไม่อยากสายตาเสียก่อนวัยอันควรก็รีบหาอาหารเหล่านี้มารับประทานกันอย่างด่วนเลยนะ


1. พริกหยวก

          พริกหยวกหลากสีสันที่เราเคยเห็นกัน ไม่ว่าจะสีเขียว สีแดง หรือสีเหลือง ขอบอกว่าอุดมไปด้วยวิตามินเอและวิตามินซีเลยล่ะค่ะ ซึ่งวิตามินเอจะช่วยบำรุงสายตา อีกทั้งวิตามินซีก็ยังช่วยป้องกันการเกิดต้อกระจกได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ในพริกหยวกยังมีวิตามินบี 6 ลูทีน ซีแซนทีน เบต้าแคโรทีน และไลโคปีน ซึ่งล้วนแต่มีคุณประโยชน์อนันต์กับสุขภาพดวงตา ใครชอบจ้องหน้าจอนาน ๆ ละก็ ลองหาพริกหยวกมาปรุงเป็นอาหารรับประทาน จะย่าง ทอด อบ นึ่ง หรือจะรับประทานแบบสด ๆ กับสลัดก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้นเลย



2. แครอท

          แครอท ถือเป็นอาหารบำรุงสายตาที่เด็ดดวงอีกชนิดหนึ่ง เพราะเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และลูทีน ที่อยู่ในแครอทมีฤทธิ์ในการดูแลสุขภาพดวงตาโดยตรง ช่วยบำรุงให้กระจกตาใสแจ๋ว ป้องกันเซลล์ต่าง ๆ ในดวงตา อีกทั้งยังป้องกันการเกิดโรคตาบอดตอนกลางคืนได้ ไม่เพียงเท่านั้นลูทีนที่อยู่ในแครอทยังช่วยเสริมสร้างการทำงานของจอประสาทตา และป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมอีกด้วย ขณะที่สารอาหารชนิดอื่น ๆ ที่อยู่ในแครอทก็ช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงด้วยเช่นกัน




3. ผักใบเขียว

          นอกจากบำรุงสุขภาพโดยรวมของร่างกายแล้ว ผักใบเขียวยังมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตามากมายจนคุณปฏิเสธไม่ลงเลยเชียวล่ะ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ ลูทีน สารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะผักโขม ผักปวยเล้ง หรือบรอกโคลี


4. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี

          เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รีนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพขนาดไหน โดยเฉพาะบลูเบอร์รี และโกจิเบอร์รี ที่มีชื่อเสียงในด้านการบำรุงสายตา ป้องกันสายตาเสื่อมสภาพ อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระก็ยังป้องกันเซลล์ต่าง ๆ ในดวงตาไม่ให้ถูกทำลาย แถมผลไม้ชนิดนี้รสชาติก็ยังอร่อยด้วยล่ะ


5. ไข่

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่แค่กินไข่เป็นประจำก็ช่วยให้มีสุขภาพดวงตาที่ดีได้ เพราะไข่อุดมไปด้วยลูทีนและซีแซนทีนอันมีคุณสมบัติลดความเสี่ยงโรคตาที่เกิดตามวัย และถ้าอยากให้ได้ประโยชน์ที่มากขึ้น เวลาซื้อไข่มารับประทานก็ควรจะมองหาไข่ที่มีโอเมก้า 3 ด้วยนะคะ เพราะไข่เหล่านี้จะเป็นไข่มีคุณค่าทางอาหารมากกว่าไข่ทั่วไปค่ะ


6. มันเทศ

          วิตามินเอในมันเทศ เป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่สำคัญกับสุขภาพตา ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม โรคต้อหิน และป้องกันอาการตาแห้งได้ อีกทั้งยังป้องกันการติดเชื้อที่ดวงตาจนทำให้ตาอักเสบ ไม่เพียงเท่านั้น ใครที่อยากจะลดน้ำหนัก รับประทานมันเทศก็ช่วยได้เหมือนกัน เพราะปริมาณไฟเบอร์ในมันเทศก็มีไม่น้อย เรียกได้ว่ากินแล้วทั้งตาสวย และหุ่นสวยได้ด้วยในตัว



7. ปลาแซลมอน

          นอกจากจะช่วยบำรุงหัวใจแล้ว ปลาแซลมอนยังถือเป็นซูเปอร์ฟู้ดบำรุงสายตา โดยเฉพาะใครที่ชอบจ้องหน้าจอนาน ๆ จนตาแห้ง ขอแนะนำให้หยิบมาลอง เพราะปลาแซลมอนอุดมไปด้วย DHA ซึ่งเป็นกรดที่มีอยู่ในจอประสาทตา อีกทั้งยังช่วยป้องกันอาการตาแห้งได้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นไขมันโอเมก้า 3 ก็ยังช่วยบำรุงสายตาได้




8. อะโวคาโด

          อะโวคาโดเป็นผลไม้อีกชนิดที่อุดมไปด้วยลูทีน เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 6 และวิตามินซี ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญต่อสุขภาพดวงตา ช่วยป้องกันอาการตาฝ้าฟาง อีกทั้งยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของดวงตาตามวัยได้


9. ถั่วอัลมอนด์

          อัลมอนด์ล้วนแต่เป็นแหล่งที่อุดมด้วยไขมันโอเมก้า 3 ที่มีส่วนสำคัญในการบำรุงสายตา นอกจากนี้ก็ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ สังกะสีและวิตามินอี อันมีสรรพคุณในการช่วยชะลอภาวะจอประสาทตาเสื่อม ว่ากันว่าถั่วอัลมอนด์เพียง 1 กำมือก็ได้วิตามินอี ถึง 50% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันเลยทีเดียว


10. ชา

          ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว ชาดำ หรือชาอู่หลง ก็ล้วนแต่มีประโยชน์โดดเด่นในเรื่องของการบำรุงสายตา เพราะชาอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันไม่ให้เซลล์ต่าง ๆ ถูกทำลาย รวมทั้งเซลล์ต่าง ๆ ในดวงตา อีกทั้งยังป้องกันการก่อตัวของต้อกระจกและภาวะจอประสาทตาเสื่อมได้อีกด้วย

          อาหารสามารถช่วยบำรุงสายตาเราได้ก็จริง แต่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีการดูแลสุขภาพดวงตาอื่น ๆ ที่ควรทำควบคู่กันไปด้วย อย่างเช่น การพักสายตาบ่อย ๆ การนั่งให้ห่างจากจอคอมพิวเตอร์หรือโทรทัศน์ในระยะที่เหมาะสมซึ่งก็คือ ประมาณ 1 ฟุต หรือแม้แต่การหลีกเลี่ยงการเล่นโทรศัพท์ในที่ที่แสงสว่างไม่เพียงพอ ถ้าสามารถทำได้ตามนี้ รับรองได้ค่ะว่าดวงตาคู่สวยจะอยู่กับคุณไปนาน ๆ อย่างแน่นอน
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
top10homeremedies.com
health.com 
visianinfo.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #550 เมื่อ: มีนาคม 06, 2016, 10:18:16 AM »

รู้จักกันยัง "กระสอบกราเวียร์" บรรจุภัณฑ์จากผู้ผลิตชั้นนำ "นิธิกร"






           "นิธิกร" ผู้นำตลาดคิดค้นริเริ่ม "กระสอบกราเวียร์" บรรจุภัณฑ์ที่กำลังเป็นที่ต้องการในปัจจุบัน มาตรฐานระดับสากล พร้อมพาชมคลิปขั้นตอนการผลิตที่ต้องบอกว่างานดีสุด ๆ

           เชื่อเลยว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ประเภทกระสอบกันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น น้ำตาล, ข้าว, ปุ๋ย รวมไปถึงสินค้าการเกษตรอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่มักบรรจุลงในกระสอบ ซึ่งในปัจจุบันกระสอบที่บรรจุสินค้าที่เห็นกันนั้นมักจะมีสีสันและลวดลายคมชัดสวยงามและทนทานกว่ากระสอบที่ใช้กันในสมัยก่อนมาก นั่นคือการนำนวัตกรรมกระสอบที่ชื่อว่า BOPP COATING หรือ กระสอบกราเวียร์ มาใช้นั่นเอง วันนี้กระปุกดอทคอมจึงขอนำเรื่องราวและข้อดีของกระสอบกราเวียร์มาให้ทุกคนรู้จักกันแบบคร่าว ๆ

           สำหรับบริษัทที่นำนวัตกรรมกระสอบกราเวียร์มาใช้เป็นแห่งแรกคือ บริษัท นิธิกร อุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทกระสอบพลาสติกสานที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2526  เป็นโรงงานขนาดเล็กที่มีเครื่องจักรในการผลิตทั้งสิ้นราว 40 ตัว และในปี พ.ศ. 2541 ทางบริษัทได้เปิดไลน์การผลิตเพิ่มอีกที่เป็นแห่งที่ 2 เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมเดิมให้เป็นอุตสาหกรรมที่ครบวงจร สามารถผลิตกระสอบประเภทพลาสติกสานได้ทุกชนิด รวมไปถึงการรับออกแบบดีไซน์กระสอบตามความต้องการของลูกค้าจากช่างผู้ชำนาญ




นอกจากนี้ในขั้นตอนการผลิตกระสอบทุกประเภทรวมไปถึงกระสอบประเภทกราเวียร์ ทางบริษัทต้องคัดเลือกเม็ดพลาสติกที่มีคุณภาพดีที่สุดมาผลิตเพื่อให้ตัวผลิตภัณฑ์ที่ออกมามีคุณภาพ ทนทาน และแข็งแรง ก่อนจะนำเม็ดพลาสติกไปสู้ขั้นตอนการผลิตที่ทันสมัยและในทุกขั้นตอนการผลิตจะต้องผ่านการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่เพื่อให้แน่ใจว่ากระสอบพลาสติกสานออกมาได้คุณภาพ มีความแข็งแรง ทนทาน ปลอดภัย ไม่ปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค จากการผ่านมาตรฐานระดับสากล ISO 9001และ GMP ในทุกขั้นตอนการผลิต 

           ทั้งนี้ บริษัท นิธิกร อุตสาหกรรม จำกัด ได้คิดค้นพัฒนากระสอบกราเวียร์ ในปี พ.ศ. 2539 และได้รับสิทธิบัตรอย่างเป็นทางการ ก่อนจะเปิดตลาดจริงขึ้นในปี พ.ศ. 2540  โดยเริ่มจากการนำสินค้าไปให้ลูกค้าได้ใช้ในราคาทุน ซึ่งกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ที่เริ่มใช้กระสอบกราเวียร์จะเป็นชาวเกษตรกร เช่น ใช้บรรจุปุ๋ย,ข้าว, น้ำตาล เป็นต้น นอกจากนี้สินค้าที่ถูกบรรจุลงกระสอบกราวียร์ยังนำไปลงขายตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ อีกด้วย

          เอกลักษณ์ของกระสอบกราเวียร์นั้น จะเด่นกว่ากระสอบแบบอื่นในเรื่องของการเล่นสี มีการพิมพ์ลายที่บรรจุภัณฑ์อย่างสวยงามทำให้สินค้าที่ได้ดูมีราคาขึ้น ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้มากขึ้นอีกด้วย รวมทั้งมีขั้นตอนการผลิตที่ซับซ้อน ซึ่งทางบริษัท นิธิกร อุตสาหกรรม จำกัด ให้ความเห็นว่า กระสอบกราเวียร์ไม่ได้ตอบโจทย์แค่ความแข็งแรงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่กระสอบกราเวียร์ยังตอบโจทย์ในเรื่องความสวยงามอีกด้วย เนื่องจากกระสอบกราเวียร์จะสามารถพิมพ์ลายได้สวยกว่าและเมื่อนำสินค้าประเภทเดียวกันวางในชั้นเดียวกันหากสินค้าชิ้นไหนสวยกว่าย่อมดึงดูดลูกค้าและมีผลต่อการตัดสินใจซื้อได้มากกว่า นอกจากนี้ทางบริษัทยังรับออกแบบลวดลายบนกระสอบอีกด้วย




"เราเชื่อว่าความสวยงามนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อการตัดสินใจของคนซื้อและยังบอกถึงความน่าเชื่อถืออีกด้วย เรารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่สามารถตอบตรงโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี และจากการตอบสนองของลูกค้านี้ยังเป็นแรงกระตุ้นให้เราอยากพัฒนาในทุก ๆ ด้านขององค์กรของเราต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อให้คลอบคลุมต่อตลาดภายในและต่างประเทศ เพราะความภาคภูมิใจของเราคือการที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้น ตลาดภาคอุตสาหกรรมกระสอบให้ดีขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ดังนั้นกระสอบกราเวียร์ จึงเป็นสิ่งที่บ่งบอก ความเป็น นิธิกร อีกด้วย"

           ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจสินค้าสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.nitigorn.co.th

           ติดต่อสอบถามได้ที่ (+6634) 418154-5, 447067-75 ที่อยู่ 30/2-3 ถ.สุคนธวิท ต.ท่าเสา อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร 74110


https://youtu.be/PJV4aqZQiMo

ที่มา http://hilight.kapook.com/view/133312

http://www.bloggang.com/



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #551 เมื่อ: มีนาคม 07, 2016, 03:11:36 PM »

เมนูมะระ อาหารแก้ไข้
มติชน (Matichon)


© มติชนออนไลน์

หลายปีมานี้มีผู้สนใจมะระบรรเทาอาการเบาหวานหรือมะระช่วยลดน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน โดยเฉพาะมีการศึกษาและการใช้มะระ (มะระขี้นก) เพิ่มมากขึ้นแต่ในวันนี้ไม่ได้มาแนะนำมะระกับเบาหวานแต่จะมาแนะนำสมุนไพร มะระ ที่คนทั่วโลกรู้จักใช้กันมานานนับพันปี ทั้งคนเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา รู้จักใช้ประโยชน์สมุนไพรรสขมนี้กันถ้วนหน้า

ในทางอายุรเวทใช้ผลซึ่งถือเป็นยาเย็น ช่วยแก้ไข้ ระบายท้อง ขับพยาธิ ช่วยเจริญอาหาร รักษาโรคเลือด แก้โลหิตจาง แก้หืด หลอดลมอักเสบ แก้คลื่นเหียนอาเจียน แก้เสมหะกำเริบ และเป็นที่สนใจแก่ชาวโลกยุคปัจจุบันคือมะระช่วยบรรเทาเบาหวาน โรคตับ รวมทั้งอาการโรคเกาต์และข้ออักเสบด้วยในตำรายาไทยกล่าวไว้ มะระทั้งห้า (ทุกส่วน) มีรสขมเย็น บำรุงน้ำดี ดับพิษทุกอย่าง เฉพาะใบก็มีการนำมาใช้ในตำรับยาเขียวลดไข้ รากมีการมาปรุงในตำรับยาแก้โลหิตเป็นพิษ และโรคตับด้วย

คนทั่วไปอาจสงสัยว่า มะระขี้นกผลเล็กๆ ขมจัด กับมะระจีนที่ผลขนาดใหญ่กว่ามากนั้น เป็นพืชเดียวกันหรือไม่ตอบได้ว่าเป็นพันธุ์มะระเดียวกันแต่แยกได้ 2 ชนิด ชื่อทางการตามหลักพฤกษศาสตร์ ชื่อวิทยาศาสตร์ตรงกันเรียกว่า Momordica charantia L. เหมือนกันและจัดให้อยู่ในวงศ์พืชเดียวกันกับแตง (CUCURBITACEAE)

มะระเป็นไม้เถา ที่มีการปลูกเป็นผักสวนครัว กล่าวกันว่า มะระขี้นกจะนำมาปรุงเป็นยาสมุนไพรให้สรรพคุณมากกว่ามะระจีนแต่ในแง่ "กินอาหารให้เป็นยา" มีการนำเอามะระจีนมาปรุงเป็นอาหารเพื่อดูแลสุขภาพและรักษาโรคพื้นฐานที่เป็นกันบ่อยๆ ไม่น้อยไปกว่าการใช้มะระขี้นก ในวันนี้จึงขอมาแนะนำสรรพคุณดั้งเดิม และเป็นสรรพคุณที่มีการใช้กันทั่วไป เป็นการดูแลสุขภาพที่อากาศเปลี่ยนแล้วกำลังเป็นไข้หวัด ไข้ตัวร้อนกันจำนวนมาก ซึ่งต้องบอกว่า มะระเป็นอาหารและเป็นยาสมุนไพรที่น่าใช้มากชนิดหนึ่งปกติคนไม่สบายเป็นไข้หวัด ไข้ตัวร้อนก็มักต้องหายากิน แต่ถ้าเลือกอาหารให้เหมาะจะช่วยให้ไข้หายเร็วขึ้น ถ้าใครมีอาการประมาณว่า ไข้ขึ้นสูงเร็วตัวร้อนมาก ปากคออักเสบ กระหายน้ำ เหงื่อออกมาก นอนไม่ค่อยหลับ อุจจาระปัสสาวะเหลืองในทางการแพทย์แผนไทยมองว่าอาการเหล่านี้ เป็นไข้มาจากปิตตะกำเริบ ปิตตะคือคุณสมบัติร้อน ถ้าจะกินอาหารช่วยแก้ไข้ก็แนะนำให้กินอาหารที่มีรสขมฝาดหวาน เช่น แกงขี้เหล็ก สะเดาลวกจิ้มน้ำพริก เป็นต้น

แต่ถ้าอาการประมาณว่า ไข้ค่อยๆ เป็นไม่รวดเร็วนัก แต่ร่างกายอ่อนเปลี้ยเฉื่อยชา หน้าซีดขาว ชอบนอน นอนไม่อยากลุกเลย เบื่ออาหาร มีเสมหะ มีน้ำมูกมาก อาการแบบนี้แสดงอาการให้เห็นว่าเป็นไข้มาจาก เสมหะกำเริบ เสมหะจัดว่ามีคุณลักษณะเย็นและชื้น (มีน้ำ) อาหารที่เลือกกินควรมีรส ขม ฝาดและเผ็ดร้อน เช่น อาหารใดก็ได้ ให้ปรุงด้วย ขิง ข่า ตะไคร้ กะเพรา กระเทียม โหระพา แมงลัก หรืออาจพูดได้ว่า อาหารรสจัดเผ็ดร้อน เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายขับเหงื่อ หายซึมเซา

แม้เราเรียนรู้ว่าเวลาไม่สบายเป็นไข้หวัด หมอแนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยระบายความร้อน ลดไข้นั้นแต่ในการแพทย์แบบแผนไทยยังแนะนำละเอียดไปว่า หากเป็นไข้แบบปิตตะกำเริบก็ดื่มน้ำธรรมดา แต่ถ้าไข้จากเสมหะกำเริบ แนะนำให้จิบน้ำดื่มน้ำอุ่นๆ ด้วยก็จะช่วยบรรเทาไข้หวัดได้ดีขึ้นทีนี้ก็มาดูที่ มะระ อาจถือว่ามะระเป็นเมนูอาหารแก้ไข้ที่น่าสนใจจานเด็ดจานหนึ่งเลย เหตุเพราะมะระเป็นสมุนไพรที่มีรสขมเย็นคุณสมบัติเย็นนี้สามารถใช้แก้ไข้จากปิตตะกำเริบได้ (จากไข้ร้อน) ในขณะเดียวกัน มะระมีคุณสมบัติระงับเสมหะ (เพราะรสขมช่วยระงับเสมหะ) จึงช่วยบรรเทาอาการไข้จากเสมหะกำเริบได้ด้วยอาจพูดได้ว่า ไข้แบบไหนก็ใช้มะระแก้ได้

มะระนี้นอกจากมีสรรพคุณแก้ไข้แล้ว ยังมีส่วนช่วยลดน้ำมูก ลดเสมหะ และบรรเทาอาการไอด้วยถึงบรรทัดนี้คงสนใจกันว่า เมนูอะไรที่เป็นอาหารแก้ไข้ ขอบอกว่าง่ายที่สุด คือ เอามะระมาลวกหรือต้มให้สุก แล้วนำมาจิ้มน้ำพริกกิน จะใช้มะระจีนหรือมะระขี้นกก็ไม่เกี่ยง เมนูยำมะระ ผัดมะระ ก็ได้ แต่บางคนไม่ชอบกินรสขม เห็นมะระก็เบือนหน้าหนีนั้นอาจเป็นเมนู มะระต้มกับกระดูกหมู มะระหั่นบางๆ ทอดกับไข่ก็อร่อยได้สรรพคุณยาแต่บางคนก็ยังกลัวความขม หลังทอดกับไข่แล้วนำมาทำเป็นแกงจืดไข่น้ำก็ได้แต่วิธีนี้ สรรพคุณทางยาจะเจือจางไป ฤทธิ์แก้ไข้ย่อมอ่อนลงยังมีเมนูแกงจืดมะระยัดไส้หมูสับ แกงจืดแนวนี้ก็เป็นอาหารลดไข้ได้ดี แต่ขอให้ปรุงแกงจืดอย่าเค็มจัด ให้น้ำแกงจืดๆ ได้รสขมของมะระบ้าง

มีเทคนิคที่ลดความขมมะระ หลังหั่นมะระแล้วให้ไปแช่น้ำเกลือสักพัก แล้วล้างน้ำออกก่อนนำไปปรุงอาหารเพื่อลดความขมแต่เมนูที่ทางมูลนิธิสุขภาพไทยแนะนำนั้น เราอยากให้ท่านได้รสยา รสขมและคุณสมบัติเย็นจากมะระ เพื่อช่วยลดไข้ ทนขมเล็กน้อย เข้าตำรา "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" ดีต่อสุขภาพยามเป็นไข้ หายไข้แล้วไม่ควรกินทุกวันต่อเนื่องนานนับเดือน เนื่องจากมะระเป็นยาเย็นจัด จะทำให้ร่างกายเสียสมดุลได้แต่เราควรกินเมนูมะระเป็นประจำสักสัปดาห์ละ 2-3 มื้อ เพราะมะระถือเป็นเมนูสุขภาพ ในมะระมีวิตามินซี และเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูง ซึ่งถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค และลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง

อากาศบ้านเรากำลังเปลี่ยนแปลงมาก เดี๋ยวเย็นๆ หนาวๆ มาอ้าวๆ ร้อนๆ มีฝน แปรปรวนนัก จึงเห็นคนเป็นไข้เป็นหวัดกันมาก ให้นึกถึงเมนูมะระรักษาไข้ฟื้นฟูสุขภาพกัน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #552 เมื่อ: มีนาคม 08, 2016, 04:19:07 PM »

รำไทยพิชิตปวด



โพสโดย somsak เมื่อ 1 สิงหาคม 2552 00:00

ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งในหัวข้อ โรคอักเสบของเส้นประสาทบริเวณอุโมงค์ข้อมือ ว่าสามารถบรรเทาอาการของโรคได้โดยการรำไทย ฉบับนี้จะขอกล่าวถึงรายละเอียดของรำไทยว่าสามารถช่วยได้อย่างไรและรำท่าไหน เวลานานแค่ไหน เพื่อให้รำไทยได้อย่างถูกต้องและสามารถบรรเทาอาการของโรคได้


เมื่อเส้นประสาทบาดเจ็บ
 เส้นประสาทเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของร่างกาย ทำหน้าที่ถ่ายทอดกระแสประสาทจากตัวรับรู้ความรู้สึกที่อยู่ตามผิวหนัง ข้อต่อ และอวัยวะต่างๆ ส่งไปยังสมองเพื่อให้ทราบว่าเรารู้สึกอย่างไร ขณะเดียวกันก็ยังทำหน้าที่ส่งกระแสประสาทสั่งการจากสมองหรือไขสันหลัง ลงมายังกล้ามเนื้อเพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานในการขยับเขยื้อนร่างกายและแขนขา
 หากเส้นประสาทมีปัญหาและทำงานบกพร่องไป เช่น เส้นประสาทฉีกขาด ถูกกดทับ หรือมีการอักเสบ ติดเชื้อ ย่อมส่งผลต่อการทำงานของเส้นประสาทนั้นๆ
 อย่างหนักสุดคือรับรู้สึกไม่ได้ หรือกล้ามเนื้อไม่ทำงาน อาจรู้สึกเจ็บปวดมากจนทนไม่ได้
 อาการเบาหน่อยคือการรับรู้สึกลดลง และ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งความผิดปกติของระบบประสาทจะส่งผลต่อการทำงานและการดำรงชีวิต นอกจากนั้น หากพิจารณาการวางตัวของเส้นประสาท ยังพบว่าเส้นประสาทมีการวางตัวที่ยาวมากจากคอหรือหลังไปสู่แขนหรือขา ตามแต่กล้ามเนื้อหรือผิวหนังที่เส้นประสาทเหล่านั้นไปเลี้ยง เมื่อเกิดการบาดเจ็บต่อเส้นประสาทจะมีการตึงรั้ง ส่งผลให้ขยับเขยื้อนร่างกายแล้วรู้สึกตึง แขนขาเหยียดได้ไม่เต็มที่


รำไทยกับความตึงตัวของเส้นประสาท
 จากการที่เส้นประสาทมีการตึงรั้งตัว ทำให้มีผู้ที่คิดค้นวิธีการตรวจและรักษาจากประเทศออสเตรเลีย ด้วยการขยับเขยื้อนเส้นประสาทให้เส้นประสาทมีการขยับตัวไปมา และยืดเส้นประสาท เพื่อลดการตึงตัว โดยการจัดท่าอาศัยความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์จัดท่าให้เส้นประสาทอยู่ในท่าที่ตึง แต่ไม่ตึงมากจนเกินไป และได้แนะนำท่าบริหารออกกำลังกายด้วยการเต้นแบบนกฟลามิงโกของทวีปแอฟริกา
 แต่จากที่ผู้เขียนวิเคราะห์ท่าเต้นและท่าตรวจความตึงของเส้นประสาท พบว่ามีส่วนคล้ายกับท่ารำของรำไทยมาก เช่น ท่ายูงฟ้อนหาง ท่าล่อแก้ว และ ท่าชะนีร่ายไม้ จะมีผลต่อการขยับและยืดเส้นประสาทมีเดียน
ท่ารำยั่ว จะมีผลต่อการขยับและยืดเส้นประสาทเรเดียล
ท่าสอดสร้อยมาลาและท่าพรหมสี่หน้า มือที่อยู่ด้านบนจะมีผลต่อการขยับและยืดเส้นประสาทอัลนา





ทางคณะของผู้เขียน อาจารย์และนักศึกษาหลังปริญญา ได้ทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่า การรำไทยมีส่วนช่วยลดอาการตึงตัวของเส้นประสาทหรือไม่ โดยทำการวิจัยตั้งแต่การสำรวจในผู้ที่รำไทยเป็นประจำ พบว่าผู้ที่รำไทยจะมีการตึงตัวของเส้นประสาทน้อยกว่า หรือไม่ตึงเลย และเมื่อทำการทดลองให้รำไทยในผู้ที่ทำงานในสำนักงานต่างๆ




พบว่ารำไทยมีส่วนช่วยทำให้เส้นประสาทลดการตึงตัวลงอย่างชัดเจน
 การทดลองใช้รำไทยกับผู้ป่วยที่มีอาการของเส้นประสาทอักเสบที่ถูกกดทับบริเวณข้อมือ ที่มีอาการระดับน้อยถึงปานกลาง ได้ผลออกมาอย่างชัดเจนว่าความตึงตัวของเส้นประสาทลดลง การรับรู้สึกสัมผัสดีขึ้น กำลังกล้ามเนื้อดีขึ้น ผู้ป่วยรู้สึกพอใจกับผลที่ได้จากการรำ

 อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้จากการรำเป็นส่วนประกอบเสริมจากการรักษาเท่านั้น เพราะหากไม่ทำการลดการกดทับ อาการอักเสบก็สามารถกลับมาเป็นอีกได้ทุกเมื่อ
 ที่สำคัญคือการรำนั้นต้องพอเหมาะ เพราะหากรำมากไป ก็เปรียบเสมือนการกินยาเกินขนาด โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการค่อนข้างรุนแรงอยู่แล้ว การรำอาจไม่สามารถช่วยได้ หรืออาจกระตุ้นทำให้เกิดอาการเพิ่มขึ้น ดังนั้นต้องมีการพิจารณาเวลาและความรุนแรงของการรำให้เหมาะสม


รำไทยแค่ไหนถึงดี
 ในเบื้องต้น ท่ารำไทยที่ได้กล่าวถึงเป็นท่าที่ส่งผลต่อการยืดตัวของเส้นประสาทมากที่สุด แต่หากต้องมาคอยจดจำท่ารำหรือระมัดระวังเรื่องท่ารำมากเกินไป อาจทำให้การรำไม่สนุกหรือเกร็งเกินไป ผู้เขียนขอแนะนำอย่างง่ายๆ ดังนี้
♦ ให้ใช้ท่ารำวงที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะท่าของผู้หญิงที่มีลักษณะคล้ายท่าสอดสร้อยมาลา และอาจเพิ่มเติมด้วยท่าจีบมือไปข้างหลัง ในลักษณะคล้ายท่ายูงฟ้อนหาง ก็เป็นท่าที่เพียงพอต่อการยืดเส้นประสาทแล้ว
♦ การรำแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที การรำบ่อยๆจะดีกว่าการรำครั้งละนานๆ
♦ ขณะที่รำให้มีความรู้สึกตึงของแขนเพียงเล็กน้อย อย่าฝืนว่ายิ่งตึงยิ่งดี เพราะการรำมีผลต่อการยืดเส้นประสาทโดยตรง อาจทำให้มีการบาดเจ็บเพิ่มเติมของเส้นประสาทได้
♦ หากรำแล้วมีอาการชาหรือเจ็บเพิ่มขึ้น ให้หยุดรำสักครู่ ถ้าอาการหายไปทันทีที่หยุดรำ ให้รำต่อได้ แต่ถ้าต้องพักสักครู่หนึ่ง (ประมาณ 1 นาที) ให้ลดความรุนแรงของการรำ คือรำโดยไม่ให้รู้สึกตึง และลดเวลาของการรำลงด้วย
♦ ทำการรำทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 3 สัปดาห์ อาการตึงจะค่อยๆดีขึ้น
♦ การรำไทยนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการอยู่ในระดับน้อย ถึงปานกลาง หากอาการที่เป็นอยู่หนักมาก (คือทำงานเบาๆ ก็กระตุ้นทำให้เกิดอาการ) ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้เฉพาะเจาะจงกับอาการที่เป็นอยู่ เพราะการรำไทยอาจกระตุ้น ทำ ให้อาการแย่ลงได้ ซึ่งสังเกตได้จาก เมื่อรำแล้ว อาการชา หรือเจ็บจะมากขึ้น พักสักครู่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น จนต้องทำการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การประคบเย็น อาการถึงดีขึ้น ถ้ามีอาการในลักษณะนี้ บ่งบอกเบื้องต้นได้ว่าการรำไทยยังไม่เหมาะสมกับตัวคุณ







ผู้เขียนเคยให้การรำเป็นส่วนหนึ่งของท่าออกกำลังกายของพนักงานตามสำนักงาน และโรงงาน ที่มีอาการและไม่มีอาการของการบาดเจ็บทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน พบว่าเมื่อออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องประมาณ 1 เดือน ท่าออกกำลังกายดังกล่าวสามารถช่วยลดอาการบาดเจ็บของพนักงานลงได้

 ดังนั้น อาจจัดให้รำไทยเป็นกิจกรรมหนึ่งของพนักงานระหว่างพัก เพื่อลดและป้องกันปัญหาการบาดเจ็บจากการทำงานที่เกิดกับพนักงานได้



ข้อมูลสื่อ





 ชื่อไฟล์:  364-007
นิตยสารหมอชาวบ้าน   เล่มที่:  364 
เดือน/ปี:  สิงหาคม 2552

คอลัมน์:  เรื่องเด่นจากปก

 นักเขียนหมอชาวบ้าน:  ดร.คีรินท์ เมฆโหรา

https://www.doctor.or.th/article/detail/7900
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #553 เมื่อ: มีนาคม 08, 2016, 04:23:43 PM »

หยุดใช้น้ำมันทอดซ้ำ ป้องกันมะเร็ง-ความดัน




โพสโดย admin เมื่อ 28 มีนาคม 2556 13:43

คนไทยบริโภคน้ำมันพืชปีละกว่า ๘ แสนตัน และมีผู้บริโภคส่วนหนึ่งใช้น้ำมันที่ผ่านการทอดอาหารซ้ำเป็นเวลานาน นอกจากทำให้คุณค่าทางโภชนาการลดลงแล้วยังมีอันตรายต่อสุขภาพ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และโรคความดันโลหิตสูง มีความเสี่ยงต่อการได้รับสารก่อมะเร็ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นโรคที่มีอัตราป่วยและอัตราตายในระดับสูง 


ส่วนน้ำมันที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน มีด้วยกัน ๒ ชนิด คือน้ำมันจากไขสัตว์ (น้ำมันหมู และน้ำมันวัว เป็นต้น ซึ่งมีกรดไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง) น้ำมันพืช ได้จากพืชชนิดต่างๆ


สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จับมือภาคีเครือข่ายผุดยุทธศาสตร์จัดการน้ำมันทอดซ้ำ ปกป้องสุขภาพคนไทย หวังบูรณาการแก้ปัญหาทั้งระบบหนุนแปลงน้ำมันทอดซ้ำ เป็นไบโอดีเซล ด้านกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ผลิตชุดตรวจคุณภาพน้ำมันทอดซ้ำ “ซุปเปอร์จิ๋ว” ได้ผลแม่นยำร้อยละ ๙๙.๒

นพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แต่ละปีคนไทยบริโภคน้ำมันพืชกว่า ๘ แสนตัน ส่วนใหญ่นิยมกินอาหารประเภททอด โดยพบว่ามีร้านค้าจำนวนมากที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพราะมีสารอันตราย คือ สารโพลาร์ (Polar compounds) เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง และสารโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbons; PAHs) เป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งพบได้ทั้งในน้ำมันทอดอาหารที่เสื่อมสภาพ และในไอที่ระเหยขณะทอดอาหาร จึงมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้ทั้งผู้ขายและผู้บริโภค
 

“ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ในปี ๒๕๕๒ พบคนไทยมีอัตราการป่วยโรคความดันโลหิตสูงถึง ๙๘๑.๔๘ คนต่อประชากรแสนคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นขึ้นทุกปี ซึ่งโรคความดันโลหิตสูงมีความสัมพันธ์กับโรคระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดหัวใจตีบ และเส้นเลือดสมอง เป็นสาเหตุการตายอันดับที่ ๔ ของคนไทย ส่วนโรคมะเร็ง เป็นสาเหตุการตายอันดับ ๑ ของคนไทย มีอัตราป่วย ๑๓๓.๑ คนต่อประชากรแสนคน

ทั้งนี้ ภาควิชาการได้นำเสนออันตรายจากน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในระดับประเทศยังไม่มีนโยบายและมาตรการทางกฎหมายหรือบทลงโทษการแก้ปัญหาน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพในภาพรวมอย่างเป็นระบบ

หากภาครัฐให้ความสำคัญและนำไปสู่การผลักดันมาตรการทางกฎหมายควบคู่กับการรณรงค์ให้ความรู้ประชาชน จะสามารถกำจัดน้ำมันที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพคนไทย อีกทั้งยังได้น้ำมันไบโอดีเซล เป็นพลังงานทดแทน ช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจระดับประเทศได้อีกด้วย”

ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ ๗ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมวิทย์ฯ ร่วมกับ  สสส. และ คคส. ทำงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำร่องหลายแห่ง ดำเนินโครงการปฏิวัติน้ำมันทอดซ้ำ เพื่อสร้างความตื่นตัวในทุกภาคส่วนและขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการคุ้มครองสุขภาพประชาชน โดยให้ความรู้เรื่องอันตรายของน้ำมันทอดซ้ำ และสนับสนุนการนำน้ำมันทอดซ้ำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนไบโอดีเซล ซึ่งได้ผลอย่างมากช่วยตัดวงจรน้ำมันเสื่อมสภาพไม่ให้เข้ามาในวงจรอาหารได้ หากนำน้ำมันทอดซ้ำไปผลิตเป็นพลังงานทดแทนไบโอดีเซลได้ทั้งหมด ไทยจะมีพลังงานทดแทนใช้ไม่น้อยกว่า ๑๐๐ ล้านลิตรต่อปี


“กรมวิทย์ฯ และเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค สำรวจพบมีกลุ่มพ่อค้าเห็นแก่ได้ออกซื้อน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพจากแหล่งต่างๆ นำไปฟอกสีให้ใส ใส่ถุงพลาสติกไม่มีฉลาก แล้วนำกลับมาขายให้กับโรงงานผลิตอาหารขนาดเล็ก โรงงานก๋วยเตี๋ยว ตลอดจนให้กับผู้บริโภคตามตลาดนัด และตลาดสด หรือที่รู้จักในชื่อ “น้ำมันลูกหมู” ซึ่งอันตรายต่อสุขภาพประชาชนอย่างมาก” ภก.วรวิทย์ กล่าว



ภก.วรวิทย์ กล่าวว่า แต่ขณะนี้ประชาชนสามารถตรวจสอบน้ำมันพืชก่อนใช้ได้ว่าเป็นน้ำมันมีคุณภาพหรือไม่ โดยกรมวิทย์ฯ ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คิดค้นชุดตรวจสอบน้ำมันทอดซ้ำ “ซุปเปอร์จิ๋ว” ราคาเพียง ๒๐ บาท รู้ผลเร็วภายใน ๒ นาที ได้ผลแม่นยำถึงร้อยละ ๙๙.๒ โดยใส่น้ำยาจากชุดทดสอบลงไปในน้ำมันทอดซ้ำแล้วเขย่า หากน้ำมันเปลี่ยนสีเป็นสีชมพู แสดงว่าน้ำมันดังกล่าวยังมีคุณภาพดีอยู่ ซึ่งในอดีตต้องใช้เครื่องตรวจในห้องปฏิบัติการ ราคาถึง ๔๐,๐๐๐ บาท ใช้เวลานานถึง ๔ ชั่วโมง

 

รศ.ดร.ภก.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงาน คคส. กล่าวว่า เครือข่ายภาควิชาการ องค์กรภาครัฐ และภาคประชาสังคม ร่วมจัดทำ “ยุทธศาสตร์ความปลอดภัยทางอาหาร : การจัดการน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ” ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่

๑.ยุทธศาสตร์ท้องถิ่นปลอดภัยจากน้ำมันทอดซ้ำ

๒.ยุทธศาสตร์ผู้ประกอบการรับผิดชอบต่อสังคม

๓.ยุทธศาสตร์พัฒนามาตรการกำกับดูแลและดำเนินทางกฎหมาย

๔.ยุทธศาสตร์พัฒนาองค์ความรู้เพื่อการจัดการ และ ๕.ยุทธศาสตร์การสร้างความตระหนักรู้ต่อสังคม

 
ข้อมูลสื่อ

ชื่อไฟล์:  395-026
นิตยสารหมอชาวบ้าน   เล่มที่:  395 
เดือน/ปี:  มีนาคม 2555

คอลัมน์:  รายงานพิเศษ

 นักเขียนหมอชาวบ้าน:  คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #554 เมื่อ: มีนาคม 12, 2016, 10:29:19 AM »

เครื่องกรองน้ำ เรื่องน่ารู้ก่อนเลือกซื้อและวิธีติดตั้งด้วยตัวเอง


รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเครื่องกรองน้ำสำหรับคนที่กำลังมองหาเครื่องกรองน้ำมาติดตั้งที่บ้าน ถ้ายังไม่รู้ว่าจะซื้อเครื่องกรองน้ำยี่ห้อไหนดี
          น้ำที่เราใช้ดื่มนั้นไม่ได้สะอาด 100% แน่นอน ยิ่งเป็นน้ำจากก๊อกแล้วยิ่งมีสารปนเปื้อนเยอะ ทั้งโลหะหนัก ฟลูออไรด์ และสารอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายกับร่างกายอีกกว่า 300 ชนิด ดังนั้นเครื่องกรองน้ำจึงถูกผลิตมาเพื่อเป็นอุปกรณ์ช่วยในการขจัดสารปนเปื้อนที่มากับน้ำดื่ม ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายยี่ห้อและหลายชนิดให้เลือกใช้ ถ้าคุณกำลังมองหาเครื่องกรองน้ำติดบ้านอยู่หรือลังเลว่าจะซื้อเครื่องกรองน้ำยี่ห้อไหนดี ลองมาดูข้อมูลที่เรานำมาฝากก่อนตัดใจเลือกซื้อมาใช้พร้อมวิธีติดตั้งเครื่องกรองน้ำด้วยตัวเองกันก่อนใช้จริงค่ะ

เครื่องกรองน้ำ คืออะไร ?

          เครื่องกรองน้ำเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยขจัดสารปนเปื้อน เชื้อโรค แบคทีเรีย หิน ปูน และสารเคมีต่าง ๆ ที่ปนมากับน้ำที่เราใช้ดื่ม โดยสารปนเปื้อนจะถูกแยกออกเป็นขั้น ๆ ตามชนิดของไส้กรอง โดยทั่วไปแล้วมีประมาณ 4–6 ขั้นตอนก่อนจะได้น้ำบริสุทธิ์ที่ปราศจากสารปนเปื้อนออกมาให้เราใช้บริโภค

ประเภทของเครื่องกรองน้ำ

1. เครื่องกรองน้ำระบบ RO (REVERSE OSMOSIS)

          เครื่องกรองน้ำแบบ RO คือเครื่องกรองน้ำที่กรองแร่ธาตุต่าง ๆ ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นต่อร่างกายออกไปจนหมดสิ้น เพื่อให้น้ำที่กรองได้มีความบริสุทธิ์มากที่สุด เครื่องกรองน้ำชนิดนี้ราคาสูงค่อนข้างเพราะมีขั้นตอนการกรองน้ำถึง 5–6 ขั้นตอน ข้อเสียของเครื่องกรองน้ำชนิดนี้คือ จะกรองแร่ธาตุจากน้ำออกมาด้วย ราคาแพง และมีการบำรุงดูแลรักษาที่ยุ่งยาก ไส้กรองจะต้องซื้อกับบริษัทหรือตัวแทนจำหน่ายเครื่องกรองน้ำ RO โดยตรงเท่านั้น

2. เครื่องกรองน้ำระบบ UV (Ultra Violet)

          เครื่องกรองน้ำระบบ UV ซึ่งเครื่องกรองน้ำระบบนี้เหมาะที่จะใช้มากกว่าระบบอื่น ๆ เพราะสามารถกรองสิ่งสกปรกและเชื้อโรคได้ตามมาตรฐานด้วยหลอดไฟ UV และยังคงเหลือแร่ธาตุที่จำเป็นไว้ให้กับเรา นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องกรองน้ำที่สามารถซื้อไส้กรองเปลี่ยนเองได้ง่ายอีกด้วย

3. เครื่องกรองน้ำระบบ UF (Ultra Filtration)

          เครื่องกรองน้ำระบบ UF มีระบบกรองน้ำอยู่ด้วยกัน 4–5 ขั้นตอน ซึ่งเป็นเครื่องกรองน้ำที่ได้พัฒนามาจากเครื่องกรองน้ำระบบ UV บางเครื่องก็ไม่มีการกรองน้ำแบบระบบ UV มาให้ แต่จะเพิ่มไส้กรองที่เรียกว่าโพรเทคแบคทีเรียมาให้แทน ซึ่งง่ายต่อการเปลี่ยนถ่ายไส้กรองและประหยัดในเรื่องของการดูแลรักษากว่าระบบ RO และ UV


ประโยชน์ของเครื่องกรองน้ำ

          ช่วยขจัดสารปนเปื้อน เชื้อโรค และแบคทีเรียขนาดเล็กมาก ๆ ออกจากน้ำดื่ม รวมทั้งโลหะหนักต่าง ๆ เช่น ตะกั่ว สนิมเหล็ก สารโลหะหนัก ซึ่งถ้าเข้าสู่ร่างกายแล้วจะกำจัดยากและจะไปสะสมในร่างกายทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ในขณะที่เครื่องกรองน้ำบางยี่ห้อก็มีการเพิ่มระบบแต่งกลิ่นและปรับปรุงรสชาติของน้ำเข้าไปด้ว

หลักการเลือกเครื่องกรองน้ำ

          เครื่องกรองแต่ละระบบถึงแม้จะช่วยกรองน้ำให้สะอาดเหมือนกัน แต่หลักการทำงานและประสิทธิภาพจะแตกต่างกันออกไป ในการเลือกเครื่องกรองน้ำโดยทั่วไปให้พิจารณาตามหลักดังต่อไปนี้

1. สภาพของน้ำดิบที่จะนำมากรอง

          น้ำในเขตตัวเมืองร้อยละ 90 เป็นน้ำประปา ซึ่งสามารถใช้เครื่องกรองน้ำได้แทบทุกชนิด ถ้าเป็นน้ำในต่างจังหวัดอาจจะมีน้ำประปา น้ำประปาหมู่บ้าน น้ำบาดาล น้ำบ่อผสมกันไป ซึ่งจะสารปนเปื้อนมากกว่าน้ำในเขตตัวเมือง ดังนั้นแล้วถ้าจะให้ปลอดภัยควรเป็นเครื่องกรองน้ำระบบ OR

2. ลักษณะการใช้งาน

          เครื่องกรองน้ำในปัจจุบันได้ถูกนำไปรวมกับตู้เย็น ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน กรองแล้วสามารถดื่มหรือชงเครื่องดื่มได้เลย ไม่ต้องนำไปแช่ตู้เย็นหรือต้มอีกที โดยส่วนมากแล้วระบบนี้จะมีราคาสูง นิยมใช้ในสำนักงานเพราะมีคนใช้เยอะ ต้องทำงานให้ทันกับความต้องการการใช้งาน สำหรับการใช้งานตามบ้านใช้เครื่องกรองน้ำแบบระบบปกติก็ได้

3. คุณภาพของเครื่อง

          เครื่องกรองน้ำควรผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 ซึ่งเป็นการรับรองในเรื่องของการผลิตทั้งกระบวนการของผลิตภัณฑ์ ทำให้เราสามารถมั่นใจได้ในเรื่องของคุณภาพสินค้า และอาจจะได้การรับรองจากสมาคมคุณภาพน้ำดื่มจากสหรัฐอเมริกา Water Quality Association (WQA) และมาตรฐานจากประเทศไทย เช่น Thailand Trusted Mark เป็นต้น

วิธีการติดตั้ง

          1. เลือกพื้นที่ที่จะติดตั้ง โดยจะต้องอยู่ใกล้กับก๊อกน้ำ ใช้สว่านเจาะผนังเพื่อแขวนเครื่องกรองน้ำ

          2. ใช้เทปพันเกลียวท่อน้ำพันข้อต่อ 3 ทาง ประกอบวาล์วน้ำ 2 หุนที่มีลักษณะเป็นก๊อกเล็ก ๆ ที่ให้มาเข้ากับข้อต่อ ต่อสายยางเข้ากับวาล์ว 2 หุน จากนั้นหมุนข้อต่อเข้ากับก๊อกน้ำ
         
          3. แกะพลาสติกหุ้มไส้กรองออก แล้วนำไส้กรองทั้ง 3 ใส่เข้าไปในกระบอกไส้กรอง ใช้ประแจหมุนกระบอกไส้กรองให้แน่น โดยให้หมุนจากขวาไปซ้าย

          4. นำข้อต่อพลาสติกสีขาวร้อยเข้ากับปลายสายยางอีกขั้วที่ต่อไว้ แล้วต่อเข้ากับทางน้ำเข้าของเครื่องกรอง หมุนข้อต่อให้แน่น

          5. นำฐานยึดก๊อกพลาสติกสีขาววางทาบกับตำแหน่งที่จะติดเครื่องกรอง เจาะผนังส่วนที่จะติด แล้วนำตะปูเกลียวหมุนติดฐานยึดกับรูที่เจาะไว้ให้แน่น

          6. นำก๊อกน้ำใส่เข้ากับฐานยึดก๊อก จากนั้นต่อท่อน้ำเขากับก๊อก หมุนข้อต่อให้แน่น จากนั้นนำปลายสายยางอีกข้างต่อเข้ากับทางเข้าออกของเครื่องกรองน้ำก็เสร็จเรียบร้อย แต่ก่อนจะใช้งานควรเปิดน้ำล้างระบบลงถังก่อนสัก 2–3 ถังหรือจนกว่าน้ำที่ออกมาจะใสสะอาด



บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 35 36 [37] 38 39 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: