sue662
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 10:12:39 AM » |
|
มีเกร็ดความรู้สอนไว้ด้วย เดี๋ยวต้องอ่านซ้ำหลายๆครั้งให้จำแม่นๆค่ะ ทราบว่ายังไม่ค่อยแข็งแรงเพราะแอบไปอ่านวิเคราะห์อยู่ทุกวันค่ะ กรุณารักษาสุขภาพ พักผ่อนให้มากๆนะคะ ขอบคุณค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Neung99k
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 10:13:27 AM » |
|
สวัสดีครับคุณทองใหม่ สบายดีนะครับ เห็นมาโพสล่ะสบายใจรักษาสุขภาพนะครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
AAA
Newbie
ออฟไลน์
กระทู้: 28
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 10:17:12 AM » |
|
สวัสดีคะ อ.ทองใหม่ ขอให้สุขภาพแข็งแรงคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 10:58:49 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 10:59:31 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 11:00:15 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 11:20:17 AM » |
|
เปิดตัว ChiNext ตลาดหุ้นใหม่ของจีน ร้อนแรงจนต้อง Circuit Breaker สร้างเศรษฐีใหม่ชั่วข้ามคืน
Posted on Monday, November 02, 2009 จับตาตัวเลขแรงงานสหรัฐฯ สัปดาห์นี้
แรงขายหุ้นในสัปดาห์ที่แล้วที่ทำให้ S&P 500 ร่วงลง 4% มีส่วนมาจากตัวเลขยอดขายบ้านที่ออกมาผิดไปจากคาด รวมถึงการปรับตัวลงของยอดการใช้จ่ายผู้บริโภค จนทำให้หลายคนกังวลว่าตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาก่อนหน้านี้อาจจะดีเกินไปกว่าแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นจริง ตัวเลขตลาดบ้านที่น่าผิดหวังก็ไปกดดันหุ้นในกลุ่ม นำโดย Home Depot ที่ราคาร่วงลงกว่า 4% ขณะที่หุ้นธนาคาร อย่าง Bank of America ปรับตัวลง หลังจากมีรายงานว่า ธนาคารรายใหญ่ที่สุดนี้อาจจะต้องขายหุ้นเพื่อนำมาจ่ายเงินช่วยเหลือที่เคยได้มาจากรัฐบาล
นอกจากนั้น หุ้นแบงก์ยังเผชิญแรงขายด้วยข่าวผู้ถือหุ้น CIT Group สนับสนุนแผนการล้มละลาย ซึ่งทำให้เกิดความเป็นห่วงถึงสถานะภาคธนาคารที่อาจจะมีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนหุ้นน้ำมันรวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อื่นก็แผ่วลงในสัปดาห์ก่อน เมื่อเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น
ทางด้านราคาทองคำ แนวโน้มในสัปดาห์นี้ ผลสำรวจนักวิเคราะห์ นักลงทุนและเทรดเดอร์ของสำนักข่าว Bloomberg ก็คาดว่า ราคาทองคำอาจปรับตัวลง จากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า
ผลจากรายงานการปรับลดการใช้จ่ายของผู้บริโภคและความเชื่อมั่นที่แผ่วลงก็ส่งผลให้เกิดแรงขายในหุ้นกลุ่มต่างๆ ที่รวมถึง หุ้นสื่อยักษ์ใหญ่ของโลก อย่าง Walt Disney และผู้ค้าปลีกรายใหญ่ Wal-Mart Stores โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคร่วงลง 0.5% ในเดือนกันยายน หลังจากกระโดดขึ้นไป 1.4% ในเดือนสิงหาคม ขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่จัดทำโดย Reuters และมหาวิทยาลัยมิชิแกน ปรับตัวลงจากระดับ 73.5 มาที่ 70.6 ในเดือนตุลาคม
ในสัปดาห์นี้ นักเศรษฐศาสตร์ก็ยังจับตามองตัวเลขของกระทรวงแรงงานในวันศุกร์ที่จะมีการรายงานสภาวะการจ้างงานที่คาดกันว่า นายจ้างสหรัฐฯ จะปลดแรงงานเพิ่มอีกกว่า 170,000 รายในเดือนที่แล้ว
ขณะที่ทางด้านภาคการผลิต นักเศรษฐศาสตร์ก็คาดว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนตุลาคมที่จัดทำโดย ISM น่าจะขยับขึ้นไปทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2549
ส่วนยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงานที่จะรายงานโดยกระทรวงพาณิชย์ อาจจะปรับตัวขึ้นเกือบ 1% ในเดือนกันยายน
นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลเตือนจับตาแนวโน้มเศรษฐกิจ แม้ GDP สหรัฐฯ ดีเกินคาด
แม้ตัวเลข GDP สหรัฐฯ ในไตรมาส 3 จะออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล นายโจเซฟ สติ๊กลิทซ์ (Joseph E. Stiglitz) กลับออกมาเตือนว่า อัตราการเติบโตที่น่าประทับใจดังกล่าวอาจจะไม่ดำเนินต่อไปในปีหน้า ส่วนผลที่เกิดขึ้นในไตรมาสที่แล้วนั้น จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาล
นายสติ๊กลิทซ์ได้เตือนผ่านงานสัมมนาที่กรุงเซี่ยงไฮ้ว่า ทั้งสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ อย่าเพิ่งถอนมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจออกจากระบบ ซึ่งอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก วัย 66 ได้แสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องการว่างงานว่า ตลาดแรงงานยังอยู่ในภาวะที่แย่เอามากๆ มิหนำซ้ำอัตราการว่างงานมีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นอีก และอัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเองก็ไม่น่าจะมีแรงเพียงพอที่จะกดอัตราการว่างงานให้ลดต่ำลงได้
อัตราการว่างงานสหรัฐฯ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี ที่ 9.8% เมื่อเดือนกันยายน ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์จากค่ายต่างๆ ก็คาดกันว่า ตัวเลขน่าจะพุ่งทะลุ 10% ขึ้นไปได้ในช่วงแถวๆ ต้นปีหน้า
ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียท่านนี้ บอกว่า ระดับอัตราการเติบโตนั้นควรจะอยู่ที่ราว 3 ? 3.5% ถึงจะเพียงพอที่จะสร้างงานสำหรับผู้ที่จะเข้ามาในตลาดแรงงานในอนาคต ซึ่งเขาก็มองว่าการคงอัตราการขยายตัวในระดับนี้ให้ข้ามไปจนถึงปีหน้า ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้ ในขณะเดียวกัน ก็ดูจะเร็วเกินไป หากอเมริกาและประเทศอื่นๆ จะเริ่มผ่อนมาตรการกระตุ้นที่เคยอัดฉีดกันมาตลอดตั้งแต่ปีที่แล้วเพื่อหลีกหนีผลกระทบจากวิกฤติการเงิน
ถ้าหันไปดูความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางทั่วโลก เริ่มจากที่สหรัฐฯ ที่เฟดเองค่อยๆ สื่อสารให้กับนักลงทุนได้ตระหนักว่า ธนาคารกลางจะถอนมาตรการช่วยเหลือฉุกเฉินต่างๆ ออกจากระบบในเวลาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ
ส่วนทางด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น ก็ระบุเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า จะหยุดทำการซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชนในสิ้นปีนี้
ขณะที่ธนาคารกลางออสเตรเลียได้เปิดฉากขึ้นดอกเบี้ยไปเรียบร้อยแล้วในเดือนที่แล้ว ทำให้กลายเป็นประเทศแรกของกลุ่มประเทศ G20 ที่ขยับขึ้นต้นทุนทางการเงิน ก่อนที่จะตามมาด้วยธนาคารกลางประเทศนอร์เวย์
ส่วนที่ประเทศจีน เมื่อเดือนที่แล้วรัฐบาลก็แสดงจุดยืนที่จะดำเนินนโยบายกระตุ้นทางการเงินและการคลังต่อไป แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะออกมาดีเหนือการคาดการณ์ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งล่าสุดธนาคารกลางของจีนก็เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจประเทศจะออกมาสูงเกินเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 8% ในปีนี้
ผู้บริโภคสหรัฐลดการใช้จ่าย กดความเชื่อมั่นร่วง
การใช้จ่ายผู้บริโภคสหรัฐหดตัวลงในเดือนกันยายน ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด
กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคสหรัฐหดตัวลง 0.5% ในเดือนกันยายน ซึ่งถือว่าหนักสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว หลังจากที่ขยายตัวถึง 1.4% ในเดือนสิงหาคม ซึ่งในตอนนั้นโครงการรถเก่าแลกซื้อรถใหม่ของรัฐบาลสหรัฐเพิ่งหมดอายุไป
ด้านรายได้ส่วนบุคคลขยับลง 100 ล้านดอลลาร์ หรือลดลงไม่ถึง 0.1% ในเดือนกันยายน หลังจากที่ขยายตัว 0.1% ในเดือนสิงหาคม
การใช้จ่ายที่ลดลงและรายได้ที่ทรงตัวดังกล่าวส่งผลให้การออมเงินส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นแตะ 355,600 ล้านดอลลาร์ในเดือนกันยายน โดยอัตราการออมเงินอยู่ที่ระดับ 3.3% ในเดือนกันยายน
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐเผยตัวเลขGDP ที่ขยายตัวเกินคาด 3.5% ส่งสัญญาณว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยสิ้นสุดลงแล้ว แต่นักเศรษฐศาสตร์ยังคงเกรงว่าเศรษฐกิจจะไม่ฟื้นตัวยั่งยืนหากครัวเรือนยังคงลดการใช้จ่าย เนื่องจากการว่างงานงานและสินเชื่อที่เข้าถึงได้ยาก ทั้งนี้ การใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งมีสัดส่วนราว 70% ของเศรษฐกิจสหรัฐ เป็นปัจจัยหลักที่สามารถบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจได้
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลดลงตามคาดในเดือนตุลาคม ส่งสัญญาณว่าอัตราการว่างงานที่พุ่งสูงกดดันให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลงแม้เศรษฐกิจโดยรวมจะเริ่มฟื้นตัวแล้วก็ตาม โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของรอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกน ปรับตัวลดลงแตะ 70.6 จุดในเดือนตุลาคม จากระดับ 73.5 จุดในเดือนกันยายน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี
อัตราว่างงานที่ทะยานแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี กดดันให้ผู้บริโภคต้องควบคุมการใช้จ่ายทั้งที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูช้อปปิ้งสำหรับเทศกาลคริสต์มาส โดยในเดือนกันยายนชาวอเมริกันใช้จ่ายน้อยลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนหลังโครงการรถเก่าแลกซื้อรถใหม่ของรัฐบาลหมดอายุลง
สตีเวน วู้ด ประธานบริษัท อินไซต์ อีโคโนมิกส์ แอลแอลซี ในแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า "ภาคครัวเรือนยังคงวิตกกังวลทั้งกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต" "ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะฟื้นตัวต่อเมื่อตลาดแรงงานและราคาบ้านมีเสถียรภาพมากขึ้น"
บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่สหรัฐผลกำไรร่วงใน Q3
ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ทั้งหมดในสหรัฐเผยกำไรไตรมาส 3 ร่วงลงอย่างหนัก หลังภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยยังคงส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และกดดันให้ความต้องการพลังงานลดลง
เอ็กซอนโมบิล บริษัทน้ำมันรายใหญ่อันดับ 1 ในสหรัฐ มีกำไรสุทธิทรุดลง 65% แตะ 4,370 ล้านดอลลาร์จาก 14,800 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ซึ่งเร็กซ์ ดับเบิลยู ทิลเลอร์สัน ซีอีโอของบริษัท กล่าวว่าเป็นผลมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และกำไรของผลิตภัณฑ์ที่ลดลง
เชฟรอน บริษัทน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ มีกำไรร่วงลงถึง 51% ในไตรมาส 3 แตะ 3,830 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 7,890 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว ขณะที่รายได้ก็ลดลง 41% แตะ 46,600 ล้านดอลลาร์
ส่วน โคโนโคฟิลลิปส์ บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐ ก็มีกำไรร่วงลงถึง 71% แตะ 1,500 ล้านดอลลาร์
ปีเตอร์ โวเซอร์ ซีอีโอบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ บริษัทน้ำมันรายใหญ่สุดของยุโรป กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มฟื้นตัว และมีสัญญาณว่าความต้องการพลังงานและราคาน้ำมันเริ่มกระเตื้องขึ้นบ้างแล้ว แต่แนวโน้มดังกล่าวยังขาดความแน่นอนและไม่ควรคาดหวังว่าตลาดจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ รายงานไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า กำไรไตรมาส 3 ของเชลล์ก็ร่วงลงถึง 62% แตะ 3,250 ล้านดอลลาร์ จาก 8,450 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว
จีนเปิดตัวตลาดหุ้นใหม่ ChiNext
ตลาดหุ้นแห่งใหม่ของจีน ChiNext ซึ่งเป็นตลาดรองที่มีลักษณะเดียวกับตลาด Nasdaq พุ่งสูงขึ้นถ้วนหน้าในการซื้อขายวันแรกในวันศุกร์ที่ผ่านมา
บริษัทเอกชน 10 แห่งที่ได้รับการอนุมัติให้ขายหุ้นในตลาด ChiNext ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเสิ่นเจิ้นนั้น สามารถระดมทุนได้ถึง 6,680 ล้านหยวน หรือ 978 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 2 เท่าของเป้าหมายเบื้องต้นที่ 3,160 ล้านหยวน
ทางด้านจาง ฟูหลิน ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนกล่าวว่า การซื้อขายในตลาดใหม่จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการทำกำไรเพิ่มขึ้น
ขณะที่นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นจีนมีแนวโน้มที่จะหาอะไรใหม่ๆ นักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อหุ้นน้องใหม่นี้เป็นนักลงทุนรายย่อย และ กระดานหุ้นใหม่ที่เปิดซื้อขายล่าสุดนี้จะช่วยให้เรามีทางเลือกในการกระจายการลงทุนมากขึ้น
ตลาด ChiNext ถือเป็นทางเลือกสำหรับบริษัทจีนที่มีขนาดเล็กกว่า เช่น บริษัท ฮัวยี บราเธอร์ส มีเดีย คอร์ป ซึ่งต้องการที่จะระดมทุน ขณะที่บริษัทเอกชนหลายรายซึ่งรวมถึงบริษัท ไป่ตู้ ก็ได้ขายหุ้นในตลาดหุ้น Nasdaq ออกไป เนื่องจากบริษัทไม่สามารถปฏิบัติข้อกำหนดในเรื่องการทำกำไร 3 ปีในกระดานหลักของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้นก่อนที่จะจดทะเบียนได้
ระหว่างการซื้อขาย จีนสั่งระงับการซื้อขายหรือใช้มาตรการ Circuit Breaker ระงับการซื้อขายชั่วคราวในช่วง 2 ชั่วโมงแรกของการซื้อขาย ในหุ้น 28 รายการในตลาด ChiNext ที่เปิดทำการวันแรกเมื่อวันศุกร์ หลังจากที่ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นมาก
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้นได้ออกกฎระงับการซื้อขายหุ้นชั่วคราวขึ้นมาหากเห็นว่าหุ้นผันผวนมากเกินไปในการซื้อขายวันแรกในตลาด โดย ChiNext อยู่ภายใต้กฎดังกล่าว หากพบว่า หุ้นผันผวนในช่วง 20% จากราคาเปิด หุ้นนั้นๆจะถูกระงับการซื้อขายเป็นเวลา 30 นาที และหากราคาหุ้นใดก็ตามผันผวนในช่วง 50% ของราคาเปิด หุ้นนั้นๆก็จะถูกระงับการซื้อขายเป็นเวลา 30 นาที
ส่วนหุ้นที่ราคาผันผวนมากกว่า 80% จากราคาเปิดก็จะถูกระงับการซื้อขายจนกระทั่งถึงเวลา 14.57 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 3 นาทีก่อนที่การซื้อขายจะหยุดทำการ
เมื่อปิดทำการหุ้นทั้ง 28 ตัวในตลาดมีราคาพุ่งขึ้น 2 เท่า ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเรื่องภาวะฟองสบู่จากการเก็งกำไร
คำสั่งซื้อที่สูงมากในวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นที่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทบางรายกลายเป็นเศรษฐีที่ถือเงินหลายพันล้านหยวนภายในเวลาข้ามคืน ขณะที่รายย่อยที่มีหุ้น IPO อยู่ในมือ ก็ได้ขายหุ้นออกมาในวันแรกเพื่อทำกำไรราว 40,000 หยวน (6,000 ดอลลาร์ ซึ่งก็นับว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
BOJ ยุติมาตรการฉุกเฉิน พร้องมติคงดอกเบี้ย
ที่ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นวันนี้ได้ตัดสินใจที่ จะยุติมาตรการซื้อตราสารหนี้เอกชนสิ้นปีนี้ตามกำหนดการณ์ รวมทั้งตกลงที่จะขยายวันครบกำหนดโครงการปล่อยเงินกู้โดยไม่จำกัดไปจนถึงช่วงสิ้นเดือนมี.ค.ปีหน้า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.1%
ที่ผ่านมาตลาดจับตาดูว่าที่ประชุมจะตัดสินใจยกเลิกการใช้มาตรการซื้อพันธบัตรเอกชนและมาตรการพิเศษฉุกเฉินอื่นๆหรือไม่ และหากมีการตัดสินใจยกเลิกนั้น ทางธนาคารกลางจะถอนการใช้มาตรการแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างไร
ก่อนหน้านี้ นายมาซาอากิ ชิรากาว่า ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นกล่าวถึงความจำเป็นในการลดการซื้อตราสารหนี้ลง เนื่องจากบริษัทต่างๆสามารถเข้าสินเชื่อได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นตัวจากภาวะถดถอยครั้งรุนแรง
การยุติโครงการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบให้มีการขึ้นดอกเบี้ย และระบุว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบันต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง
เตโสะ ทาย่า อดีตบอร์ดบีโอเจและที่ปรึกษาของสถาบันวิจัยไดวา กล่าวว่า การยุติการซื้อตราสารหนี้เอกชนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อย และการขึ้นดอกเบี้ยก็คงจะไม่ใช่ทางเลือกของธนาคารกลางญี่ปุ่น ตราบใดที่ราคาสินค้าต่างๆยังคงร่วงลง
ธนาคารกลางญี่ปุ่นระบุว่า ระบบการเงินของญี่ปุ่นส่งสัญญาณการปรับตัวดีขึ้นมาก โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรเอกชน ซึ่งธนาคารกลางจะคงนโยบายการเงินที่เอื้ออำนวยนี้ต่อไปด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับปัจจุบัน และจัดหาเงินทุนให้เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการ
อย่างไรก็ดี การประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากช่วงเช้าวันนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่า อัตราการว่างงานของญี่ปุ่นเดือนกันยายน ลดลงสู่ 5.6 % ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ขณะเดียวกัน เงินเฟ้อของญี่ปุ่นก็ลดลง และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนก็ปรับลดลง
ขณะที่ตลาดจับตาดูว่า ที่ประชุมจะตัดสินใจยกเลิกการใช้มาตรการซื้อพันธบัตรเอกชนและมาตรการพิเศษฉุกเฉินอื่นๆหรือไม่ และหากตัดสินใจยกเลิก ธนาคารกลาง-ญี่ปุ่นจะถอนการใช้มาตรการแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างไร
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (ศุกร์ที่ 30 ต.ค. 2552) ? รายได้ส่วนบุคคล (ก.ย.) ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ? รายจ่ายส่วนบุคคล (ก.ย.) ลดลง 0.5% จากเดือนก่อนหน้า ? ดัชนีต้นทุนแรงงาน( Q3/2009) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนไตรมาสก่อนหน้า ? ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ต.ค.) อยู่ที่ระดับ 70.6 จุด
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (จันทร์ที่ 2 พ.ย. 2552) ? ดัชนีภาคการผลิต (ต.ค.) โดย ISM ? ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (ก.ย.) โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ? ค่าใช้จ่ายด้านการก่อสร้าง (ก.ย.) โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
MIJI
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 12:43:08 PM » |
|
ยินดีที่เห็นคุณทองใหม่มาบ้านใหม่ อาการหายสนิทแล้วหรือยังคะ ยังท้องอืดอยู่หรือเปล่า มิจิได้เมลมา เวลาทานข้าวเขาไม่ให้ทานน้ำเยอะค่ะ เพราะจะไปละลายน้ำย่อยให้เจือจางทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อได้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
บทวิเคราะห์คือแนวทาง การตัดสินใจคือตัวเราเอง
|
|
|
ribbinn
Newbie
ออฟไลน์
กระทู้: 115
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 01:00:19 PM » |
|
ขอบคุณคุณทองใหม่ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 01:06:04 PM » |
|
ยินดีที่เห็นคุณทองใหม่มาบ้านใหม่ อาการหายสนิทแล้วหรือยังคะ ยังท้องอืดอยู่หรือเปล่า มิจิได้เมลมา เวลาทานข้าวเขาไม่ให้ทานน้ำเยอะค่ะ เพราะจะไปละลายน้ำย่อยให้เจือจางทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อได้ค่ะ ขอบคุณครับ อาการดีขึ้น แต่ยังไม่หายสนิท ยังต้องไปพบหมอตามนัดเรื่อยๆครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 01:10:44 PM » |
|
ทอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 01:11:20 PM » |
|
ดัชนีเงินเมกา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 01:13:03 PM » |
|
น้ำมัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
MIJI
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 02:59:43 PM » |
|
ทำไมรูปมันเล็กกระจิ้ดริ้ดอย่างนี้หล่ะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
บทวิเคราะห์คือแนวทาง การตัดสินใจคือตัวเราเอง
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2009, 03:12:42 PM » |
|
ทำไมรูปมันเล็กกระจิ้ดริ้ดอย่างนี้หล่ะคะ ให้คลิ๊กที่รูป แล้วรูปจะขยายใหญ่เองครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|