Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 11   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ทิศทางทองวันที่ 2--6/11/2009  (อ่าน 13635 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #75 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 08:41:57 AM »

กราฟนี้กำลังศึกษาอยู่ กราฟ๑ชม. ทองลง กราฟ๑ชม.นะครับ
บันทึกการเข้า
sue662
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 616


« ตอบ #76 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 08:46:20 AM »

อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณทองใหม่ เช้านี้คงรวยกันหลายคนเลยค่ะ  อากาศเย็นมากขึ้น รักษาสุขภาพด้วยนะคะ  ขอให้แข็งแรงเป็นปกติโดยเร็วนะคะ
บันทึกการเข้า
_LAN_NA_
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #77 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 08:49:51 AM »

ทิศทางทองวันที่ 4/11/2009 
ต้าน๓ 1129.44.......xx
ต้าน๒ 1101.74
ต้าน๑ 1092.90
เส้นแดน 1074.04
หนุน๑ 1065.20
หนุน๒ 1046.34
หนุน๓ 1018.64??.xx
 วิธีดูทิศทางทอง ต้าน๓----หนุน๓เป็นทิศทางทองที่จะเคลื่อนไหวในวันนี้ หากพุ่งทะลุต้าน๓หรือดิ่งทะลวงหนุน๓ แสดงถึงวันนั้นทองเคลื่อนไหวแรงเกินปกติ เส้นแดนเป็นเส้นที่จะแบ่งแยกทิศทางของทองที่จะขึ้นหรือลง หากทองเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางใดมากและนาน นั่นหมายถึงโอกาสเป็นไปได้มากที่ทองจะเคลื่อนไปในทิศทางนั้นๆ ในช่วงเวลานั้น (ยังต้องแบ่งออกในช่วงเวลาตลาดเอเซีย ยุโรป เมกาด้วย) ต้าน๑และหนุน๑หากถูกทดสอบแบบมีผล(ขึ้นลงมากกว่า๑ครั้ง)แล้วยืนอยู่ได้ นั่นคือทิศทางทองที่จะเดินต่อไปในช่วงเวลานั้น หากการวิเคราะเกิดขัดแย้งกันเมื่อไหร่ ให้หยุดมองดูอย่างเดียว ไม่ควรซื้อ-ขายในช่วงเวลานั้น แนวทางนี้เหมาะกับการเล่นสั้นมาก (เล่นแบบออนไลน์ในอนาคต) มีความแม่นยำถึง80%ครับ อีกอย่างข่าวปัจจัยพื้นฐานอาจเปลี่ยนทิศทางทองได้กะทันหันนะครับ
ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กับการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย ถัาติดดอยเมื่อทองต่ำลงมา  หากยังมีเงินเหลืออยู่ ควรซื้อเพิ่ม เพิ่มที่ละนิด ต่ำอีกซื้ออีก เพื่อดึงต้นทุนที่สูงให้ต่ำลงมา ใครที่ยังไม่มีทองในมือควรทยอยซื้อเข้าอย่ามากนัก หากทองลงอีก เราก็ซื้ออีก ดีกว่าเวลาทองขึ้นเราไปไล่ซื้อในราคาที่สูง  จดจำเป็นคติเตือนใจว่า  เรามิอาจซื้อได้ในราคาที่ต่ำสุด และขายได้ในราคาที่สูงสุด ไม่มีการลงทุนใดที่ไม่เสี่ยง การบริหารพอร์ตให้ได้จังหวะ จะลดความเสี่ยงลงได้ครับ
กราฟสำคัญ ปัจจัยพื้นฐานก็สำคัญ จิตวิทยาการโน้มเอียงของคนก็สำคัญ สิ่งเหล่านี้หากเป็นไปในแนวเดียวกัน ก็จะมุ่งไปทางนั้น หากแย้งกันก็ต้องดูฝ่ายไหนเหนือกว่า.....ด้วยเหตุนี้ไม่มีนักวิเคราะห์คนใดที่จะทำนายได้แม่นยำตลอดกาลได้ครับ


ขอบคุณมากครับ คุณ ทองใหม่
อากาศเปลี่ยนฤดู รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #78 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 08:51:01 AM »

ETF
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #79 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 08:52:14 AM »

อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณทองใหม่ เช้านี้คงรวยกันหลายคนเลยค่ะ  อากาศเย็นมากขึ้น รักษาสุขภาพด้วยนะคะ  ขอให้แข็งแรงเป็นปกติโดยเร็วนะคะ
ทิศทางทองวันที่ 4/11/2009 
ต้าน๓ 1129.44.......xx
ต้าน๒ 1101.74
ต้าน๑ 1092.90
เส้นแดน 1074.04
หนุน๑ 1065.20
หนุน๒ 1046.34
หนุน๓ 1018.64??.xx
 วิธีดูทิศทางทอง ต้าน๓----หนุน๓เป็นทิศทางทองที่จะเคลื่อนไหวในวันนี้ หากพุ่งทะลุต้าน๓หรือดิ่งทะลวงหนุน๓ แสดงถึงวันนั้นทองเคลื่อนไหวแรงเกินปกติ เส้นแดนเป็นเส้นที่จะแบ่งแยกทิศทางของทองที่จะขึ้นหรือลง หากทองเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางใดมากและนาน นั่นหมายถึงโอกาสเป็นไปได้มากที่ทองจะเคลื่อนไปในทิศทางนั้นๆ ในช่วงเวลานั้น (ยังต้องแบ่งออกในช่วงเวลาตลาดเอเซีย ยุโรป เมกาด้วย) ต้าน๑และหนุน๑หากถูกทดสอบแบบมีผล(ขึ้นลงมากกว่า๑ครั้ง)แล้วยืนอยู่ได้ นั่นคือทิศทางทองที่จะเดินต่อไปในช่วงเวลานั้น หากการวิเคราะเกิดขัดแย้งกันเมื่อไหร่ ให้หยุดมองดูอย่างเดียว ไม่ควรซื้อ-ขายในช่วงเวลานั้น แนวทางนี้เหมาะกับการเล่นสั้นมาก (เล่นแบบออนไลน์ในอนาคต) มีความแม่นยำถึง80%ครับ อีกอย่างข่าวปัจจัยพื้นฐานอาจเปลี่ยนทิศทางทองได้กะทันหันนะครับ
ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กับการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย ถัาติดดอยเมื่อทองต่ำลงมา  หากยังมีเงินเหลืออยู่ ควรซื้อเพิ่ม เพิ่มที่ละนิด ต่ำอีกซื้ออีก เพื่อดึงต้นทุนที่สูงให้ต่ำลงมา ใครที่ยังไม่มีทองในมือควรทยอยซื้อเข้าอย่ามากนัก หากทองลงอีก เราก็ซื้ออีก ดีกว่าเวลาทองขึ้นเราไปไล่ซื้อในราคาที่สูง  จดจำเป็นคติเตือนใจว่า  เรามิอาจซื้อได้ในราคาที่ต่ำสุด และขายได้ในราคาที่สูงสุด ไม่มีการลงทุนใดที่ไม่เสี่ยง การบริหารพอร์ตให้ได้จังหวะ จะลดความเสี่ยงลงได้ครับ
กราฟสำคัญ ปัจจัยพื้นฐานก็สำคัญ จิตวิทยาการโน้มเอียงของคนก็สำคัญ สิ่งเหล่านี้หากเป็นไปในแนวเดียวกัน ก็จะมุ่งไปทางนั้น หากแย้งกันก็ต้องดูฝ่ายไหนเหนือกว่า.....ด้วยเหตุนี้ไม่มีนักวิเคราะห์คนใดที่จะทำนายได้แม่นยำตลอดกาลได้ครับ


ขอบคุณมากครับ คุณ ทองใหม่
อากาศเปลี่ยนฤดู รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
บันทึกการเข้า
_LAN_NA_
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #80 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 08:57:40 AM »

ถามแบบซื่อๆๆ นะครับ แบบไม่มีความรู้เรื่องอ่านกราฟ ครับ

ตารางข้างบน คือ ค่าอะไรครับ คุณทองใหม่

ช่อง 1,2,3
(^^)

บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #81 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 09:16:57 AM »

ถามแบบซื่อๆๆ นะครับ แบบไม่มีความรู้เรื่องอ่านกราฟ ครับ

ตารางข้างบน คือ ค่าอะไรครับ คุณทองใหม่

ช่อง 1,2,3
(^^)


ถามใหม่ครับ เพราะผมยังไม่เข้าใจคำถาม ช่อง 1,2,3 ? หมายถึง...?
บันทึกการเข้า
brabus
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #82 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 10:00:35 AM »

สวัสดีค่ะพี่ทองใหม่
ขอบคุณสำหรับกราฟนะคะ
กราฟ1ชม.อ่านค่ายังไงคะ อธิบายหน่อยได้ไหมคะ ขอบคุณค่ะ Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #83 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 10:05:47 AM »

สวัสดีค่ะพี่ทองใหม่
ขอบคุณสำหรับกราฟนะคะ
กราฟ1ชม.อ่านค่ายังไงคะ อธิบายหน่อยได้ไหมคะ ขอบคุณค่ะ Grin Grin Grin
อ่านแบบง่ายๆ ดูจุดกลมๆสีน้ำเงินกับสีแดงก๊พอครับ จุดกลมสีน้ำเงินขึ้น สีแดงลงครับ
บันทึกการเข้า
brabus
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #84 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 10:09:27 AM »

ขอบคุณค่ะ คุณทองใหม่ Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #85 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 10:11:17 AM »

บทวิเคราะห์ทองคำ (04-11-52)

04 พ.ย. 2552


สรุปภาวะตลาดเมื่อวันก่อน
ราคาโกลด์ฟิวเจอร์สปรับตัวผันผวนเล็กน้อยในช่วงบ่ายตามราคาทองคำสปอตซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นรุนแรงเมื่อคืนนี้ ทองคำแท่งสมาคมฯปิดที่ 16,650/750 บาท เงินบาทปรับตัวในช่วงแคบ


ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อเนื่องถึงวันนี้
       ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องพร้อมกับค่าเงินยูโรและเงินปอนด์ที่ปรับตัวลดลงรุนแรงในช่วงบ่ายจากข่าวร้ายของกลุ่มธนาคารโดยเริ่มจากสรุปมาตรการช่วยเหลือธนาคารของรัฐบาลโดยที่ธนาคาร RBS สมัครใช้มาตรการดังกล่าว ในขณะที่ธนาคาร Lloyds Bank ไม่เข้ารับการช่วยเหลือแต่จะใช้วิธีการระดมทุนเพิ่มจากประชาชน ทั้งนี้รัฐบาลอังกฤษได้ถือหุ้น RBS อยู่ร้อยละ 70 และถือหุ้น Lloyds Bank อยู่ร้อยละ 43 เท่านั้น นอกจากนี้ธนาคารใหญ่ในยุโรปยังประกาศผลประกอบการออกมามีหนี้สูญเพิ่มขึ้นอีกด้วย รายงานทั้งสองประกอบกันจึงส่งผลให้ค่าเงินยูโรและค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงได้อย่างรุนแรง  [Reuters, UK Treasury, TCAF Research]
         กลุ่มยูโรได้รายงานปรับคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มออกมาดีขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ค่าเงินยูโรหยุดการอ่อนค่าลง  [EC, TCAF Research]
 นักเก็งกำไรได้ผลักดันราคาทองคำเพิ่มขึ้นไปอย่างต่อเนื่องโดยใช้ข้ออ้างที่ IMF ตกลงขายทองคำปริมาณ 200 ตันให้กับธนาคารกลางของอินเดียตามราคาตลาดเฉลี่ยประมาณ $1,045/oz ในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามข่าวดังกล่าวได้มีการรายงานตั้งแต่เช้าเมื่อวานนี้ในตลาดไทยและการขายทองคำดังกล่าวก็ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อราคาทองคำได้อยู่แล้วดังที่เราได้เคยอธิบายไปแล้วเราจึงมองว่าราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นไปเกิดจากการเก็งกำไรเป็นหลัก  [IMF, Reuters, TCAF Research]
       ออสเตรเลียรายงานยอดค้าปลีกลดลงในไตรมาสที่แล้วหลังจากที่มาตรการกระตุ้นต่างๆเริ่มหมดลงในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์เศรษฐกิจออสเตรเลียดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานดังกล่าวอาจส่งผลให้เงินออสเตรเลียอ่อนค่าลงพร้อมกับราคาทองคำที่ปรับลดลงได้เล็กน้อย  [Forexfactory, TCAF Research]
       นักลงทุนจะหยุดรอผลการตัดสินใจนโยบายการเงินของเฟดในคืนนี้ ประกอบกับการตัดสินใจของธนาคารกลางยุโรปและอังกฤษในเย็นวันพรุ่งนี้  [TCAF Research]


แนวโน้มทองคำวันนี้
        ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นรุนแรงจากการเก็งกำไรน่าจะมีแรงเทขายในไม่ช้า ในขณะที่การประชุมนโยบายการเงินชาติตะวันตกอาจสร้างความผันผวนรุนแรงให้กับทองคำ เราจึงคาดว่า "ราคาทองคำน่าจะปรับตัวลงเพื่อพักฐานเล็กน้อย ก่อนแกว่งตัวรุนแรงตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้" และแนะนำให้ "SHORT เพื่อทำกำไรภายในวันหาก Discount ไม่สูงมากนัก และปิดสถานะเพื่อหยุดรอดูสถานการณ์"


มุมมองทองคำ
       ภาวะเศรษฐกิจเปรียบเทียบในภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งมาตรการและมุมมองภาครัฐฯน่าจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาทองคำในช่วงนี้
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #86 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 10:16:55 AM »

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เข้าซื้อกิจการรถไฟของบริษัท Burlington Northern Santa Fe จุดกระแส M&A คึกคัก

Posted on Wednesday, November 04, 2009
Warren Buffett จุดกระแส M&A คึก หลังดีลซื้อกิจการรถไฟ

กระแสควบรวมกิจการเริ่มตื่นตัวกันอีกรอบ เมื่อมหาเศรษฐีนักลงทุน Warren Buffett ตกลงเข้าซื้อกิจการรถไฟของบริษัท Burlington Northern Santa Fe ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตเครื่องมือช่างชั้นนำ อย่าง Stanley Works ก็บอกว่า จะเข้าเทคโอเวอร์บริษัท Black & Decker

นักลงทุนต่างจับตามองดีลที่ Buffett กำลังทำอยู่ ที่ทำให้ราคาหุ้นของ Burlington Northern กระโดดขึ้นไปเกือบ 30% เมื่อคืนนี้ โดยการเทคโอเวอร์ที่มีมูลค่าสูงสุดเท่าที่บริษัท Berkshire Hathaway ของกูรูนักลงทุนผู้นี้เคยทำมาก่อน คิดเป็นเงินถึง 26,000 ล้านเหรียญ หรือ 100 เหรียญต่อหุ้นทั้งในรูปเงินสดและตัวหุ้น เพื่อแลกกับสัดส่วน 77.4% ในบริษัทที่ทำกิจการรถไฟแห่งนี้ ซึ่ง Buffett เองก็ไม่เคยถือหุ้นของที่นี่มาก่อนด้วย และถ้าหากรวมยอดประเมินการลงทุนและระดับหนี้ที่เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว มูลค่าของดีลนี้จะสูงถึง 44,000 ล้านเหรียญเลยทีเดียว

นักวิเคราะห์ประเมินว่า ณ ระดับราคา 100 เหรียญต่อหุ้น นั่นก็หมายความว่า Buffett ต้องควักเงินจ่ายในราคากว่า 18 เท่าของประมาณการกำไรสุทธิที่ Burlington น่าจะทำได้ในปีหน้า ที่ 5.5 เหรียญต่อหุ้น

ขณะที่หุ้นในธุรกิจเดียวกัน อย่างบริษัท Union Pacific และ CSX มีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรอยู่ที่แถวๆ 13 เท่า และทั้งคู่ก็ถือเป็นกิจการรถไฟที่ใหญ่ที่สุด รองจาก Burlington เมื่อดูที่ยอดขายในปี 2008

ดีลซื้อกิจการของ Warren Buffett นี้ ก็ทำให้หุ้นในหมวดขนส่งใน S&P 500 ปรับตัวบวกสดใสกว่า 5% เมื่อคืนที่ผ่านมา

อีกดีลเทคโอเวอร์ก็เป็นของผู้ผลิตเครื่องมือช่าง Stanley Works ที่เดินหน้าซื้อกิจการของบริษัท Black & Decker ในรูปหุ้นมูลค่า 3,500 ล้านเหรียญ และทำให้ราคาหุ้นของ Black & Decker พุ่งขึ้นกว่า 30% ขณะที่หุ้น Stanley เพิ่มขึ้น 10%

อย่างไรก็ดี แม้ตลาดจะรับข่าวเรื่อง M&A ที่ดูสดใสแล้ว แต่บรรยากาศการลงทุนเมื่อคืนนี้กลับถูกฉุดจาก โบรกเกอร์รายใหญ่ Morgan Stanley ที่ออกมาหั่นมุมมองแนวโน้มหุ้นกลุ่ม Semiconductor ที่รวมถึงการ downgrade หุ้น Intel ลงเหลือระดับปานกลาง หรือ ?equal-weight?


UBS เผชิญยอดขาดทุนสูงเกินคาด ลูกค้าแห่ถอนเงิน

UBS ธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสวิสเซอร์แลนด์ รายงานผลการดำเนินงานขาดทุน 564 ล้านฟรังก์สวิสในไตรมาส 3 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และตัวเลขที่ติดลบนี้ก็รวมผลที่เกิดจากการปรับมูลค่าทางบัญชีจำนวน 1,440 ล้านฟรังก์ ที่สะท้อนถึงต้นทุนที่ธนาคารควรจะซื้อหนี้คืน

ธนาคารที่มีฐานที่มั่นในเมืองซูริครายนี้เปิดเผยว่า ลูกค้าของส่วนงาน Wealth Management ต่างถอนเงินออกจากธนาคารรวมเป็นเงินสุทธิ 26,600 ล้านฟรังก์ เพิ่มขึ้นจาก 22,300 ล้านในไตรมาส 2

นาย Oswald Gruebel ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ UBS ที่เพิ่งมาร่วมงานกับธนาคารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ก็กำลังเจอกับภารกิจหนักที่ต้องหยุดยั้งสภาวะลูกค้าดึงเงินออก ขณะเดียวกัน ก็ต้องเร่งฟื้นฟูกิจการหลังจากต้องประสบกับยอดการขาดทุนและล้างหนี้สูญที่มากกว่า 50,000 ล้านเหรียญ ที่มีต้นตอจากวิกฤติการเงินในรอบนี้

รายได้ของ UBS ในส่วนงาน wealth management และธุรกิจธนาคารในสวิสฯ ที่เป็นตัวหลักในกำไรของ investment bank รายนี้ ปรับตัวลงถึง 52% มาที่ 792 ล้านฟรังก์สวิสในไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ทั้ง Gruebel และประธาน ก็คือนาย Kaspar Villiger บอกว่า พวกเขาไม่ได้คาดหวังที่จะให้ลูกค้านำเงินกลับเข้ามายังธนาคารโดยทันที หลังจากที่เพิ่งจัดการกรณีคดีความที่มีกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในเรื่องการหลบเลี่ยงภาษีเมื่อเดือนสิงหาคม และการที่รัฐบาลสวิสขายหุ้นของบริษัทออก

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์กลับให้ความสำคัญของเงินลูกค้า เพราะเท่าที่ผ่านมา ไม่ว่าสถานการณ์ของธนาคารจะเป็นอย่างไร ระดับเงินสดที่สูงที่มาจากฐานลูกค้า wealth management ก็มักจะเป็นตัวช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปด้วยดีทุกครั้ง

การไหลออกของเงินลูกค้าธนาคารเริ่มเร่งตัวขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาส 2 ตามการถอนเงินของลูกค้าในเอเชียและสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งยอดการขายเงินลงทุนคืนก็มีสูงรวมกันถึง 182,900 ล้านฟรังก์สวิสในช่วง 18 เดือนมาจนถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ทางด้าน ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินของ UBS ก็มองว่าสถานการณ์ถอนเงินคืนเช่นนี้ อาจจะดำเนินต่อไป จนกระทั่งธนาคารสามารถกลับมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าอีกครั้ง ด้วยการหวนกลับคืนมามีกำไรให้ได้


EU ยกคาดการณ์เศรษฐกิจยุโรปปี 2553

สหภาพยุโรป (EU) ได้ยกระดับการคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปว่าจะดีดตัวขึ้น 0.7% ในปี 2553 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนพ.ค.ว่าจะหดตัวลง 0.1% โดยชี้ว่า เศรษฐกิจจะดีดตัวดีเกินคาดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ก่อนที่จะขยายตัวในระดับที่ชะลอตัวลงในช่วงต้นปีหน้า

EU คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของสมาชิก EU ทั้ง 27 ประเทศ จะขยายตัว 0.7% ในปี 2553 และจะขยายตัว 1.6% ในปี 2554 หลังจากที่หดตัว 4.1% ในปี 2552 ขณะที่ในกลุ่มยูโรโซน หรือประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร 16 ประเทศ จะขยายตัว 0.7% เช่นกันในปีหน้า และขยายตัว 1.5% ในปี 2554 หลังจากที่หดตัว 4.0% ในปีนี้

EU ชี้ว่า ในระยะใกล้นี้ เศรษฐกิจจะดีดตัวขึ้นเพราะปัจจัยแวดล้อมภายนอกและสถานการณ์ทางการเงินดีขึ้น รวมถึงผลพวงจากการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน

อย่างไรก็ดี ตลาดแรงงานจะยังคงอ่อนตัว และคาดว่าอัตราว่างงานในกลุ่ม EU จะอยู่ที่ 10.25% ส่วนหนี้สาธารณะ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7.5% ของ GDP ปีหน้า ก่อนที่จะอ่อนตัวลงในปี 2554 เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวและทั่วโลกยกเลิกการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

โจอาควิน อัลมูเนีย คณะกรรมาธิการกิจการเศรษฐกิจและการเงิน EU กล่าวว่า เศรษฐกิจกลุ่ม EU กำลังจะหลุดพ้นจากภาวะถดถอย เนื่องจากการใช้มาตรการสนับสนุนของรัฐบาล และ ธนาคารกลาง ซึ่ง EU ไม่เพียงแต่จะใช้มาตรการป้องกันภาวะวิกฤตอีกระลอกอย่างเป็นระบบเท่านั้น แต่ยังช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอีกด้วย

อย่างไรก็ดี หนทางข้างหน้ายังมีความท้าทาย การใช้มาตรการอย่างเต็มที่และการช่วยเหลือธุรกิจการธนาคารเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะจะช่วยสนับสนุนให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยั่งยืน


RBS รับเงินช่วยเหลือจากรัฐฯ มากที่สุดในโลกแซงหน้าซิตี้กรุ๊ป

รอยัลแบงค์ ออฟ สก็อตแลนด์ (RBS) ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของอังกฤษ กลายเป็นสถาบันการเงินที่ต้องขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลมากที่สุดในโลก แซงหน้าแชมป์เก่าอย่างซิตี้กรุ๊ป หลังจากรัฐบาลอังกฤษวางแผนอัดฉีดเงินให้ RBSอีก 25,500 ล้านปอนด์ หรือ 42,000 ล้านดอลลร์สหรัฐ

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า นายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษจะประกาศอัดฉีดเงินเพิ่มอีก 25,500 ล้านปอนด์ให้ RBS และ 5,600 ปอนด์ให้ธนาคารลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป สองธนาคารรายใหญ่สุดของอังกฤษ ซึ่งจะทำให้จำนวนเงินที่ RBSรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพิ่มขึ้นเป็น 45,500 ล้านปอนด์ มากกว่าที่รัฐบาลสหรัฐให้ความช่วยเหลือซิตี้กรุ๊ปและแบงค์ ออฟ อเมริกา รวมกัน 45,000 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษยังคงให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ธนาคารในประเทศ แม้ธนาคารกลางอังกฤษมองว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม

ขณะที่ลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ซึ่งเป็นธนาคารปล่อยกู้เพื่อการซื้อบ้านรายใหญ่สุดของอังกฤษ วางแผนระดมทุนมูลค่า 21,000 ล้านปอนด์ หรือ 3,400 ล้านดอลลาร์ และปฏิเสธที่จะขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพราะไม่ต้องการให้รัฐเข้ามาควบคุมกิจการ

ลอยด์ แบงกิ้ง จะระดมทุนผ่านการขายหุ้นมูลค่า 13,500 ล้านปอนด์ และที่เหลืออีก 7,500 ล้านปอนด์จะระดมผ่านข้อเสนอการแลกเปลี่ยน ซึ่งลอยด์ แบงกิ้ง จะขายหุ้นในราคา 15 เพนซ์ต่อหุ้น

บลูมเบิร์กรายงานว่า ลอยด์ไม่มีแผนที่จะเข้าร่วมโครงการพิทักษ์ทรัพย์สินของรัฐบาล เพราะลอยด์ไม่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 62% จากปัจจุบันที่ 43% และไม่ต้องการให้ธนาคารมีต้นทุนค่าธรรมเนียมสูงถึง 15,600 ล้านปอนด์ โดยลอยด์จะชำระเงินคืนให้กับรัฐบาลจำนวน 2,500 ล้านปอนด์หลังจากกู้เงินดังกล่าวจากโครงการประเภทหนึ่งของรัฐเมื่อ 8 เดือนที่แล้ว


สมาคมการท่องเที่ยวเอเชียฯคาดนักท่องเที่ยวปีนี้หดตัว 5%

สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกคาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวขาเข้าในเอเชียจะหดตัวลง 5% ในปีนี้ ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นในปีหน้า และจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในปี 2554

เกร็ก ดัฟเฟลล์ ประธานสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคกล่าวว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวในเอเชียค่อนข้างแตกต่างกันในแต่ละประเทศ โดยประเทศจีนและเกาหลีใต้ขยายตัวคึกคัก แต่ประเทศอื่นๆ เช่น ไทย และเวียดนามยังคงซบเซา

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกระเตื้องขึ้นเล็กน้อยท่ามกลางความหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลก แต่ยอดผู้โดยสารขาเข้าในภูมิภาคดังกล่าวมีแนวโน้มจะหดตัวลง 4-5% ในปีนี้ ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นราว 2-3% ในปีหน้า และคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในปี 2554

ดัฟเฟลล์กล่าวว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจีนได้รับปัจจัยหนุนจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งทางสมาคมคาดว่าจะมีชาวจีน 20 ล้านคนออกเดินทางไปต่างประเทศในปีนี้

ส่วนบรรยากาศการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ก็ได้รับปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินวอน เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวในอินโดนีเซียและมาเลเซียที่ค่อนข้างคึกคัก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเวียดนาม ซึ่งเคยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยอดฮิตเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมากลับเริ่มซบเซาลง หลังราคาข้าวของเริ่มแพงขึ้น

ขณะที่การท่องเที่ยวในประเทศไทยก็เหงียบเหงาไม่แพ้กัน ท่ามกลางปัญหาขาดเสถียรภาพทางการมือง และด้วยความที่ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการบินที่สำคัญในภูมิภาค ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศจึงส่งผลกระทบต่อภาพรวมการท่องเที่ยวในเอเชีย

ดัฟเฟลล์กล่าวทิ้งท้ายว่า "แม้ว่าจะเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ชาวเอเชียยังต้องการที่จะเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่จะขยายตัวในอนาคต และจีนก็เป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการขยายตัวดังกล่าว"


ธนาคารกลางออสเตรเลียขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25%

ในการประชุมวานนี้ ธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% จาก 3.25% เป็น 3.5% (ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์)

นับว่าเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์ ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันในการประชุม 2 ครั้งสะท้อนให้เห็นว่าธนาคารกลางออสเตรเลียวิตกกังวลว่าภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ

นักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ตัวเลข CPI Index พื้นฐาน ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดเงินเฟ้อ พุ่งขึ้น 3.8% ในไตรมาส 3 (ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ที่ 2-3% ) ส่วนดัชนีซีพีไอทั่วไปไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 1.3% ซึ่งเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้นช้าที่สุดในรอบ 10 ปี หลังจากพุ่งขึ้น 1.5% ในไตรมาส 2

การปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุดนี้ จะมีผลตั้งแต่เช้านี้ (4 พ.ย. 52) เป็นต้นไป เนื่องจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจโลกเริ่มขยายตัวขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจออสเตรเลียจะขยายตัวต่อเนื่องในปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของออสเตรเลียขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้ยอดส่งออกของออสเตรเลียแข็งแกร่งขึ้นด้วย

การตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้มีขึ้นหลังจากธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากปรับตัวขึ้นของตัวเลขจ้างงานเอกชน ยอดค้าปลีก และราคาบ้านในออสเตรเลีย รวมทั้งดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและผู้บริโภคที่สูงขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารกลางมองว่าเศษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่งมากพอที่จะปรับดอกเบี้ยขึ้นไปอยู่ที่ระดับปกติได้

นายเวน สวอน รมว.คลังออสเตรเลีย คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจในประเทศจะขยายตัว 1.5% ซึ่งรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวเพียง 0.5% เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงขึ้น และดีมานด์ถ่านหินและสินแร่เหล็กจากจีนปรับตัวสูงขึ้น โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาส 2 ที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.5% และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.9%

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (อังคารที่ 3 พ.ย. 2552)
? เริมต้นประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ
? ยอดสั่งซื้อสินค้าโรงงาน (ก.ย.) เพิ่มขึ้น 0.9% จากเดือนก่อนหน้า

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พุธที่ 4 พ.ย. 2552)
? ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน (ต.ค.) โดย ADP Employer Services
? ดัชนีภาคบริการ (ต.ค.) โดย ISM
? ตัวเลขสต็อกน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ โดย EIA
? การประกาศผลการประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐฯ

ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel
 
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #87 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 10:55:39 AM »

 Wink
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #88 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 11:03:07 AM »

 Cheesy
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #89 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2009, 11:03:29 AM »

 Cheesy
บันทึกการเข้า
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 11   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: