Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ทิศทางทองวันที่ 9---13/11/2009  (อ่าน 9062 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
brabus
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #15 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2009, 08:15:55 AM »

ขอบคุณค่ะอาจารย์ Blue
บันทึกการเข้า
sayong
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 849



« ตอบ #16 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2009, 12:59:42 PM »

ขอบคุณค่ะพี่ทองใหม่ Smiley
บันทึกการเข้า

ฝันให้ไกลและไปให้ถึง...
ทำทุกย่างก้าวของชีวิตให้มีความสุข
linkกระทู้เก่าค่ะ http://www.goldtraders.or.th/webboard/index.php?topic=4064.0
sue662
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 616


« ตอบ #17 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2009, 07:45:19 PM »

กำลังดูทอง แล้วมาถึงน้ำมัน แล้วมาถึงรถบรรทุกเลยค่ะ ครอบจักรวาลดีจังค่ะ ถ้าเป็นคุณทองใหม่พรุ่งนี้จะเข้าทองทางขึ้นหรือลงดีคะ (ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ เกรงใจค่ะ)  มาขอบคุณค่ะ เพราะต้องแวะมาอ่านกราฟทุกวันเลย รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ขอให้แข็งแรงสมบูรณ์เร็วๆนะคะ
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #18 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2009, 08:12:59 PM »

กำลังดูทอง แล้วมาถึงน้ำมัน แล้วมาถึงรถบรรทุกเลยค่ะ ครอบจักรวาลดีจังค่ะ ถ้าเป็นคุณทองใหม่พรุ่งนี้จะเข้าทองทางขึ้นหรือลงดีคะ (ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ เกรงใจค่ะ)  มาขอบคุณค่ะ เพราะต้องแวะมาอ่านกราฟทุกวันเลย รักษาสุขภาพด้วยนะคะ ขอให้แข็งแรงสมบูรณ์เร็วๆนะคะ
ผมยังอยู่ในช่วงพักยาวอยู่ครับ ยังไม่ลงเล่นทอง...เพราะหมอยังนัดตรวจอยู่เรื่อยๆ ยังไม่ทราบจะโดนผ่าตัดอีกรอบหรือเปล่า จะลงสนามคงปีหน้าครับ Wink
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #19 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2009, 07:38:48 AM »

เส้นปากถุง(เส้นสีขาวทั้ง๓เส้น)แบบง่ายๆ ไม่ปวดเศียรเวียนเกล้า
เส้นบน---แนวต้าน
เส้นกลาง---แนวโน้ม(สำคัญสุด)
เส้นล่าง---แนวหนุน
ลักษณะที่๑---ทิศทางขึ้นเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น   เส้นกลางหันหัวขึ้น   เส้นล่างหันหัวลง
ลักษณะที่๒---ทิศทางขึ้นเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวขึ้น
เมื่อเจอลักษณะทั้ง๒นี้ ราคาระหว่างวันที่ขึ้นๆลงๆ เมื่อเจอจุดที่เห็นว่าต่ำแล้วให้ซื้อเข้าได้เลยครับ  ขอเพียงเส้นกลาง(แนวโน้ม)ยังหันหัวขึ้นอยู่ แม้ราคาเแท่งเทียนจะอยู่ต่ำกว่าเส้นกลาง ก็ยังซื้อเข้าได้ หากเส้นบนเดินขวางเมื่อไหร่ ให้ทยอยลดพอร์ตได้เลยครับ
ลักษณะที่๓---เลือกทิศทาง---เส้นบนหันหัวลง เส้นล่างหันหัวขี้น ปากถุงแคบลง ถึงช่วงนี้ ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว หากใครยังคิดอยากเคลื่อนไหว ก็จงเคลื่อนไหวไปหน้าทีวี จงอย่าทำการอย่างอื่นใด หากใครเป็นจอมยุทธ์ ก็ชิงเคลื่อนไหวก่อนใครได้
ขอแถมอีกนิด จงโฟกัสที่เส้นกลาง หากเส้นกลางเริ่มขยบหัวหัวขึ้นหรือลง ทิศทางอาจขึ้นหรือลงตามเส้นกลางแนวโน้มนั้น
ลักษณะที่๔---เคลื่อนไหวในกรอบแคบ---เส้นบน กลาง ล่าง เดินขวางทั้ง๓เส้น หากใครเล่นออนไลน์ สามารถเล่นได้เล็กน้อยอย่ามาก เมื่อราคาแท่งเทียนใกล้เส้นบน จงขาย ใกล้เส้นล่าง จงซื้อ ต้องเข้าออกให้ทันการณ์ หาไม่แล้วจากกำไรอาจขาดทุนได้นา ขอบอก
ลักษณะที่๕---ทิศทางลงเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวลง เส้ยล่างหัวหัวลง
ลักษณะที่๖---ทิศทางลงเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวลง  เมื่อเส้นล่างเดินขวางเมื่อไหร่ ผู้ที่ใจกล้าที่เล่นออนไลน์ เริ่มทยอยซื้อเข้าได้ที่ละนิด อัตราเสี่ยงยังมีอยู่บ้างนะครับ สิบอกไห่
วิธีดูเส้นปากถุงที่กล่าวมานี้ .....ไม่ใช่ตำราของฝรั่ง แบบของฝรั่งผมเคยอ่านมาบ้างแล้ว ยาวมาก ปวดหัว ทำความเข้าใจได้ยากมากๆๆๆๆ ...........เหมาะเฉพาะกราฟราย๔ชม.และช่วงปกติเท่านั้นนะครับ  (บางครั้งตลาดจงใจคึงขึ้นลงอย่าแรงๆ แทบหัวใจวายสำหรับผู้มีทองในมือและผิดทิศทางของตัวเอง เรียกว่า ช่วงไม่ปกติครับ)

บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #20 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2009, 07:39:18 AM »

 Wink
บันทึกการเข้า
Theephat
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2435



« ตอบ #21 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2009, 08:29:49 AM »

สวัสดีตอนเช้าครับคุณทองใหม่ Cheesy Cheesy Cheesy
บันทึกการเข้า
Cindy
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 347



« ตอบ #22 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2009, 09:21:19 AM »

สวัสดีค่ะอาจารย์ ขอมานั่งรอข่าวแต่เช้าด้วยคนนะคะ Kiss
บันทึกการเข้า
mamai
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 237



« ตอบ #23 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2009, 09:28:37 AM »

สวัสดีครับคุณทองใหม่  Wink ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ  Grin
บันทึกการเข้า

"ไม่เชื่อต้องศึกษา   ไม่มีปัญญาต้องเรียนรู้"
sue662
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 616


« ตอบ #24 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2009, 10:22:36 AM »

อรุณสวัสดิ์คุณทองใหม่ค่ะ มาขอบคุณและขอให้แข็งแรงสดชื่นทั้งวันนะคะ
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #25 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2009, 10:25:00 AM »

ประธานาธิบดีเร่งทบทวนนโยบายหลังตัวเลขว่างงานพุ่งสูงสุดในรอบกว่า 26 ปี

Posted on Monday, November 09, 2009
ทองทะลุ 1,100 เหรียญ ? น้ำมันร่วง หลังว่างงานทำสถิติสูงสุด

แนวโน้มความต้องการพลังงานในปีหน้าเริ่มที่จะแผ่วลง หลังผู้บริโภคในเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกกำลังเผชิญกับปัญหาการว่างงานอย่างหนัก

ล่าสุดกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยอัตราการว่างงานพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 10.2% ในเดือนตุลาคม ทำสถิติสูงสุดในรอบ 26 ปี ซึ่งภาพที่แย่ลงของตลาดแรงงานนี้ก็ทำให้ราคาน้ำมันร่วงลงไปกว่า 2 เหรียญเมื่อวันศุกร์

อย่างไรก็ดี ในทางตรงกันข้าม นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง อย่าง ทองคำ กันมากขึ้น หลังตัวเลขที่น่าห่วงในภาคแรงงานมีส่วนกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่กล้าที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วนัก ซึ่งจะส่งผลให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อ

ราคาทองในตลาดล่วงหน้านิวยอร์ก วิ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,101.90 เหรียญต่อออนซ์ ก่อนจะลดความร้อนแรงลงมาปิดที่ 1,095.70 เหรียญเมื่อวันศุกร์ และทำให้ราคาทองในปีนี้วิ่งขึ้นมาแล้วถึง 24%

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ถึงแม้จะปิดบวกได้ในสัปดาห์ก่อน เนื่องจาก
(1) เฟดส่งสัญญาณยืนดอกเบี้ยที่ระดับเดิมต่อไปและ
(2) รายงานเศรษฐกิจในส่วนของภาคการผลิตและตลาดบ้านที่ออกมาดีกว่าคาด
(3) การประกาศดีลการซื้อกิจการครั้งใหญ่ของ Berkshire Hathaway ที่เป็นบริษัทของมหาเศรษฐี Warren Buffet

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังต้องจับตาดูปัจจัยอื่นที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่จะสะท้อนผ่านตัวเลขดุลการค้า ที่จะประกาศในวันศุกร์

นักเศรษฐศาสตร์คาดว่ายอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ จะขยับเพิ่มขึ้นอีกในเดือนกันยายน จากระดับ 30,700 ล้านเหรียญในเดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ 31,800 ล้านเหรียญ เนื่องจากการปรับเพิ่มขึ้นของมูลค่านำเข้าน้ำมันและรถยนต์

ขณะเดียวกัน ตัวเลขส่งออกของประเทศก็อาจจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ตามดีมานด์ที่มาจากเอเชียและยุโรป และปัจจัยเงินดอลลาร์อ่อนค่าที่ช่วยให้สินค้าจากอเมริกามีความน่าสนใจมากขึ้น

นอกจากนั้น ในสัปดาห์นี้ ยังมีบริษัทชั้นนำที่จะทยอยประกาศผลประกอบการอีกอย่างต่อเนื่อง รวมถึง บริษัท Walt Disney และ Wal-Mart Stores


ผู้แทนสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายสุขภาพ 1 ล้านล้านดอลลาร์

นับว่าประสบความสำเร็จไปได้แล้วหนึ่งก้าวสำหรับการปฏิรูประบบสวัสดิการสุขภาพในสหรัฐ เมื่อสภาล่าง หรือ สภาผู้แทนราษฎรโหวตผ่านร่างกฎหมายที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดทางด้านสาธาณสุขของอเมริกา ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการให้ระบบครอบคลุมถึงประชาชนชาวอเมริกันทุกคน และการนำบริษัทประกันให้เข้ามาอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ใหม่ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการแข่งขันมากขึ้น

สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ โหวตให้ร่างกฏหมายฉบับดังกล่าวผ่านด้วยคะแนนสูสี 220 (เดโมแครต 219 / รีพับรีกัน 1 เสียง) ต่อ 215 เสียง โดยมีสมาชิกพรรค Democrats จำนวน 39 รายที่แตกแถวด้วยการโหวตไม่เห็นด้วย ขณะที่มีผู้แทนจาก Republican เพียง 1 ราย ที่แหวกโผและโหวตให้มาตรการดังกล่าวผ่าน

สภาคองเกรสกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนสำคัญที่จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบบสวัสดิการสุขภาพของประเทศ ที่ได้เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่ปี 1965 ภายใต้โครงการ Medicare หรือโครงการประกันสังคมแก่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือผู้ที่มีคุณสมบัติอื่นตามที่กำหนด

ร่างกฏหมายใหม่จะทำให้เกิดต้นทุนกว่า 1 ล้านล้านเหรียญนี้ในช่วง 10 ปีข้างหน้า และจะครอบคลุมไปถึงชาวอเมริกันอีก 36 ล้านคนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบประกันสังคม อีกทั้งยังมีเจตนาที่จะป้องกันไม่ให้บริษัทประกันปฏิเสธไม่ให้ความครอบคลุมในกรณีต่างๆ ด้วย นอกจากนี้ ผู้สูงอายุก็จะได้รับความคุ้มครอง รวมถึงได้รับยาตามความเหมาะสม

และหลังจากที่สภาผู้แทนฯ ได้ผ่านร่างมาตรการดังกล่าวแล้ว ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ได้บอกผ่านแถลงการณ์ว่า ในที่สุดสมาชิกสภาผู้แทนฯ ก็ได้ทำความจริงให้เกิดขึ้นด้วยการมอบระบบสวัสดิการสุขภาพที่มีคุณภาพ ในราคาที่สามารถจ่ายได้ ให้กับประชาชนชาวอเมริกัน ซึ่งโอบามายังได้ขอร้องผ่านไปทางวุฒิสภาให้พิจารณาผ่านมาตรการนี้ในแบบเดียวกัน จนสามารถให้เขาเซ็นผ่านกฏหมายได้ทันภายในปีนี้

มาถึงจุดนี้ ทุกฝ่ายก็ต้องหันไปจับตามองที่วุฒิสภา ว่าจะเห็นชอบกับร่างกฏหมายนี้หรือไม่ และถ้าหากผ่านไปได้ ทั้งสองสภาฯ ก็จะเข้ามาพิจารณาประนีประนอมร่วมกันอีกครั้งสำหรับกฎหมายฉบับใหม่ ก่อนที่จะทำการโหวตรอบสุดท้าย ซึ่งกระบวนการทั้งหมดก็น่าจะกินเวลาอย่างน้อยอีกเป็นเดือน


โอบามาเร่งทบทวนนโยบายจ้างงาน-คลังสหรัฐฯ เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ

อัตราว่างงานประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะระดับ 10.2% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 26 ปี ส่งผลให้คณะทำงานของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เร่งทบทวนแผนกระตุ้นการจ้างงานภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ โดยคาดว่าจะอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มเติมในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 7 แสนกว่าล้านดอลลาร์

โอบามากล่าวที่ทำเนียบขาวหลังกระทรวงแรงงานเปิดเผยข้อมูลจ้างงานว่า "ทีมเศรษฐกิจกำลังเร่งทบทวนนโยบายกระตุ้นการจ้างงาน ซึ่งครอบคลุมดึงการลงทุนเพิ่มขึ้นในโครงการสร้างถนนและสะพาน // หรือเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาคครัวเรือนและกระตุ้นการจ้างงาน เพราะการอัดฉีดเงินในโครงการก่อสร้างจะช่วยให้การจ้างงานเพิ่มขึ้นด้วย // นอกจากนี้ ทีมงานยังพิจารณาเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเงินลงทุนในธุรกิจขนาดเล็ก"

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (nonfarm payroll) ประจำเดือนต.ค.ร่วงลง 190,000 ตำแหน่ง ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์บลูมเบิร์กคาดการณ์ ส่วนอัตราว่างงานเดือนต.ค.พุ่งขึ้นแตะระดับ 10.2% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีครึ่ง สะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานในสหรัฐยังอยู่ในภาวะที่ตึงตัวมาก

โอบามายังกล่าวด้วยว่า อัตราว่างงานและตัวเลขจ้างงานสร้างความผิดหวังและน่ากังวลใจเป็นอย่างยิ่ง แม้รัฐบาลได้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบการเงิน การลดหย่อนภาษี และการคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับต่ำ

ทั้งนี้ โอบามายืนยันว่าทางรัฐบาลจะหาทางแก้ไขวิกฤตการณ์แรงงานภายในประเทศ ด้วยพิจารณาทั้งทางเลือกเดิมที่มีอยู่และทางเลือกใหม่ๆที่จะกระตุ้นการจ้างงานให้ฟื้น

นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวย้ำว่า สหรัฐจะยังไม่ยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จนกว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ไกธ์เนอร์ระบุว่า "หากถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วเกินไป เศรษฐกิจและระบบการเงินจะยิ่งอ่อนแอลง ขณะที่อัตราว่างงานจะยังสูงขึ้น และภาคธุรกิจเอกชนจะซบเซา นอกจากนี้ ตัวเลขขาดดุลการค้าจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบให้ภาพรวมเศรษฐกิจแย่หนักกว่าเดิม

นอกจากนี้ ไกธ์เนอร์ยังกล่าวถึงความจำเป็นในการกระตุ้นการจ้างงานและสนับสนุนการลงทุนของภาคธุรกิจที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงการแก้ปัญหาตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดสินเชื่อ

ไกธ์เนอร์เสริมว่า "ยังเร็วเกินไปที่จะมองถึงแนวโน้มที่สดใสจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในขณะนี้ และโดยปกติแล้วความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ต่างๆที่ผ่านมาก็คือการยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนถึงเวลาอันควร"


ธนาคารยูไนเต็ด คอมเมอร์เชียลของสหรัฐฯ ล้มละลายในสัปดาห์ที่ผ่านมา

บรรษัทประกันเงินฝากแห่งสหรัฐ (FDIC) เปิดเผยว่า ธนาคารยูไนเต็ด คอมเมอร์เชียล แบงค์ ซึ่งเป็นธนาคารในเครือ UCBH Holdings ซึ่งมีทรัพย์สินราว 11,200 ล้านดอลลาร์ ประสบภาวะล้มละลาย ส่งผลให้จำนวนธนาคารล้มละลายในสหรัฐในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 120 ราย

FDIC คาดว่าจำนวนธนาคารล้มละลายในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนประกันเงินฝากของ FDIC พุ่งเป็น 1 แสนล้านดอลลาร์ในอีก 4 ปีข้างหน้า และจะทำให้ FDIC ประสบภาวะขาดดุลบัญชีในเดือนนี้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่ประเมินไว้ในเบื้องต้นที่ 7 หมื่นล้านดอลลาร์ ด้วยเหตุนี้ FDIC จึงวางแผนที่จะเพิ่มค่าธรรมเนียมพิเศษจากธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศเพื่อเพิ่มเงินทุนในบัญชีของ FDIC จำนวน 5,600 ล้านดอลลาร์

ฟอร์ไซท์ อนาไลติกส์ ระบุว่า ยอดการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 ของสหรัฐมีอยู่ทั้งสิ้น 110,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 6 % ของจำนวนเงินกู้โดยรวม หรือคิดเป็น 11 เท่าของยอดการผิดนัดชำระหนี้ในไตรมาส 4 ปี 2550 และคาดว่ายอดการผิดนัดชำระหนี้เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐจะพุ่งเป็น 1.70 แสนล้านดอลลาร์ภายในปีหน้า

โดยล่าสุด ได้มีการรายงานกรณีที่สถาบันการเงินล้มไป ก็คือ ซีไอที กรุ๊ป อิงค์ (CIT Group Inc) สถาบันการเงินผู้ปล่อยกู้รายใหญ่ของสหรัฐที่ดำเนินธุรกิจมานานถึง 101 ปี ที่ได้ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินจากศาลล้มละลายในเมืองแมนฮัทตัน ตามกฎหมายมาตรา 11 แห่งราชอาณาจักรสหรัฐอเมริกา โดย CIT มีภาระหนี้สิน 64,900 ล้านดอลลาร์ และมีทรัพย์สิน 71,000 ล้านดอลล้านดอลลาร์ หลังจากบริษัทขาดสภาพคล่องอย่างหนักและไม่ได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากรัฐบาลสหรัฐ


ประเด็นการทุ่มตลาดของ จีน-สหรัฐ กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง

สหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าท่อเหล็กจากจีนสูงสุด 99% หลังผู้ผลิตสัญชาติอเมริกันนำโดย ยูเอส สตีล คอร์ป ร้องเรียนว่าสินค้าจีนทุ่มตลาดจนสามารถจำหน่ายได้ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด

กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่าอัตราภาษีนำเข้าท่อเหล็กส่งน้ำมันและก๊าซจะอยู่ที่ 36.5% ไม่รวมก่อนหน้านี้ที่ประกาศขึ้นไปแล้ว 21% อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขึ้นภาษีครั้งนี้อาจสร้างความลำบากใจให้กับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งจะเดินทางเยือนจีนและเข้าพบกับประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ในวันที่ 16-17 พฤศจิกายนนี้

จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐรองจากแคนาดา และมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐถึง 266,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว

ในขณะที่ทางการจีนเองนำโดยกระทรวงพาณิชย์จีน เตรียมเดินหน้าตรวจสอบการใช้มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดและการต่อต้านการใช้เงินอุดหนุนในธุรกิจยานยนต์สหรัฐ ซึ่งเชื่อกันว่า มาตรการดังกล่าวของจีนจะเป็นการตอบโต้สหรัฐที่ตัดสินใจเก็บภาษีนำเข้าเหล็กที่ผลิตในจีน

เมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา โอบามาได้ตัดสินใจเก็บภาษีการนำเข้ายางจากจีน ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวด้านการค้าครั้งแรกที่สหรัฐมีต่อจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามา


ผู้นำเอเชียวิตกปัญหาไทย-กัมพูชากระทบอาเซียน

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ได้แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาว่าอาจจะส่งผลกระทบต่ออาเซียนโดยรวม

กรณีความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาที่กำลังตึงเครียดในช่วงนี้ว่า "สิงคโปร์รู้สึกกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่เลวร้ายลงระหว่างไทยและกัมพูชา สถานการณ์เช่นนี้ไม่ดีต่ออาเซียน และสิงคโปร์หวังว่าทั้งสองประเทศจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของอาเซียนเป็นสำคัญ และสามารถหาทางแก้ไขข้อขัดแย้งได้โดยเร็ว ด้วยเจตนาของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน

ขณะที่ญี่ปุ่นวิตกปัญหาขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาเช่นกัน โดยนายกรัฐมนตรียูกิโอะ ฮาโตยามะกล่าวแสดงความวิตกกังวลต่อปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา หลังกัมพูชาแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ

เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นแถลงว่า นายฮาโตยามะ แสดงความวิตกกังวลดังกล่าวในระหว่างการพบปะระดับทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีฮุน เซนของกัมพูชา โดยนายฮาโตยามะกล่าวคาดหวังว่าปัญหาระหว่างประเทศทั้งสองจะคลี่คลาย เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างเป็นเพื่อนบ้านสำคัญในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

นายกรัฐมนตรีฮุนเซนกล่าวตอบว่าสถานการณ์ชายแดนยังมั่นคง แม้มีการปะทะคารมระหว่างกันในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา

การพบกันในระดับทวิภาคีระหว่างผู้นำญี่ปุ่นและกัมพูชามีขึ้น หลังเสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดระหว่างญี่ปุ่นและ 5 ประเทศลุ่มน้ำโขง ซึ่งได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา พม่าและเวียดนาม แต่ไม่มีการหารือในระดับทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย


ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (ศุกร์ที่ 6 พ.ย. 2552)
? ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (ต.ค.) ลดลง 190,000 ตำแหน่ง
? อัตราการว่างงาน (ต.ค.) อยู่ที่ระดับ 10.2%
? ยอดค้าส่ง (ก.ย.) ลดลง 0.9% จากเดือนก่อนหน้า

ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel
 
บันทึกการเข้า
brabus
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #26 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2009, 10:39:56 AM »

สวัสดีค่ะคุณทองใหม่

ขอบคุณมากค่ะ Grin
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #27 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2009, 10:51:40 AM »

 Wink
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #28 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2009, 10:53:08 AM »

 Tongue
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #29 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2009, 10:56:19 AM »

 :Smiley
บันทึกการเข้า
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 7   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: