ทองใหม่
|
|
« ตอบ #45 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 08:31:31 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #46 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 08:49:32 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sue662
|
|
« ตอบ #47 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 09:09:16 AM » |
|
อรุณสวัสดิ์ คุณทองใหม่ค่ะ ดื่มน้ำขิงหรือ ทานขมิ้นชัน (สมุนไพร แคปซูล) ซะวันละ 1 เม็ด ช่วยระบายลมท้องไม่อืดดีนะคะ (เพราะคุณแม่ก็ทานขมิ้นชันทุกวัน ลมออกสบายท้องค่ะ ) แถมมีสรรพคุณพิเศษต่างๆอีกเยอะมากรักษาอาการอักเสบของเนื้อเยื่อในร่างกายดีมากๆค่ะ ถึงกับให้ทานประจำตลอดไปยิ่งดีค่ะ ฟังจาก ดร วีณา เชิดบุญชาติ (ถ้าจำนามสกุลผิดต้องขออภัยล่วงหน้านะคะ) ผู้เชื่ยวชาญด้านโภชนาการมาอีกทีน่ะค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #48 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 09:19:35 AM » |
|
อรุณสวัสดิ์ คุณทองใหม่ค่ะ ดื่มน้ำขิงหรือ ทานขมิ้นชัน (สมุนไพร แคปซูล) ซะวันละ 1 เม็ด ช่วยระบายลมท้องไม่อืดดีนะคะ (เพราะคุณแม่ก็ทานขมิ้นชันทุกวัน ลมออกสบายท้องค่ะ ) แถมมีสรรพคุณพิเศษต่างๆอีกเยอะมากรักษาอาการอักเสบของเนื้อเยื่อในร่างกายดีมากๆค่ะ ถึงกับให้ทานประจำตลอดไปยิ่งดีค่ะ ฟังจาก ดร วีณา เชิดบุญชาติ (ถ้าจำนามสกุลผิดต้องขออภัยล่วงหน้านะคะ) ผู้เชื่ยวชาญด้านโภชนาการมาอีกทีน่ะค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #49 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 09:20:29 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
verb2be
Jr. Member
ออฟไลน์
กระทู้: 278
|
|
« ตอบ #50 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 09:31:45 AM » |
|
ขอบคุณค่ะ คุณทองใหม่ ทานข้าวเช้ายังคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #51 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 09:47:55 AM » |
|
ขอบคุณค่ะ คุณทองใหม่ ทานข้าวเช้ายังคะ ทานแล้วจ้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Neung99k
|
|
« ตอบ #52 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 10:21:15 AM » |
|
ขอบคุณครับคุณทองใหม่ สุขภาพเป็นยังไงบ้างครับตอนนี้ พักผ่อนเยอะๆนะครับ ด้วยความห่วงใยจากแดนใต้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #53 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 10:31:23 AM » |
|
ขอบคุณครับคุณทองใหม่ สุขภาพเป็นยังไงบ้างครับตอนนี้ พักผ่อนเยอะๆนะครับ ด้วยความห่วงใยจากแดนใต้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #54 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 11:12:34 AM » |
|
บทวิเคราะห์ทองคำ (03-11-52)
03 พ.ย. 2552
สรุปภาวะตลาดเมื่อวันก่อน ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ในช่วงบ่ายเมื่อตลาดยุโรปเริ่มเปิดซื้อขาย ทองคำแท่งสมาคมฯปิดที่ 16,600/700 บาท เงินบาทปรับตัวในช่วงแคบ
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อเนื่องถึงวันนี้ รายงาน PMI ของประเทศต่างๆทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงภาคการผลิตที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในเกือบทุกๆประเทศ โดยเฉพาะอังกฤษที่มีดัชนี PMI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก มีเพียงรายงาน PMI ของกลุ่มยูโรเท่านั้นที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก โดยที่แสดงให้เห็นถึงภาคการจ้างงานของกลุ่มยูโรที่ดีขึ้นในขณะที่รายงานของอังกฤษกลับให้มุมมองการจ้างงานที่แย่ลง อย่างไรก็ตามราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอย่างรุนแรงจากรายงานดังกล่าวเมื่อมุมมองของเศรษฐกิจที่ดูดีขึ้น [Markit, TCAF Research] รายงาน PMI ของสหรัฐฯแสดงให้เห็นถึงภาคการผลิตที่ดีขึ้นเช่นกัน โดยได้รับอิทธิพลจากการจ้างงานและสินค้าคงคลังที่ดีขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ยอดการสั่งซื้อกลับลดลง รายงานดังกล่าวส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงจากพื้นฐานที่แสดงให้เห็นถึงตลาดแรงงานที่น่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง [Econoday, TCAF Research] รายงานยอดการทำสัญญาซื้อบ้านเก่ายังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงจากเดือนที่แล้ว ซึ่งส่งผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง [Econoday, TCAF Research] ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีต่างๆได้แสดงให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างมากส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามนักลงทุนได้ขายทำกำไรหุ้นและทองคำออกมาในภายหลังเมื่อนายกรีนลี รองผู้อำนวยการด้านการควบคุมดูแลธนาคารของเฟด ได้ให้ความเห็นว่าธนาคารต่างๆยังมีปัญหาอยู่ นักลงทุนจึงเริ่มเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อทำกำไรออกมาในภายหลัง [Bloomberg, Reuters, TCAF Research] นักลงทุนมีการเก็งกำไรเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของออสเตรเลียในเช้าวันนี้ ส่งผลให้ค่าเงินออสเตรเลียและราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ตั้งแต่เช้า
แนวโน้มทองคำวันนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจยังเป็นบวกต่อทองคำ ในขณะที่การเก็งกำไรเกี่ยวกับดอลลาร์ออสเตรเลียในเช้านนี้อาจส่งผลลบได้ชั่วคราว เราจึงคาดว่า "ราคาทองคำน่าจะเริ่มแกว่งตัวขึ้น (Sideway Up) หลังประกาศอัตราดอกเบี้ยของออสเตรเลีย" และแนะนำให้ "ค่อยๆสะสม LONG หลังรายงานนโยบายการเงินออสเตรเลีย"
มุมมองทองคำ ภาวะเศรษฐกิจเปรียบเทียบในภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งมาตรการและมุมมองภาครัฐฯน่าจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาทองคำในช่วงนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #55 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 11:19:28 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #56 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 11:20:15 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #57 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 11:21:57 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #58 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 11:37:44 AM » |
|
ซิตี้กรุ๊ปและเจพีมอร์แกนกักตุนเงินสด บ่งชี้ว่าวิกฤตการเงินในสหรัฐยังไม่สิ้นสุดลง
Posted on Tuesday, November 03, 2009 การผลิตสหรัฐดันตลาดหุ้นบวก ? Ford โชว์กำไรเหนือคาด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดซื้อขายวันแรกของเดือนด้วยการพลิกกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง หลังเพิ่งทำสถิติลดลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่เมื่อสัปดาห์ก่อน แรงซื้อมีเข้ามาหลังจากบริษัท Ford Motor รายงานกำไรและตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด
ดัชนีภาคโรงงาน หรือ ISM factory index ขยับขึ้นสู่ระดับ 55.7 ในเดือนตุลาคม ขณะที่ผู้ประกอบการขยายการผลิตในอัตราสูงสุดในรอบมากกว่า 3 ปี ส่วนกระทรวงพาณิชย์ก็เปิดเผยตัวเลขยอดใช้จ่ายด้านก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นผิดคาดด้วยอัตรา 0.8% ในเดือนกันยายน
นอกจากนี้ ข่าวดียังมีมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่สมาคมผู้ประกอบการออกมาเปิดเผยว่า ตัวเลขสัญญาการซื้อขายในตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 6%
รายงานเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากอเมริกา รวมถึงภาคอุตสาหกรรมของจีน ก็ทำให้ราคาน้ำมันฟื้นขึ้นได้จากระดับต่ำสุดในรอบสองสัปดาห์ ด้วยการปิดบวก 1.13 เหรียญ หรือ 1.5% ขึ้นมาอยู่ที่ 78.13 เหรียญต่อบาร์เรล แม้ตลาดจะยังมีแรงกดดันจากตัวเลขสต็อกน้ำมัน ที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะออกมาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในสัปดาห์ที่แล้ว
ในส่วนของค่าเงิน ทั้งดอลลาร์และเยนก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโรที่ตลาดนิวยอร์ก ก่อนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้ ซึ่งนักลงทุนส่วนหนึ่งก็เทขายเงินสกุลหลักและหันเข้าไปในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
กลับมาดูที่ความเคลื่อนไหวของหุ้น เริ่มจาก Ford Motor ที่รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 อย่างน่าประทับใจ ด้วยกำไรต่อหุ้นที่ไม่รวมรายการพิเศษออกมาที่ 26 เซนต์ ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ก่อนหน้าว่าจะขาดทุนราว 20 เซนต์ต่อหุ้น
ขณะเดียวกัน ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกที่มีต่อหุ้นบริษัทประกันที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากทางการไป อย่าง American International Group หรือ AIG เมื่อนักวิเคราะห์จาก Credit Suisse ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของบริษัทในไตรมาส 3 ขึ้นถึง 3 เท่า เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุน ที่รวมถึงอนุพันธ์และการเข้าถือหุ้นในกองทุนเฮดจ์ฟันด์
โบรกเกอร์รายนี้มองว่า AIG อาจจะบันทึกกำไรจากธุรกิจ derivatives ได้ถึงกว่า 2,500 ล้านเหรียญ ขณะที่การลงทุนในเฮดจ์ฟันด์และ private equity อาจสร้างรายได้ให้ถึง 700 ล้านเหรียญ
จับตาผลกระทบผู้ถือหุ้น-พันธบัตร หลัง CIT ยื่นล้มละลาย
การตัดสินใจของ CIT Group ที่ขอศาลเข้าสู่กระบวนการล้มละลายอาจยังทำให้มีเงินไหลสู่ผู้ถือพันธบัตรและลูกค้ากว่า 1 ล้านคนของสถาบันการเงินผู้ปล่อยสินเชื่อเชิงพาณิชย์ที่มีอายุ 101 ปีนี้ แต่ผู้เสียประโยชน์ก็แน่นอนว่าหนีไม่พ้นบรรดาผู้ถือหุ้น รวมถึงผู้เสียภาษี
การยื่นเข้ากระบวนการล้มละลาย หรือ Chapter 11 ของ CIT ทำให้ผู้ถือพันธบัตรมีโอกาสที่จะได้รับตราสารระยะสั้นที่จะออกใหม่ รวมถึงหุ้นสามัญใหม่ด้วย ซึ่งทางซีอีโอ นาย Jeffrey Peek ก็บอกว่า ลูกค้าของธนาคารจะสามารถได้รับเงินด้วยเช่นกัน
ทางด้านผู้ถือหุ้นก็มีการคาดกันว่า มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ได้รับอะไรเลยหรือได้รับน้อยมากจากเงินช่วยเหลือของรัฐที่ CIT เคยได้ไปกว่า 2,300 ล้านเหรียญ
ย้อนกลับไปดูหนทางการล้มละลายของบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสถาบันการเงินที่เข้าขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐฯ รายนี้ สถานการณ์สุกงอมเกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทไม่สามารถผ่านการอนุมัติขอรับเงินช่วยเหลือครั้งที่สองเมื่อเดือนกรกฎาคม และไม่สามารถชักชวนให้ผู้ถือพันธบัตรของตนทำการแลกเปลี่ยนตราสารหนี้มูลค่า 30,000 ล้านเหรียญ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดการยื่นล้มละลายในเดือนนี้
สถาบันการเงินจากนิวยอร์กบันทึกผลการดำเนินงานที่ขาดทุนรวมกันมากกว่า 5,000 ล้านเหรียญในช่วงเก้าไตรมาสที่ผ่านมา และก็ทำให้การยื่นล้มละลายคราวนี้ถือเป็นกรณีที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับห้าเมื่อดูจากมูลค่าสินทรัพย์
ถ้าพูดถึงธุรกิจของ CIT Group บริษัทก็เป็นผู้ให้สินเชื่อแก่ธุรกิจที่มีขนาดตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไปในหมวดอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ไล่กันตั้งแต่แบรนด์เสื้อผ้า ไปจนถึงเจ้าของโดนัทชื่อดัง อย่าง บริษัท Dunkin? Brands จากรัฐแมสซาชูเซ็ตส์ นอกจากนั้น CIT ยังปล่อยเงินกู้ให้กับเจ้าของแบรนด์หรือ Vendor กว่า 2,000 ราย ที่จัดส่งสินค้าให้กับร้านค้าปลีกจำนวน 300,000 แห่งทั่วสหรัฐฯ ตามข้อมูลจากสมาพันธ์การค้าปลีกของประเทศในเดือนกรกฎาคม
ชะตากรรมของผู้ถือหุ้นในสถาบันการเงินแห่งนี้ มูลค่าหุ้นอาจจะหดลงมาเหลือแค่เพียง 2.5% ภายใต้บริษัทที่มีการปรับองค์กรตามแผนการยื่นล้มละลายนี้ ส่วนราคาหุ้นก็ร่วงลงมาแล้วกว่า 80% นับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว เมื่อบริษัทได้รับอนุมัติจากทางการสำหรับเงินช่วยเหลือตามโครงการ TARP หรือที่รู้จักกันดีว่ามาตรการ 7 แสนล้านเหรียญ
ซิตี้-เจพี มอร์แกนตุนเงินมากปีนี้ บ่งชี้วิกฤตยังไม่สิ้นสุด
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของนักวิเคราะห์ในย่านวอลล์สตรีทว่า ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค กำลังกักตุนเงินสดไว้ในขณะนี้ ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่บ่งชี้ว่าวิกฤตการณ์ด้านการเงินในสหรัฐยังไม่สิ้นสุดลง
รายงานระบุว่านับตั้งแต่การล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส ซิตี้กรุ๊ป ถือครองเงินสดไว้มากขึ้นเกือบ 2 เท่า เป็น 244,200 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และหลังจากที่กระทรวงการคลังสหรัฐกดดันให้ซิตี้กรุ๊ปสำรองเงินสดไว้เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน แม้ในช่วงที่ตลาดฟื้นตัวขึ้นแล้วก็าม
เอริค ฮอฟ CEO ของบริษัท Hovde Capital Advisors ซึ่งเป็นเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ในวอลล์สตรีทกล่าวว่า "ท่าทีที่ระมัดระวังของซิตี้กรุ๊ป และเจพีมอร์แกน อาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงิน แต่ไม่ได้ช่วยให้กลุ่มผู้ถือหุ้นมีมุมมองที่เป็นบวก และจะยิ่งทำให้ภาคเอกชนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยากขึ้น เมื่อเศรษฐกิจเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่สภาพคล่องกับหดตัวลง สหรัฐอาจต้องเผชิญวิกฤตความเชื่อมั่นภาคเอกชนอีกระลอก"
กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราการปล่อยเงินกู้ของสถาบันการเงินรายใหญ่ในสหรัฐที่ได้รับความช่วยเหลือจากโครงการลดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (TARP) มูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์ ร่วงลง 17% ในเดือนส.ค. เหลือเพียง 234,700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติที่ร่วงลงเป็นเวลา 3 เดือนภายในระยะเวลา 6 เดือน
ในเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ยอดการปล่อยเงินกู้ของแบงค์ ออฟ อเมริกา ลดลง 22% แตะที่ 5.71 หมื่นล้านดอลลาร์ ยอดปล่อยกู้ของธนาคารเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค ลดลง 18% แตะที่ 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ลดลง 5% แตะที่ 4.38 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ มีรายงานว่า 4 ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐซึ่งได้แก่ แบงค์ ออฟ อเมริกา, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และเวลล์ส ฟาร์โก เพิ่มสภาพคล่องในรูปเงินสดรวมกัน 67% ณ วันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา เป็นจำนวนเงินรวมกันทั้งสิ้น 1.53 ล้านล้านดอลลาร์ จากเดือนมิ.ย.2550 ที่ระดับ 914,200 ล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นช่วงก่อนการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส
ขณะที่ซิตี้กรุ๊ปมีสภาพคล่องสำรองไว้ทั้งสิ้น 4.5แสนล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 30 ก.ย. เพิ่มขึ้น 16% จากเดือนมิ.ย.2550
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ผลของการสำรองเงินสดไว้เป็นจำนวนมากทำให้สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐมีผลประกอบการที่ย่ำแย่ในไตรมาส 3 โดยรายได้จากดอกเบี้ยของซิตี้กรุ๊ปหดตัวลง 1,400 ล้านดอลลาร์จากปีที่แล้ว และยังทำให้ซิตี้กรุ๊ปมียอดขาดทุนการดำเนินงานทั้งสิ้น 750 ล้านดอลลาร์
ริชาร์ด โบฟ นักวิเคราะห์จาก Rochdale Securities กล่าวว่า "ตลอดระยะเวลา 44 ปี ผมยังไม่เคยเห็นสถาบันการเงินรายใดกักตุนเงินสดไว้มากขนาดนี้ หากซิตี้กรุ๊ปนำเงินสดที่กักตุนไว้ไปปล่อยกู้ ก็จะทำให้บริษัทมีรายได้จากดอกเบี้ยรายปีอย่างน้อย 8.65 พันล้านดอลลาร์"
นักวิเคราะห์คาดอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5%
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอังกฤษอาจขยายโครงการซื้อตราสารหนี้ หลังจากที่เศรษฐกิจในประเทศเริ่มล้าหลังประเทศอื่นๆทั่วโลก และคาดว่า ธนาคารกลางอังกฤษจะตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% ในที่ประชุมวันพฤหัสบดีนี้ เช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรปที่อาจยังคงดอกเบี้ยในระดับเดิมที่ 1%
นักวิเคราะห์จากโพลล์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า นายเมอร์วิน คิง ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษและเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายจะขยายแผนการซื้อตราสารหนี้อีก 5 หมื่นล้านปอนด์ (82,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป็น 225,000 ล้านปอนด์ในวันที่ 5 พ.ย.นี้ ซึ่งจะนับเป็นครั้งที่ 3 ที่ธนาคารได้ขยายวงเงินซื้อตราสารหนี้นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการนี้ในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
โดยธนาคารกลางอังกฤษกำลังชั่งน้ำหนักระหว่างความเสียหายที่เกิดจากการใช้จ่ายมากเกินไปว่าจะส่งผลให้เงินปอนด์อ่อนค่าลง หรือว่าจะก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้อังกฤษเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างหนักที่ยืดเยื้อยาวนาน
ขณะที่ธนาคารกลางในประเทศอื่นๆเริ่มยุติการใช้มาตรการกระตุ้นดอกเบี้ยหลังเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยเฉพาะธนาคารกลางออสเตรเลียและนอร์เวย์ที่ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อเดือนที่ผ่านมา
สจ๊วต โรเบิร์ตสัน นักวิเคราะห์จากอาวีว่า อินเวสเตอร์ส ในกรุงลอนดอนกล่าวว่า "สิ่งที่น่ากลัวคือ การที่เศรษฐกิจได้รับปัจจัยกระตุ้นมากเกินไป และภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์จะนำมาซึ่งสถานการณ์ที่เลวร้าย เช่นเดียวกับสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของเงินปอนด์ แต่หากเรายังรอดูสถานการณ์ต่อไป ก็อาจสายเกินแก้"
ทั้งนี้ เงินปอนด์อ่อนค่าลง 6% เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินของประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของอังกฤษนับตั้งแต่เดือนส.ค.เป็นต้นมา
ขณะที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางส่งสัญญาณว่า การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์จะช่วยหนุนการส่งออก ขณะที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของอังกฤษจะหดตัวลง 0.4% ในไตรมาส 3 ของปีนี้
ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้เผยยอดขายรถยนต์เดือนต.ค.พุ่ง
สมาคมผู้ค้ายานยนต์ญี่ปุ่นรายงานในวันนี้ว่า ยอดขายยานยนต์ประจำเดือนต.ค.ในญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงรถยนต์ส่วนบุคคล รถบรรทุก และรถบัส เพิ่มขึ้น 13% จากปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 263,506 คันซึ่งเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากรัฐบาลญี่ปุ่นใช้นโยบายกระตุ้นดีมานด์ภายในประเทศ โดยบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ และฮอนด้า มอเตอร์ สองค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นทำยอดขายสูงสุด
สมาคมฯระบุว่า ยอดขายของค่ายโตโยต้าซึ่งไม่นับรวมแบรนด์ Lexus เพิ่มขึ้น 14% ขณะที่ยอดขายของฮอนด้าพุ่งขึ้น 30% และยอดขายของนิสสัน มอเตอร์ เพิ่มขึ้น 15%
ยอดขายรถยนต์ในญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่เดือนส.ค.เป็นต้นมา หลังจากรัฐบาลใช้นโยบายคืนเงินภาษีและลดหย่อนภาษีให้กับผู้ซื้อรถยนต์ประหยัดพลังงาน ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ Prius ของค่ายโตโยต้า และรถยนต์ไฮบริดจ์ Insight ของค่ายฮอนด้าเพิ่มขึ้นด้วย
ภายใต้นโยบายดังกล่าวที่รัฐบาลริเริ่มใช้เมื่อเดือนมิ.ย.นั้น ผู้บริโภคสามารถขอรับเงินช่วยเหลือ 250,000 เยน หรือ 2,780 คันหากนำรถยนต์คันเก่าที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 13 ปีมาแลกรถยนต์คันใหม่ โดยโครงการดังกล่าวจะหมดอายุช่วงปลายเดือนมี.ค.
ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นคาดหวังว่าโครงการนำรถยนต์คันเก่ามาแลกคันใหม่จะช่วยกระตุ้นยอดขายในอุตสาหกรรมรถยนต์เพิ่มขึ้นอีก 690,000 คันในปีนี้
อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ค้ายานยนต์ญี่ปุ่นคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ทั่วประเทศจะลดลง 8.5% เหลือเพียง 4.3 ล้านคันในรอบปีงบการเงินซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.2553 เนื่องจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงอยู่ในระยะถดถอย
ชณะที่เกาหลีใต้เผยบริษัทผลิตรถยนต์ 5 แห่งในประเทศมียอดขายรถยนต์เพิ่มขึ้นรวมกัน 2.7% แตะ 518,623 คันในเดือนตุลาคมเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หลังยอดขายในประเทศปรับตัวสูงขึ้น โดยยอดขายในประเทศทะยาน 24% แตะ 130,192 คัน ขณะที่ยอดส่งออกหดตัวลง 2.9% เหลือ 388,431 คัน
สำหรับบริษัทผลิตยานยนต์ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดคือฮุนได ที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 6.9% แตะ 288,618 คัน ส่วนเกียซึ่งเป็นบริษัทในเครือฮุนได มียอดขายเพิ่มขึ้น 7.3% แตะ 149,591 คัน
ด้านจีเอ็ม แดวู ออโต แอนด์ เทคโนโลยี ซึ่งอยู่ในเครือเจเนอรัล มอเตอร์ส มียอดขายร่วงลง 24.6% แตะ 55,314 คัน ส่วนเรโนลท์ ซัมซุง มอเตอร์ส ในเครือเรโนลท์ มียอดขายพุ่งขึ้น 25.6% แตะ 20,470 คัน
ปิดท้ายด้วยซังยอง มอเตอร์ ซึ่งอยู่ภายใต้ความคุ้มครองจากการล้มละลายตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มียอดขายร่วงลง 35.4% เหลือเพียง 4,630 คัน ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม บริษัทยานยนต์ทั้ง 5 แห่งมียอดขายรวมกันลดลง 3.7% แตะ 4.32 ล้านคัน
เกาหลียันใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป
ประธานาธิบดีลี เมียง บัค ของเกาหลีใต้กล่าวปาฐกถาในที่ประชุมรัฐสภาว่า รัฐบาลจะยังคงใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้นอย่างเต็มที่ ขณะนี้เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยรัฐบาลยังจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักระยะกว่าที่จะถอนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจใด ๆ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประธานาธิบดีเกาหลีใต้กล่าวว่า แม้ว่านานาประเทศจะชื่นชมวิธีการที่เรานำมาใช้เพื่อรับมือกับวิกฤต แต่เราก็ไม่สามารถพูดได้ว่าวิกฤตได้ผ่านพ้นไปแล้ว เศรษฐกิจเกาหลีใต้ยังคงต้องใช้เวลามากกว่านี้กว่าที่จะฟื้นตัวขึ้นได้อย่างเต็มที่ทั้งในการบริโภค การลงทุน และการจ้างงาน
ทั้งนี้ เกาหลีใต้จะเริ่มใช้นโยบายเพื่อถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่ได้ปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งการแสดงความเห็นของประธานาธิบดีเกาหลีใต้เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจเกาหลีใต้เริ่มส่งสัญญาณของการฟื้นตัวขึ้น เช่น ยอดเกินดุลการค้าที่สูงขึ้นต่อเนื่อง 9 เดือน ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์ในตลาดว่า รัฐบาลอาจจะยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อใดก็ได้
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (จันทร์ที่ 2 พ.ย. 2552) ? ดัชนีภาคการผลิต (ต.ค.) อยู่ที่ระดับ 55.7 จุด ? ดัชนียอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (ก.ย.) เพื่มขึ้น 6.1% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 110.1 จุด ? ค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้าง (ก.ย.) เพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนก่อนหน้า
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (อังคารที่ 3 พ.ย. 2552) ? เริมต้นประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ? ยอดสั่งซื้อสินค้าโรงงาน (ก.ย.) โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
MIJI
|
|
« ตอบ #59 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 11:56:41 AM » |
|
ขอบคุณค่ะ วันนี้เข้ากระทู้เป็นกระทู้แรกเลยค่ะ ขอใหคุณทองใหม่หายป่วยสนิทนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
บทวิเคราะห์คือแนวทาง การตัดสินใจคือตัวเราเอง
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|