Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 9   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....  (อ่าน 27188 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
isariya
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 47


« ตอบ #45 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 11:23:58 PM »

คุณมดแดงค่ะ Wink
 เรื่องรองเท้าเนี่ย ตนเองมีประสบการณ์และวีระกรรมมากมาย ถึงได้รู้ซึ้งถึงความสำคัญของมัน ขอบคุณมากคะ Kiss
 
บันทึกการเข้า
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #46 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2009, 09:03:48 PM »

เลือกรองเท้า..เข้ากับราศี

   
  นำเรื่องการเสริมมงคลราศีมาฝากค่ะ เผื่อวันไหนว่างๆ ก็จะออกไปช็อปปิ้งเสริมราศี หรือเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อรองเท้าคู่ใหม่ค่ะ

     สาวราศีมังกร เขาบอกว่าเป็นคนพูดน้อย แต่มีความรับผิดชอบเรื่องงานสูงมาก สาวราศีนี้จึงเหมาะกับรองเท้าคู่เก่งที่ให้ความคล่องตัว เช่น รองเท้าแบนแต๊ด (หรือ flat shoes ที่ กำลังอินอยู่ตอนนี้พอดี) ยิ่งถ้าเลือกหัวมนเหมือนรองเท้าบัลเลต์จะยิ่งทำให้ดูน่ารักและมีเสน่ห์ขึ้น อีกเยอะ ไม่ว่าจะใส่คู่กับกระโปรงหรือกางเกงยีนส์ก็ดูดีไปซะหมด

     สีรองเท้าที่เหมาะ น้ำเงิน ฟ้า น้ำตาล

     สาวราศีกุมภ์ สำหรับสาวชอบเข้าสังคม เป็นคนสนุกสนานเฮฮา และอยากรู้อยากเห็นสิ่งใหม่ๆ อย่างสาวราศีกุมภ์ ถ้าเลือกใส่รองเท้าที่มีลูกเล่นประดับประดาพราวพรายด้วยประกายวิบวับอย่างคริสตัลสี (bejeweled shoes) ก็จะช่วยเสริมให้คุณโดดเด่นเป็นที่สนใจ ไปไหนก็เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของคนรอบข้างอย่างแน่นอน

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีสดๆ เช่น แดงสด ม่วงสด หรือสีเมทัลลิก เช่น เงิน ทอง

     สาว ราศีมีน แม้ภายนอกจะดูขี้อายกว่าสาวราศีอื่นๆ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการแต่งตัว สาวราศีมีนทั้งหลายจะยอมน้อยหน้าได้อย่างไร หากคุณเป็นสาวราศีมีนที่กำลังมองหารองเท้าคู่ใหม่ให้ตัวเองอยู่ล่ะก็ แนะนำให้เลือกรองเท้าที่มีสายรัดส้น (sling back) หรือแบบไม่มีสายรัด (mule) ก็ได้ แต่ต้องทำจากผ้าซาตินสีหวานๆ เพราะช่วยแสดงความละเอียดอ่อน และโรแมนติกของคุณได้ดี ไม่ว่าจะใส่กลางวันหรือกลางคืนก็ทำให้คุณงามแจ่มบาดใจละไมตามากๆ      

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีพาสเทล เช่น ชมพูอ่อน เขียวอ่อน สีน้ำตาลเอิร์ธโทน

     สาวราศีเมษ เรื่องความมั่นใจ ไอ เดียบรรเจิดๆ และความซูเปอร์เทรนด์ของสาวราศีนี้ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ สำหรับรองเท้าคู่โปรดปรานที่ช่วยให้สาวเมษลัคกี้อินเกมและอินเลิฟตลอดกาล ต้องเป็นรองเท้าส้นเล็กแหลมเปี๊ยบ (Kitten heels) ซึ่งเสริมความเป็นผู้หญิงของคุณออกมาอย่างแรงแบบไม่มีใครเกิน

     สีรองเท้าที่เหมาะ แดงสด ฟ้าสด น้ำตาล

     สาวราศีพฤษภ สาวราศีนี้เป็นนักปฏิบัติ ชอบหาอะไรใหม่ๆ ทำ เข้าข่ายไฮเปอร์ไม่ยอมหยุดอยู่นิ่ง รองเท้าคู่กายที่ขาดไม่ได้ของเธอจึงต้องเน้นประโยชน์ใช้สอย ทนทานและดูแลรักษาง่าย พร้อมลุยในทุกสถานการณ์ นอกจากบู๊ตแล้ว รองเท้าคัตชูหัวมน (Pumps) ก็เหมาะมากกับสาวพฤษภ ช่วยเสริมให้ดูเป็นคนหนักแน่น มั่นคง ดูเอาจริงเอาจัง      

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีดำ น้ำตาล น้ำเงิน แดงเลือดหมู      

     สาวราศีเมถุน เพราะเป็นสาวเฟิร์สตี้ มีความสมาร์ทปนเซ็กซี่อยู่ในตัว และเป็นนักอ่านแมกกาซีนตัวยง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากสาวราศีนี้จะอัพเดตเกาะติดเทรนด์แฟชั่นอยู่แถวหน้าเสมอๆ ส่วนในที่ทำงานเธอก็ได้ชื่อว่าเป็น Office Queen ด้วยสไตล์การแต่งตัวที่เก๋เริ่ดเกินหน้าใคร แม้สาวราศีนี้จะขาดไม่ได้เลยกับรองเท้าแบรนด์เนมซึ่งต้องมีเก็บไว้ในตู้ แต่หากเป็นรองเท้าทรงหัวแหลมเปี๊ยวดูเพรียวชะลูดก็จะส่งเสริมหน้าที่การงานให้มีอนาคตก้าวไกลได้

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีฟ้า เขียว เหลือง ดำ

     สาวราศีกรกฎ ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวอาร์ติสต์ชอบทำอะไรตามอารมณ์ รวมถึงเรื่องการแต่งตัว หากเธอได้รับการ์ดเชิญไปงานที่ระบุ dress code ขึ้น มาเมื่อไหร่ สาวกรกฎจะไม่สนใจ ขอใส่แบบที่คิดว่าสวยเด็ดสำหรับเธอเท่านั้น แต่วันไหนสาวราศีนี้อยากลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองบ้าง แนะนำให้เลือกรองเท้ามีส้น เพราะจะทำให้ดูเป็นสาวนุ่มนวลน่าทะนุถนอมทีเดียวล่ะ

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีน้ำตาล ฟ้า น้ำเงิน เขียว

     สาวราศีสิงห์ เป็นคนชอบแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดอินเทรนด์ตลอดกาล ชนิดที่เรียกว่าเป็นสาวกแบรนด์เนมอันดับต้นๆ ก็ ว่าได้ ถ้ามีรางวัลแต่งตัวดียอดเยี่ยม ต้องขอยกตำแหน่งนี้ให้เธอไปครอบครอง เพราะไม่ว่าจะหยิบจับอะไรมาใส่ก็มักได้รับคำชมจากคนรอบข้างเสมอๆ รองเท้าที่จะช่วยสร้างเสน่ห์และเสริมส่งความน่ารัก สำหรับสาวราศีนี้ต้องเป็นส้นสูงปรี๊ด (Stiletto) รับรองว่าขาจะดูเรียวเพรียวเซ็กซี่ทุกย่างก้าวที่เดิน แต่ยังไงก็อย่าเพลินกระหน่ำความสูงมากไปละกัน เดี๋ยวปวดหลังแล้วจะหาว่าไม่เตือน

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีแดง ส้ม ทอง เงิน

     สาวราศีกันย์ เซนส์ในการแต่งตัวเป็นคุณสมบัติโดดเด่นของสาวราศีกันย์ ซึ่ง มีความสามารถเฉพาะตัวในการมิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้า รองเท้า และกระเป๋าให้เข้ากันอย่างไม่มีที่ติ หากสาวกันย์เลือกใส่รองเท้าสไตล์คลาสสิกยอดฮิต อย่างเช่น ส้นสูงไม่มีสายรัด (mule) หรือเปิดด้านหน้า (open-toed) ก็จะช่วยให้การงานปลอดโปร่งจากปัญหาหรืออุปสรรคมาขัดขวาง ทำอะไรก็ราบรื่น ผ่านฉลุยลูกเดียว

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีเขียวหยก ม่วง น้ำตาล ดำ

     สาวราศีตุล การแต่งตัวของสาวราศีตุลก็ยังคงนิยมความเรียบง่ายเข้าไว้ก่อน เพราะยึดคติว่า less is more คือ ยิ่งน้อยชิ้นเท่าไหร่ยิ่งดี และด้วยบุคลิกเรียบโก้ แน่นอนว่ารองเท้าที่สาวราศีตุลมีไว้เป็นเพื่อนคู่ใจจึงไม่ค่อยมีดีเทลจุกจิกนัก กระนั้นถ้าหากเลือกรองเท้าส้นเตารีด (wedges) มาใส่สักคู่ เพราะจะช่วยนำพาความมั่นคงก้าวหน้ามาสู่ชีวิต มีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำจุน พูดจาอะไรก็น่าเชื่อถือ

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีขาว เอิร์ธโทน ฟ้า น้ำเงิน

     สาวราศีพิจิก ลักษณะเด่นของสาวราศีนี้ คือเป็นคนขรึม ชอบใช้ชีวิตอิระและมีโลกส่วนตัวสูง แม้บางครั้งเจ้าอารมณ์ เอาใจยาก แต่ ก็มีข้อดีคือ โกรธง่าย หายเร็ว ถ้าใส่รองเท้าแบบเปลือยๆ จะช่วยเสริมท่วงท่าลีลาการเดิน เปิดทางให้เป็นคนกว้างขวาง มีเมตตา คิดจะลงทุนอะไรก็ไม่ติดขัด      

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีแดงเข้ม น้ำเงิน ดำ

     สาวราศีธนู เป็นคนช่างแต่งตัว ขี้เล่น และชอบสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ให้ชีวิต ดังนั้นจึงไม่มีรองเท้าแบบไหนจะเหมาะกับสาวราศีนี้เท่ากับรองเท้าหนังสีสันชวนเตะตา ที่มาพร้อมกับลูกเล่นวัสดุตกแต่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโบดอกไม้ เฟอร์ หรือผ้าพิมพ์ลายกราฟฟิก ซึ่งนอกจากจะทำให้คุณมีลีลาสวยสง่าทุกโอกาสแล้ว ยังเสริมส่งโชคดีทางด้านการเงินอีกด้วย

     สีรองเท้าที่เหมาะ สีแดง ม่วง เขียว ชมพู.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 28, 2009, 09:15:08 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #47 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2009, 10:15:06 AM »

การใช้ microsoft office word

ใน  version  ต่างๆ   น่าสนใจค่ะ

                
                          


http://office.microsoft.com/th-th/word/FX100487981054.aspx
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 30, 2009, 09:10:02 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #48 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2009, 09:06:21 PM »

ผ่อนคลายเท้ายามเมื่อยล้า

พญ.กอบกาญจน์ ไพบูลย์ศิลป

ปักษ์ก่อนเรารู้ถึงโทษของการใส่ส้นสูงเป็นระยะเวลานานแล้ว ครั้งนี้หมอขอหาทางออกให้สาวส้นสูงที่กำลังมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปวดเท้า ปวดน่อง ปวดหลัง เรามาทดลองวิธีการดูแลตัวเองง่าย ๆดูนะคะ

1.เปลี่ยนรองเท้าเจ้าปัญหา

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายเห็นตรงกันว่า ลักษณะของรองเท้าที่ดีนั้น ควรจะมีรูปร่างเหมือนเท้าเปล่าๆของเรานี่แหละ นอกจากนั้นยังสามารถรองรับตามความโค้งของฝ่าเท้า และบริเวณที่โค้งงอได้ที่ใต้นิ้วเท้า ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของรองเท้ากีฬาที่เห็นกัน

Dr.Smith จากสมาคมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคในเท้าแห่งอเมริกา กล่าวว่า รองเท้าที่ดีควรจะมีพื้นที่ค่อนข้างแบน และเข้ารูปกับส้นเท้าได้พอดี มีพื้นที่มากพอสำหรับนิ้วเท้า ส่วนบนของรองเท้าควรทำจากวัสดุที่นุ่ม และสามารถปรับได้ให้เหมาะกับผู้ใส่โดยใช้เชือกผูก

และถ้าคุณจะซื้อรองเท้าใหม่ อย่าเพิ่งโยนคู่เก่าทิ้งจนกว่าคุณจะรู้สึกว่าใส่คู่ใหม่ได้สบายแล้ว เพราะบางครั้งคู่ใหม่ที่ซื้อมาอาจก่อให้เกิดปัญหากับเท้าได้ ควรลองเปรียบเทียบความสบายระหว่างใส่คู่ใหม่กับคู่เก่าเสียก่อนนะคะ ย้ำนะคะว่าต้องสบาย เพราะผู้หญิงเรามักจะทนเจ็บเพื่อความสวยเสมอ ไม่คุ้มกันเลยค่ะ

สำหรับคุณผู้หญิงที่พิสมัยส้นสูงมาก ๆ เนื่องจากต้องการเพิ่มความสูงด้วยนั้นขอให้เห็นแก่สุขภาพเท้ามาก่อนดีกว่าค่ะ ลดระดับความสูงลงมาให้มากที่สุด ขอให้มั่นใจว่าไม่ได้ทำให้สวยน้อยลงเลย ตรงกันข้าม ลดอาการน่องโป่งได้ด้วยนะคะ อีกอย่างมีข้อแนะนำว่าเรายังไม่ควรเปลี่ยนรองเท้าเร็วเกินไป เช่นจากรองเท้าแตะเป็นรองเท้าส้นสูงในทันที หรือในทางตรงกันข้ามก็เช่นกัน เราควรจะให้เท้าค่อยๆมีเวลาปรับตัวอย่างช้าๆ เช่นลงจากส้นสูงแล้วให้มีการยืด เหยียด เท้า หรือมีการนวดเท้าสักพักก่อนแล้วค่อยใส่รองเท้าแตะจะทำให้เท้าค่อย ๆ ปรับสภาพได้ดีกว่าค่ะ จะทำให้การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อน้อยลงด้วย

2. การยืด เหยียดแบบง่าย ๆ ในที่ทำงาน

คลายกล้ามเนื้อน่องเรา สามารถหาสถานที่ง่าย ๆ เช่น บันได หรือทางลาด เป็นเครื่องมือ เพราะอย่าลืมว่าเวลาเราใส่รองเท้าส้นสูงกล้ามเนื้อน่องของเราจะมีการเกร็ง และหดตัวลงเล็กน้อย การเหยียดกล้ามเนื้อน่อง ทำให้ลดความเครียดที่กล้ามเนื้อน่องได้ ทำได้โดยวิธีการยืนขาเหยียดตึงตรงสถานที่ที่กล่าวมาแล้ว

              



            
                             คลายกล้ามเนื้อเท้า

สำหรับสาวออฟฟิศ อาจหาอุปกรณ์ง่าย ๆ เช่นกระป๋องน้ำ หรือถ้าเป็นคนโบราณเค้าจะใช้กะลามาเหยียบ จะช่วยผ่อนคลายความเกร็งของกล้ามเนื้อมัดเล็ก ๆ ที่เท้าได้ดีทีเดียวค่ะ

วิธีการให้คลึงฝ่าเท้าตามรูป ประมาณ5 นาที ตอนช่วงพักเท้า นั่งโต๊ะทำงาน ก็เป็นการรักษาไปในตัวแล้ว

มีรายงานว่า83% ของผู้ป่วยที่ใช้วิธีการกายภาพบำบัดเท้านี้ร่วมด้วย สามารถรักษาร่วมกับการรักษาอื่นได้ผลดีมากขึ้นค่ะ
                            
                  
                
3. วารีบำบัดเท้า เมื่อกลับบ้าน

เตรียมน้ำร้อน น้ำเย็นมาอย่างละหนึ่ง กะละมัง

แช่เท้าในกะละมังน้ำอุ่น นาน 5-10 นาที จากนั้นย้ายมาแช่ในกะละมังน้ำเย็น นาน 2-3 นาที ทำซ้ำกัน 3 รอบ การทำเช่นนี้ทำให้เลือดลมไหลเวียนมาที่เท้าได้ดีขึ้น การบาดเจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดจากการเดินก็จะหายเร็วขึ้นด้วย ส่วนคนที่มีปัญหาการปวดเมื่อยเท้าอยู่บ่อย ๆ ลองทำดูนะคะ จะรู้สึกว่าเท้าเบาสบายขึ้นค่ะ

พอจบรอบที่สามของการแช่น้ำ ให้เอาผ้าเช็ดตัวแช่น้ำอุ่น แล้วคล้องที่ฝ่าเท้า ดังภาพ จะช่วยในคนที่มีปัญหารองช้ำ หรือเอ็นฝ่าเท้าอักเสบได้ดีค่ะ

                  

4.1 หมุนนิ้วเท้า

เริ่มจากเท้าขวา ที่นิ้วหัวแม่เท้า หมุนไปทางเดียวกันช้า ๆ 5 รอบ ไล่ไปให้ครบทุกนิ้ว ในการแพทย์แผนจีนบอกว่านิ้วเท้าทุกนิ้วสัมพันธ์ไปถึงสมองและศีรษะ ดังนั้นการหมุนนิ้วเท้าเบา ๆจะช่วยให้ผู้ถูกนวดรู้สึกโปร่งโล่งสมอง ต้นคอผ่อนคลายได้

4.2 บีบไล่เลือดลม

ใช้สองมือกำฝ่าเท้า แล้วบีบให้กระชับเป็นจังหวะช้า ๆ 5 รอบ

4.3 นวดด้วยกำปั้น

มือหนึ่งจับฝ่าเท้าไว้ อีกมือหนึ่งกำเป็นกำปั้นคลึงเบา ๆ ทั่วอุ้งเท้า

4.4 หมุนข้อเท้า

ขยับข้อเท้า งอ เหยียดเป็นจังหวะ 5 รอบ จากนั้นหมุนข้อเท้าไปทางเดียวกันอีก5 รอบ

4.5 กระตุ้นจุดมณีปุระพร้อมกับกำหนดลมหายใจ

ท่านี้สำคัญมาก เป็นการจบการนวดและปล่อยให้สมดุลของร่างกายเดินหน้าทำงานของมันเอง ใช้มือทั้งสองจับฝ่าเท้าทั้งสองข้างนิ้วหัวแม่มือกดไว้ที่จุดมณีปุระ พร้อมกับโยกเท้าขึ้นลงช้า ๆ ขณะเดียวกันให้กำหนดลมหายใจเข้า ยาวตอนกระดกเท้าขึ้น และผ่อนออกยาวตอนกระดกเท้าลง ทำเช่นนี้ซ้ำกัน 5 ครั้ง



เพียง4 วิธีง่าย ๆ ก็จะทำให้คุณสบายเท้าได้อย่างรวดเร็วขึ้น อาจได้ผลพลอยได้คือคลายอาการปวดเอว ปวดหลังลงได้ด้วยค่ะ ลองทำดูนะคะ  

http://www.balavi.com/content_th/Health_T/HT00043.asp
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 01, 2009, 09:58:56 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #49 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2009, 09:51:14 PM »


"ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการใช้ยา"

                                          
                                        


มีผู้ป่วยหลายท่านที่มีพฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม และมักมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องในการใช้ยา ทำให้เกิดผลเสียและอันตรายจากการใช้ยา ความเชื่อผิด ๆ ที่พบบ่อยมีดังนี้ คือ

ความเชื่อ : ฉีดยาดีกว่ากินยา

โดย หลักการแล้ว ยารับประทานเป็นยาที่แพทย์จะเลือกใช้เป็นลำดับแรก เพราะสามารถรักษาโรคหรือบำบัดอาการได้เกือบทั้งหมด ใช้ง่ายและสามารถติดตัวเพื่อรับประทานต่อเนื่อง

สำหรับยาฉีดนั้น เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยา หรือในผู้ป่วยหนัก หรือต้องการผลให้ระดับยาสูงขึ้นทันที หลังจากนั้นเมื่อคุมอาการได้ แพทย์ก็จะพิจารณาให้รับประทานยาต่อ

ข้อควรรู้ คือ อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากยาฉีดนั้นจะแก้ไขได้ยาก หรือรุนแรงมากกว่ายารับประทานและมีบ้าง ที่อาจแก้ไขไม่ทัน


ความเชื่อ : ยาแพงดีกว่ายาถูก

ความ เชื่อนี้ไม่จริงเสมอไป โดยเฉพาะยาปัจจุบันที่มีอยู่ในท้องตลาดเป็นส่วนใหญ่ ยาที่แพงอาจเนื่องจากมีการบวกคำโฆษณา การค้นคว้าในอดีตและการบวกกำไรลงไปในราคายามากเป็นหลายเท่าตัว

ข้อ ควรปฏิบัติ คือควรสอบถามผู้ขาย หรือแพทย์ว่ายาดังกล่าวสามารถเชื่อถือคุณภาพได้มากน้อยเพียงใด ใช้เกณฑ์อะไรในการพิจารณาว่ายามีคุณภาพ


ความเชื่อ : ยาตัวใหม่ดีกว่ายาตัวเก่า

ความ เชื่อนี้มีส่วนจริงบ้างแต่ไม่เสมอไป ยาที่ออกใหม่หลายตัวก็มีผลการรักษาที่ไม่แตกต่าง จากยาเดิมแต่ก็มียาใหม่ที่คิดค้นขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่ยาเก่าใช้ไม่ได้ผล อันเป็นปัญหาที่ซับซ้อนสะสมมานาน ทั้งจากด้านผู้ใช้ยาที่ใช้ไม่ถูกต้อง และผู้สั่งใช้ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน หรือแนวทางที่ถูกต้องในการรักษา

นอกจากนี้ยาใหม่อาจมีการพัฒนา เพื่อให้ใช้ได้ง่ายขึ้น ลดอาการข้างเคียงบางอย่างลงหรือทันต่อโรคใหม่ ๆ

อย่าง ไรก็ตาม ข้อเสียของยาใหม่คือมีข้อมูลการใช้ไม่มากพอ ผู้ใช้จึงเป็นเสมือนหนูลองยาบ่อยครั้งที่ต้องมีการถอนยาตัวนั้นออกจากตลาด หลังจากใช้ไปได้ระยะหนึ่ง เพราะความเป็นพิษรุนแรง บางชนิดทำให้พิการ บางชนิดมีผลให้เสียชีวิต

สิ่งที่ควรรู้ คือ การรักษาจะได้ผลหรือไม่ขึ้นกับการวิเคราะห์อาการได้ถูกต้อง การเลือกใช้ยาที่เหมาะสม ความร่วมมือในการรักษา ความสามารถในการใช้ยาที่มีวิธีการใช้พิเศษ เช่น ยาพ่นและการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ


ความเชื่อ : เมื่ออาการหายก็ไม่ต้องรับประทานยาต่อ

ความ เชื่อนี้มีทั้งที่จริงและไม่จริง ยาที่รักษาอาการ เช่น ยาแก้ปวดหัว ยาลดไข้ ยาบรรเทาอาการหวัด ยาเหล่านี้เมื่อไม่มีอาการก็สามารถที่จะหยุดได้

แต่ ยาที่มีการระบุไว้ที่ฉลากว่า ?ควรรับประทานติดต่อกันทุกวันจนหมด? หรือยารักษาโรคเรื้อรัง เช่น ความดันเลือดสูง เบาหวาน จะต้องรับประทานต่อเนื่องตามขนาดและเวลาที่ระบุ ถึงแม้จะควบคุมอาการได้แล้วก็ตาม เพราะเป็นยาที่รักษาที่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยนั้น มิฉะนั้นอาจทำให้เรื้อรัง ดื้อยา หรือไม่สามารถควบคุมอาการได้

ข้อ ควรปฏิบัติ คือ สอบถามทุกครั้งที่ได้รับยาว่ามียาขนานใดที่ต้องรับประทานตามขนาดและเวลาที่ สั่งจนหมด ในทางปฏิบัติทั่วไปยาที่ให้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบำบัดเมื่อมีอาการเท่านั้น ที่ไม่ต้องรับประทานจนหมด นอกนั้นควรรับประทานจนหมดเพื่อลดปัญหาการเก็บและการนำกลับมาใช้ใหม่ที่อาจ เป็นอันตราย


ความเชื่อ : อาการเจ็บป่วยของตนนั้นต้องใช้ยาแรง ยาอ่อนไม่ได้ผล

หาก ไม่ได้เป็นโรคเรื้อรัง การเจ็บป่วยแต่ละครั้งนั้นไม่ขึ้นต่อกัน การใช้ยาแต่ละครั้งจึงไม่เกี่ยวข้องกัน ผู้ป่วยมักได้รับการบอกจากผู้ให้บริการว่า สำหรับคุณจำเป็นที่ต้องได้รับยาแรง ยาอ่อนไปไม่ได้ผล หรือร้านนี้ไม่มียาอ่อน การพูดดังกล่าวเป็นเพียงการสร้างความเข้าใจที่ผิดและ ต้องการที่จะให้ผู้รับบริการเชื่อว่าได้รับยาที่ดีที่สุด และเป็นเสมือนการโฆษณาชวนเชื่อสามารถที่จะเรียกเก็บเงินในราคาสูง

ยา ที่ดีที่สุดนั้นเป็นยาที่ตรงกับอาการ หรือสาเหตุจริงของการเจ็บป่วย อาการจะหายหรือไม่หาย ขึ้นกับความสามารถในการวิเคราะห์โรคและการเลือกยาที่เหมาะสม

ข้อ ควรปฏิบัติ คือบอกเล่าอาการให้ละเอียด มีประวัติการใช้ยา อาหารเสริม สมุนไพร หรือการแพ้ยาอะไร มีโรคประจำตัวหรือไม่ และสอบถามวิธีปฏิบัติ ข้อควรระวังในระหว่างการใช้ยานั้น ๆ


ความเชื่อ : ยาชุดดีกว่ายาเดี่ยว

ยา ชุดเป็นการจัดยาหลายขนานเข้าด้วยกันที่นับว่าเป็นเสมือนสิ่งที่ปฏิบัติต่อ เนื่องกันมาของสังคมไทย เพื่อความสะดวกในการรับประทานและง่ายต่อการจัดของผู้ป่วย

สำหรับยา เดี่ยวนั้นจะบรรจุยาแต่ละชนิดแยกจากกัน ข้อดีของยาเดี่ยวคือไม่ปนเปื้อนยาบางขนานอาจให้ในเวลาที่ต่างกัน แต่สำหรับชาวบ้านทั่วไปจะยากในการใช้ให้ถูกต้อง ยาชุดหรือยาเดี่ยวจึงไม่แตกต่างกัน ถ้าเป็นยาที่รับประทานเวลาเดียวกันและตรงกับอาการที่เป็นจริง

แต่ ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยคือ ยาชุดที่มีการจัดมักจะมีการใส่ยาที่มีอันตรายมาก เช่น สเตียรอยด์ ลงไปในยาชุดโดยหวังให้กด หรือบดบังอาการชั่วคราว และจะเป็นอันตรายร้ายแรงเมื่อใช้ต่อเนื่อง

ข้อควรปฏิบัติ คือหากเลี่ยงได้ให้เลี่ยงยาชุดโดยเฉพาะยาชุดที่มีการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าและให้บอกว่าไม่ต้องการยาสเตียรอยด์


ความเชื่อ
: ยารับประทานจะรับประทานก่อน หรือหลังอาหารก็ได้ไม่แตกต่างกัน

ความ เชื่อนี้ไม่จริงเสมอไป โดยมากแล้วยารับประทานมักจะให้รับประทานหลังอาหารเพื่อสะดวกในการรับประทาน และไม่ลืม เป็นการเพิ่มความร่วมมือในการใช้ยา

ยาหลังอาหารนั้นสามารถที่จะรับประทานหลังอาหารได้ทันทีหรือภายในครึ่งชั่วโมง

สำหรับยาก่อนอาหารจะต้องรับประทานก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง

อย่าง ไรก็ตามหาระบุให้รับประทานก่อนอาหาร พร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที ก็ควรที่จะปฏิบัติตามเวลาที่รับประทานที่ถูกต้องของยา ดังกล่าว เนื่องจากยาบางตัวไม่ทนกรด ยาบางตัวมีผลกัดกระเพาะ ยาบางตัวจะดูดซึมได้ดีเมื่อรับประทานพร้อมอาหารหรืออาหารที่มีไขมันสูง

ข้อ ควรรู้ การ ได้รับยาที่มากกว่า 1 ขนานสามารถที่จะเกิดยาตีกันได้ (อันตรกิริยาของยา) ในบางครั้งการให้รับประทานก่อนหรือหลังอาหารแยกจากกัน ก็มีจุดมุ่งหมายที่ จะป้องกันไม่ให้ยาตีกันดังกล่าว จึงควรที่จะรับประทานให้ถูกต้องเพื่อผลการรักษาที่ดีและลดอาการอันไม่พึง ประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้


ข้อมูล : คณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์และข่าวสารสาขาเภสัชกรรม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 01, 2009, 09:56:50 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
isariya
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 47


« ตอบ #50 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2009, 05:30:22 AM »

เขามาอ่านความรู้ดีดี ขอบคุณมากคะ
 Wink Wink Wink Wink Wink Wink Wink Wink Wink Wink Wink Wink
บันทึกการเข้า
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #51 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2009, 09:10:16 PM »

โรคต้อหินที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์

ที่มา www.geocities.com/glaucomathai

          โรคต้อหินชนิดเรื้อรัง เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการใช้สายตา( Demand )และปริมาณเลือดแดงที่เข้ามาเลี้ยงเซลล์ประสาทตาภายในลูกตา( Supply ) เมื่อเซลล์

ประสาทตาได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ จะค่อยๆทยอยเฉาตายลงไปเรื่อยๆ ความดันลูกตาที่สูงกว่าปกติ เป็นเพียงสาเหตุรองที่ต้านระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ภาวะขาดเลือดดัง

กล่าวเลวลงไปอีก

ในอนาคต ประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคต้อหินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสภาพเศรษฐกิจที่รัดตัว ผู้คนจะทำงานหนักมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สายตา

 บวกกับความเจริญทางด้านไอที ทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์กันทั่วไป  และจะพบผู้ป่วยโรคต้อหินอายุน้อยลงเรื่อยๆ ( จากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การเล่นเกมส์ และการใช้

อินเตอร์เน็ต ) เป็นต้อหินรูปแบบใหม่ที่เกิดจากเซลล์ประสาทตามีความต้องการเลือดมาหล่อ เลี้ยงมากกว่าปกติ   ( More demand )    ซึ่งแตกต่างจากโรคต้อหินทั่วไปที่เกิดจาก

เลือดเข้ามาหล่อเลี้ยงน้อยกว่า ปกติ    ( Less supply )  และเป็นกลุ่มของโรคต้อหินที่ไม่จำเป็นต้องมีค่าความดันลูกตาสูง ทำให้วินิจฉัยได้ยาก  เหมือนในประเทศญี่ปุ่น ที่ขณะนี้มีผู้

ป่วยโรคต้อหินชนิดความดันลูกตาปกติ มากที่สุดในโลก  สอดคล้องกับงานวิจัยของ Dr.Masayuki Tatemichi, from Toho University, School of Medicine ที่รายงานการ

ค้นพบความสัมพันธ์ของโรคต้อหินกับการใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อปี ค.ศ. 2004  แต่เนื่องจากไม่สามารถอธิบายกลไกการค้นพบดังกล่าวได้ จึงยังไม่มีใครเชื่อถือในขณะนั้น

โรคต้อหิน กำลังจะเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยและของประชากรโลกในอนาคตอันใกล้นี้


อาการ    ของโรคต้อหิน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ผู้ป่วยรู้ตัวว่าเป็นต้อหิน และนำผู้ป่วยให้ไปพบจักษุแพทย์ ทำให้ได้รับการวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น

 อาการของโรคต้อหิน มีอะไรบ้าง ?
          
1. ตาพร่าตามัว เวียนหัวคลื่นไส้อาเจียน เห็นภาพเบลอซ้อน หรือตามืดบอดชั่วขณะหนึ่ง

2. เห็นจุดแสงดำขาวเต็มไปหมด หรือเห็นเป็นแสงระยิบระยับเมื่อมองไปกลางแดด   <--ข้อนี่แหละที่ผมเป็นสร้างความรำคาญให้มากมาย

3. ปวดในเบ้าตาลึกๆและปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน หรือปวดจี๊ดขึ้นสมอง

4. ตรวจพบว่ามีสายตาสั้นขึ้นมาทันที และค่าสายตาขึ้นๆลงๆ ไม่แน่นอน

5. ตาจะพร่า เมื่อมองวัตถุบนพื้นที่มีแสงจัดหรือบนพื้นที่มันวาว

6. อ่านหนังสือไม่ทน ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือดูโทรทัศน์ ได้ไม่นาน
<--เพราะมันระยิบระยับไปหมดนี่แหละทำให้อ่านหนังสือไม่ทน T-T

7. เห็นดวงไฟมีแสงเจิดจ้า เป็นรัศมีกระจาย เห็นเป็นฝ้าหมอกหรือวงสีรุ้ง รอบดวงไฟ

8. เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบ หรือเห็นลำแสงวิ่งผ่านตา หรือเห็นเป็นเส้นหยักๆที่หางตา

9. มีความลำบากในการสังเกตุพื้นต่างระดับเวลาก้าวเดิน หรือเวลาขึ้นลงบันได

10. เห็นสีจืดจางลงหรือผิดเพี้ยนไป เห็นตัวหนังสือเลือนรางหรือแตกพร่า

11. การมองในที่มืดแย่ลง เห็นหน้าคนไม่ชัด และไม่กล้าขับรถในเวลากลางคืน <---มาจากระยิบระยับทั้งนั้นT-T

12. เวลาขับรถลงอุโมงค์ลอดทางแยกหรือเดินเข้าที่ร่มในเวลาแดดจัด ตาจะมืดบอดชั่วขณะ

13. เวลามองผ่านกระจกหน้ารถในทิศทางย้อนแสงอาทิตย์ ตาจะพร่าและสู้แสงไม่ค่อยได้

14. เวลากลางคืนมักจะเดินชนข้าวของเป็นประจำ ชอบที่จะเปิดไฟทุกดวงเท่าที่มี

15. มองสิ่งที่เคลื่อนที่เร็วๆไม่ทัน ทำให้ไม่มั่นใจเวลาขับรถหรือเดินข้ามถนนคนเดียว

16. ตาสู้แสงไม่ได้ ต้องใส่แว่นดำเป็นประจำ

17. เห็นแสงมืดลงไปเรื่อยๆ หรือเห็นเป็นหมอกควันอยู่ทั่วๆไป

18. ลานสายตาแคบเข้ามาเรื่อยๆ จนระยะท้ายเหมือนมองผ่านท่อกลม

ถ้ามีอาการอะไรสักสองสามข้อก็ควรไปพบแพทย์


http://www.pg.in.th/blog/view/1681
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 03, 2009, 07:11:04 AM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #52 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2009, 09:42:00 PM »

รักษาต้อหิน
  

การรักษาแนวใหม่ โดยวิธีนวดตา
ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเลเซอร์ ไม่ต้องใช้ยา


โดย นพ. สมเกียรติ อธิคมกุลชัย
จักษุแพทย์
   
     โรคต้อหินคืออะไร ?

ในลูกตาของคนเรา จะมีระบบไหลเวียนของของเหลวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า น้ำaqueous ซึ่งสร้างจากciliary body ภายในลูกตา ไหลเวียนมาหล่อเลี้ยงเลนส์แก้วตาและกระจกตา ( ซึ่ง

เป็นอวัยวะที่ไม่มีระบบไหลเวียนของเลือดมาหล่อเลี้ยง ) หลังจากนั้น น้ำ aqueous จะถูกระบายออกจากลูกตาผ่านทางช่องตะแกรงที่เรียกว่า Trabecular meshwork และไหลซึม

ออกจากลูกตาทางระบบ Uveo-scleral pathway.

ความดันภายในลูกตา (IOP ) ขึ้นอยู่กับดุลยภาพระหว่าง การสร้างและการระบายออกของน้ำ aqueous ภายในลูกตานั่นเอง. ความดันภายในลูกตา ช่วยให้ลูกตาของคนเราคง

รูปร่างอยู่ได้ คนส่วนใหญ่จะมีความดันลูกตาอยู่ระหว่าง 9 - 21 มม.ปรอท และมีค่าเฉลี่ยราวๆ 15 มม.ปรอท หากมีการขวางกั้นการระบายของน้ำ aqueous ด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม จะ

ทำให้ความดันลูกตาเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดที่จะหล่อเลี้ยงระบบประสาทของลูกตา เข้ามาไม่สะดวก ทำให้ขั้วประสาทตาฝ่อลง จนตาบอดได้ในที่สุด.

                                  

3. โรคต้อหินชนิดต่างๆ

     3.1 โรคต้อหินแต่กำเนิด

เกิดจากความผิดปกติในการก่อกำเนิดระบบระบายของน้ำ aqueous ทำให้ความดันภายในลูกตาค่อยๆสูงขึ้น ขนาดของลูกตาจะขยายและโตออก เนื่องจากโครงสร้างลูกตาของเด็กยัง

บอบบางอยู่ และกระจกตาดำมักจะมีขนาดใหญ่และสีขาวขุ่น

     3.2 โรคต้อหินชนิดมุมปิด

เกิดจากบริเวณโคนของม่านตา ไปปิดทางระบายของน้ำ aqueous ที่ช่องตะแกรงอย่างเฉียบพลัน ความดันลูกตาจะพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีอาการ ตาแดง ตามัวและ ปวดตา

ปวดหัวซีกนั้นอย่างรุนแรง

      3.3 โรคต้อหินเรื้อรังชนิดมุมเปิด

ผู้ป่วยโรคต้อหินส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มนี้ เมื่อคนเราอายุมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน ช่องตะแกรงที่เป็นทางระบายของน้ำ aqueous จะมีเศษตะกอนมาอุดกั้น มากบ้างน้อย

บ้าง ทำให้ความดันลูกตาค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ โดยไม่มีอาการใดๆทั้งสิ้น เซลล์และเส้นประสาทตาจะค่อยๆขาดการหล่อเลี้ยงของระบบไหลเวียนของเลือด จากแรงต้านของความดัน

ภายในลูกตา และค่อยๆตายไปทีละน้อยๆ จนกระทั่งตาบอดไปในที่สุด

4. การรักษา

4.1 การใช้ยากินและยาหยอดตา เพื่อลดความดันลูกตา

4.2 การใช้เลเซอร์ เพื่อลดความดันลูกตา โดย

     4.2.1 ยิงเลเซอร์ที่โคนม่านตาโดยรอบ เพื่อถ่างช่องตะแกรงให้ระบายน้ำ aqueous ได้ดีขึ้น

      4.2.2 ยิงเลเซอร์เจาะช่องตะแกรงที่ตีบตัน ให้ระบายได้ดีขึ้น

      4.2.3 ยิงเลเซอร์ทำลายเซลล์ที่สร้างน้ำ aqueous บางส่วน เพื่อลดการสร้างน้ำ aqueous

4.3 การผ่าตัดเปิดช่องทางระบายน้ำ aqueous ขึ้นมาใหม่


4.4 เพิ่มระบบไหลเวียนโลหิตเข้าไปในลูกตา

4.5 การรักษาในแนวแพทย์ทางเลือก

      4.5.1 การฝังเข็มในแนวแพทย์แผนจีน ช่วยเสริมระบบไหลเวียนโลหิต เพื่อหล่อเลี้ยงเส้นประสาทของลูกตา แต่ไม่ช่วยลดความดันลูกตา

      4.5.2 การนวดตารักษาต้อหิน คิดค้นขึ้นมาใหม่โดย นพ.สมเกียรติ อธิคมกุลชัย จักษุแพทย์ไทย ในปี พ.ศ.2546


การรักษาโรคต้อหินในปัจจุบัน มีอยู่ 3 วิธี คือ

       1. การรักษาด้วยยา ทั้งยาหยอดตาและยากิน

                       2. การผ่าตัด

                       3. การยิงเลเซอร์


การรักษาต้อหินโดยวิธีนวดตา เป็นการรักษาโรคในแนวแพทย์ทางเลือก ( Alternative medicine ) ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ล่าสุดโดยจักษุแพทย์ชาวไทย เป็นการรักษาแบบง่ายๆ

สะดวก และประหยัด ไม่มีพิษมีภัย ไม่มีผลข้างเคียง แต่ได้ประสิทธิผลสูง โดยทั่วไปแล้ว เป้าหมายในการรักษาโรคต้อหิน คือ การลดความดันลูกตา เพื่อให้เลือดดีสามารถเข้าไปหล่อ

เลี้ยงเส้นประสาทในลูกตาได้ แต่จากการรักษาด้วยวิธีใหม่นี้ พบว่า นอกจากจะสามารถลดความดันลูกตาได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังสามารถเร่งเลือดดีให้ไปหล่อเลี้ยงประสาทตาได้มากกว่าวิธี

อื่นๆ ซึ่งจะสังเกตได้จาก

1. การเห็นแสงที่เคยสลัวลง ก็จะกลับมาสว่างขึ้น

2. การปรับสายตาในสถานที่แสงน้อย จากเดิมที่เคยเดินชนข้าวของ ก็จะสามารถเห็นได้ดีขึ้นชัดเจน

3. สามารถกลับมาอ่านเขียนหรือทำงานละเอียดได้เหมือนเดิม

4. คนที่มีสายตาแย่ลงแล้ว แต่ยังไม่บอดสนิท ก็จะสามารถฟื้นกลับมาเห็นได้อีก

และท้ายสุด ก็ยังสามารถลดหรือเลิก ยาลดความดันลูกตาที่เคยใช้ประจำอยู่ได้ ช่วยประหยัดเงิน และลดภาระในชีวิตประจำวัน ไปตลอดอายุขัยของผู้ป่วย

อนึ่ง การรักษาในแนวนวดตานี้ สามารถใช้ร่วมกับการรักษาโรคต้อหินแผนปัจจุบันทั้ง 3 วิธี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วย และยังมีประโยชน์ใช้ป้องกันในรายที่สงสัยว่าจะเป็นต้อ

หิน แต่ลักษณะอาการยังไม่ชัดเจน

ผู้ป่วยโรคต้อหินจะทราบได้อย่างไรว่า การดำเนินโรคเลวลง

1. เห็นแสงสว่างในช่วงกลางวัน สลัวลงเรื่อยๆ ลักษณะครื้มฟ้าครื้มฝน ทั้งๆที่แดดจัด สว่างจ้า หรือในผู้ป่วยบางราย จะเห็นเป็นหมอกจางๆอยู่เกือบตลอดเวลา อาการเหล่านี้มักจะหายไป

ถ้าได้นอนหลับสักงีบหนึ่ง หรือช่วงตื่นนอนตอนเช้า แต่ก็จะดีเพียงครู่เดียว อาการก็จะกลับมาอีก

2. การปรับสายตาในที่มืดแย่ลง เวลาพลบค่ำ มักจะเดินชนข้าวของเป็นประจำ และจะพยายามเปิดไฟทุกดวงที่มีอยู่

3. การเขียนอ่านตัวหนังสือ จะลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นตัวหนังสือมีสีจางลง มองแล้วลายตาไปหมด ใส่แว่นสายตายาวก็ช่วยได้ไม่มาก แม้จะพยายามเปลี่ยนแว่นหลายๆอัน ก็ไม่ดีขึ้น

เวลามองคนที่เดินเข้ามา จะเห็นเป็นรูปเป็นร่าง แต่ไม่เห็นรายละเอียดของใบหน้า ว่า ตา จมูก ปาก เป็นอย่างไร ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่า เป็นใครที่กำลังเดินเข้ามา

4. สายตาจะเลวลงโดยไม่รู้ตัว จะรับรู้ก็ต่อเมื่อใกล้บอดหรือบอดสนิทแล้ว ถ้าไม่ได้ลองปิดตาข้างที่ดี ก็จะไม่ทราบเลยว่า ตาบอดไปหนึ่งข้างแล้ว

อาการที่สัมพันธ์กับภาวะเซลล์ประสาทตาขาดเลือดหล่อเลี้ย

        ระยะที่1 เห็นแสงสลัวลง อาการจะดีขึ้นชั่วขณะ หลังจากงีบหลับหรือตื่นนอนตอนเช้า

        ระยะที่2 เห็นเป็นหมอกบดบังสายตา อาการจะดีขึ้นชั่วขณะ หลังจากงีบหลับหรือตื่นนอนตอนเช้า

        ระยะที่3 ลานสายตาดำมืดไปบางส่วน

        ระยะที่4 ลานสายตาดำมืดไปทั้งหมด(ตาบอดสนิท)

ารนวดตาสามารถรักษาผู้ป่วยในระยะที่1-3 ให้กลับมาเห็นและดำเนินชีวิตปกติได้อีกครั้งหนึ่ง

หมายเหตุ ขณะนี้ นายแพทย์สมเกียรติ อธิคมกุลชัย ผู้คิดค้นทฤษฎีรักษาโรคต้อหินด้วยการนวดตา และ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ โจเซฟ แฟลมเมอร์ ( Professor Josef FLAMMER ) หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา มหาวิทยาลัยบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้คิดค้นทฤษฎีระบบไหลเวียนเลือดที่เป็นสาเหตุที่แท้จริงของโรคต้อหิน ได้ร่วมมือกันเพื่อพิสูจน์กลไกของการนวดตารักษาโรคต้อหิน ว่าทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้นได้อย่างไร

รคต้อหินเรื้อรัง เป็นสาเหตุของการตาบอดในผู้สูงอายุ และนับวันจะพบผู้ป่วยโรคนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประชากร 70 ล้านคนทั่วโลก กำลังป่วยด้วยโรคนี้ และ10%ของผู้ป่วยเหล่านี้ ตาบอดแล้วทั้งสองข้าง ศูนย์วิจัยโรคต้อหินทั่วโลกในขณะนี้ กำลังขมักเขม้นทุ่มทุนมหาศาลทำการวิจัย เพื่อหาหนทางรักษาโรคต้อหินให้หายขาด ในประเทศไทย มีผู้ป่วยโรคต้อหินเรื้อรังประมาณ 2%ของประชากร หรือเท่ากับ 1.4 ล้านคน และ10%ของผู้ป่วยเหล่านี้ คือประมาณ 1.4 แสนคน ตาบอดหรือใกล้บอดแล้ว

สาเหตุของโรคต้อหิน มีความเชื่อแยกออกเป็น 2 ความคิดเห็น คือ


1.เกิดจากความดันภายในลูกตา ( Ocular tension ) ไปขัดขวางการไหลเวียนของโลหิตที่จะเข้ามาหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทตาและใย ประสาทตาภายในลูกตา ทำให้เซลล์ประสาทตาและใยประสาทตาค่อยๆขาดเลือด เฉาตายไปเรื่อยๆอย่างเงียบๆโดยผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว จะทราบก็ต่อเมื่อสายตาใกล้บอดเสียแล้ว จักษุแพทย์ส่วนใหญ่เชื่อในทฤษฎีนี้ การรักษาจึงมุ่งที่จะลดความดันลูกตาให้ต่ำไว้ เพื่อหวังว่าเลือดจะเข้ามาหล่อเลี้ยงในลูกตาเพิ่มขึ้น ซึ่งการรักษาในปัจจุบัน อยู่ในแนวนี้ทั้งหมด เช่น

       1.1 การรักษาด้วยยา ( Medication ) ได้แก่การใช้ยาหยอดตา และยากิน เพื่อลดความดันลูกตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มยาหยอดตา ได้มีการพัฒนายาใหม่ๆขึ้นมามากมายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และมีการใช้ยาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้จากการได้รับยาของผู้ป่วย แต่ละรายจะต้องใช้ยา 2- 3 ตัว หยอดทุกวัน วันละ 2 - 3 ครั้ง ไปตลอดชีวิต เป็นภาระที่หนักอึ้งทั้งในแง่เศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของผู้ป่วย.

        1.2 การรักษาด้วยการยิงเลเซอร์
การยิงเลเซอร์เพื่อเปิดทางระบายน้ำในตา ได้แก่ การยิง ALT ( Argon Laser Trabeculoplasty ) และการยิง SLT ( Selective Laser Trabeculoplasty ) การยิงเลเซอร์เพื่อลดการสร้างน้ำในลูกตา (Transcleral Cyclophotocoagulation )

        1.3 การรักษาด้วยการผ่าตัดทำทางระบายน้ำในตา ( Trabeculectomy )
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีผู้ป่วยอยู่ทั่วโลก ที่รับการรักษาเต็มที่ทั้ง 3 รูปแบบ แต่ก็ยัง ต้องจบลงด้วยตาบอดในที่สุด ความคาดหวังสูงสุดของจักษุแพทย์ที่ให้การรักษา คือ ไม่ให้ ผู้ป่วยตาบอดก่อนสิ้นอายุขัยเท่านั้น

2.เกิดจากระบบไหลเวียนโลหิต ( Ocular perfusion ) ที่ไม่สามารถส่งเลือดเข้ามาหล่อเลี้ยงเซลล์และใยประสาทตาในลูกตาได้พอเพียง ทำให้เซลล์และใยประสาทตาค่อยๆตายไปเรื่อยๆ จนตาบอดในที่สุด

ฉะนั้น การรักษาผู้ป่วยด้วยการลดความดันลูกตา จึงมิใช่การแก้ปัญหาโดยตรง แต่เป็นการแก้ปัญหาทางอ้อม โดยคาดหวังว่า การลดความดันลูกตาให้ต่ำลงมากๆ จะช่วย ให้ระบบไหลเวียนโลหิต เข้ามาหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทตาในลูกตาได้มากขึ้น ซึ่งก็พอจะ ช่วยได้บ้างในรายที่มีปัญหาเซลล์ประสาทตาขาดเลือดไม่รุนแรง แต่ในรายที่มีอาการของ การขาดเลือดชัดเจน เช่น มองเห็นแสงสลัวลง มองเห็นเป็นหมอกบดบังสายตา สายตาแย่ ลงในช่วงกลางคืน การอ่านเขียนหนังสือลำบากเนื่องจากตัวอักษรมีสีจืดจางลง เห็นแสงไฟ เป็นประกายเจิดจ้าหรือสายตาใกล้บอด ผู้ป่วยเหล่านี้ แม้จะรับการรักษาด้วยการลด ความดันตาทุกวิถีทางที่จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ เช่น การใช้ยาเต็มสูตร 3 ตัว การ ผ่าตัด( Trabeculectomy ) หรือการยิงเลเซอร์ ( ALT , SLT ) แต่ในที่สุด ผู้ป่วยเหล่านี้ก็ ต้องจบลงด้วยตาบอด เพราะสาเหตุของโรคไม่ใช่เกิดจากความดันลูกตาผิดปกติ แต่เกิด จากระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติ ดังนั้น หากสามารถทำให้เกิดสภาพคล่องของการ ไหลเวียนโลหิต ( Ocular perfusion ) และปรับปรุงการระบายน้ำ Aqueous ใน ลูกตาได้ด้วย ก็จะทำให้โรคหายขาดได้ ด้วย เทคนิคการกดนวดตา ซึ่งเป็นการรักษาวิธีใหม่ที่ นพ.สมเกียรติ อธิคมกุลชัย ได้ คิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ซึ่งนอกจากจะสามารถลดความดันลูกตาได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยปรับเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปหล่อเลี้ยงขั้วประสาทตาและเซลล์ประสาทตาได้อีก ด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ผู้ป่วยโรคต้อหินและมีสายตาเลือนรางใกล้บอด เมื่อเข้ารับ การรักษาด้วยวิธีใหม่นี้ จะสามารถฟื้นสภาพสายตา กลับมามองเห็นและดำเนินชีวิตเกือบปกติได้อีกครั้งหนึ่ง( ตัวอย่างในราย คุณภัทรา แก้วเพชร อายุ 45 ปี และ คุณกิมลี้ กิจธรรมกุล อายุ 57 ปี )

การนวดตารักษาต้อหิน ยังช่วยทำลายกำแพงขวางกั้นระหว่างการรักษาด้วย การแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทย ให้สามารถประสมประสานกันเพื่อ ประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้ป่วย และยังทำให้การนวดแผนไทยเป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่อง การส่งเสริมระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกาย

หมายเหตุ การนวดตารักษาต้อหิน เป็นการรักษาเสริม ( Complementary Treatment ) โดยไม่กระทบกับการรักษาเดิมที่ใช้กันอยู่ทั่วไป หลังจากรักษาไปแล้ว 1 เดือน จะเห็นผลของการรักษาและรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสายตาในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ( การนวดตารักษาต้อหิน เป็นวิธีเดียวเท่านั้นในปัจจุบัน ที่สามารถช่วยให้สายตาฟื้นกลับมาดีขึ้นได้ ) ถึงตอนนั้น ผู้ป่วยและญาติสามารถตัดสินใจได้เอง ว่าจะรักษา 2 แนวทางควบคู่กันไป หรือจะเลิกการรักษาแบบเดิม


ที่มา : http://www.geocities.com/glaucomathai/thglo.htm
presented by : พัชรีย์ จิตตพิทักษ์ชัย

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 03, 2009, 07:19:51 AM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
isariya
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 47


« ตอบ #53 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2009, 11:24:20 PM »

พี่มดแดงคะ
 เข้ามาทบทวนความรู้ ไม่ได้จับตำรามานาน ช่วงระยะหลังนั่งหน้าคอมมากเกินไป
เริ่มรู้ตัวว่าต้องหยุดมาดูแลตนเองบ้าง ไม่งั้นสุขภาพตาต้องไปก่อนแน่ๆเลย  Cool Cool
ขอบคุณคะ
บันทึกการเข้า
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #54 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2009, 10:45:25 AM »

พี่มดแดงคะ
 เข้ามาทบทวนความรู้ ไม่ได้จับตำรามานาน ช่วงระยะหลังนั่งหน้าคอมมากเกินไป
เริ่มรู้ตัวว่าต้องหยุดมาดูแลตนเองบ้าง ไม่งั้นสุขภาพตาต้องไปก่อนแน่ๆเลย  Cool Cool
ขอบคุณคะ

หาข้อมูลให้รุ่นน้องน่ะค่ะ คุณอิสส   ให้เขาค้นเองคงแย่แน่ อาจปวดตามากขึ้น ครั้นจะอธิบายให้ฟัง คงไม่เคลียร์   ให้เขาเข้ามาอ่านเอง ดีกว่า ว่าใช่หรือไม่  แล้วตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไร  คงไม่ว่าพี่นะจ๊ะแก้ว  อายุน้อยกว่าเราตั้งแยะ อิอิ   Shocked Lips Sealed
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
sayong
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 849



« ตอบ #55 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 02:38:31 PM »

งูเขียวหางไหม้กัด (Green pit viper bites)
Mon, 01/12/2551 - 00:00 ?  
ข้อมูลของสื่อFile Name: 288-008 เล่ม: 288 เดือน-ปี: 12/2008 
ตัวอย่างผู้ป่วย
หญิงไทยอายุ 16 ปี ถูกงูกัด 30 นาทีก่อนมาโรงพยาบาล. ผู้ป่วยถูกงูกัดบริเวณนิ้วก้อยเท้าขวา หลังจากนั้นใช้หนังยางรัดบริเวณนิ้วก้อย ร่วมกับใช้ผ้ารัดบริเวณข้อเท้าขวา บิดาตีงูตาย แจ้งว่าเป็นงูเขียวหางไหม้. จากการตรวจร่างกายพบมีแผลรอยเขี้ยวขนาด 0.2 ซม. บริเวณนิ้วก้อยขวา ร่วมกับมีอาการเท้าขวาบวม และกดเจ็บ. ผลการตรวจร่างกายในระบบอื่นพบว่าปกติ ผลการตรวจเลือดพบ venous clotting time (VCT) 8 นาที จึงให้ผู้ป่วยกลับบ้านร่วมกับนัดผู้ป่วยมาตรวจเลือดซ้ำอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น. เมื่อผู้ป่วยมาตรวจตามนัด พบว่าอาการของเท้าขวาบวมเท่าเดิม ไม่มีเลือดออกผิดปกติ แต่ผลตรวจเลือดพบ VCT > 30 นาที ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ในการพิจารณาให้เซรุ่มแก้พิษงู.

แพทย์ได้ทำการทดสอบอาการแพ้เซรุ่มทางผิวหนัง โดยการเจือจางเซรุ่มในสัดส่วน 1 : 100 และฉีดเข้าใต้ผิวหนังของแขน ซึ่งหลังจากนั้น 15 นาที ก็ไม่พบมีผื่นนูนอันแสดงว่าไม่น่าจะแพ้เซรุ่มแต่ อย่างใด. แพทย์จึงเริ่มหยดเซรุ่มแก้พิษงูเข้ากระแสเลือดแก่ผู้ป่วย หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที ผู้ป่วยเริ่มมีอาการแน่นหน้าอกร่วมกับมีความดันเลือดตก และมีผื่นคันบริเวณใบหน้าอันแสดงว่า เป็นอาการแพ้ยาชนิดรุนแรง (anaphylactic shock) แพทย์ได้ให้การรักษาฉุกเฉินด้วยการหยุดให้เซรุ่มแก้พิษงูและให้สารน้ำเกลือรวมทั้งยา adrenaline ยา dexamethaxone ร่วมกับยา ranitidine ประกอบกันเพื่อการรักษาจนกระทั่งอาการคงที่. หลังจากนั้นจึงปรึกษาอายุรแพทย์เพื่อให้การรักษาต่อเนื่องและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดในหอผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลต่อไป.

งูเขียวหางไหม้กัด
งูเขียวหางไหม้เป็นงูในกลุ่มที่มีพิษต่อระบบโลหิตวิทยา อาการและอาการแสดง แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ อาการเฉพาะที่ (local symptom) และอาการทั่วไป (systemic symptom)

ลักษณะอาการบวมเฉพาะที่

   

    ได้รับพิษน้อย
     บริเวณที่ถูกกัดจะมีอาการบวม แดง หรือมีเลือดออก ณ ตำแหน่งที่มีถูกกัด ไม่มีอาการทางระบบไหลเวียนเลือด ผลการตรวจเลือดปกติ

 


ตัวอย่างผู้ป่วย
 



      ได้รับพิษปานกลาง
       จะมีอาการบวม แดง และมีเลือดออกเพิ่มขึ้น อาจจะลามข้ามข้อ 1 ชีพจรอาจจะเร็ว ความดันอาจจะต่ำเล็กน้อย แต่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต





      ได้รับพิษมาก
       มีอาการบวม แดงและเลือดออกทั้งอวัยวะส่วนนั้น เช่นทั้งแขนและขา ผู้ป่วยอาจจะมีอาการหัวใจเต้นเร็ว ความดันต่ำ หายใจเร็ว


1. อาการเฉพาะที่ : ปวดบวมชัดเจน ตั้งแต่น้อยจนถึงมาก อาจพบผิวหนังพองเป็นถุงน้ำ (blister) หรือมีเลือดออกภายในถุง (hemorrhagic bleb) ก็ได้ รอยเขียวช้ำของผิวหนังบริเวณที่ถูกกัด (ecchymosis) หรือมีเลือดซึมออกจากแผลรอยเขี้ยว บางรายอาจพบเนื้อตายร่วมด้วย. ในผู้ป่วยที่ถูกงูเขียวหางไหม้กัดบางราย อาจพบการอักเสบของท่อน้ำเหลือง (lymphangitis) หรือการอักเสบของหลอดเลือด (thrombophlebitis) ร่วมได้.

2. อาการทั่วไป : เลือดออกผิดปกติตามอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ได้แก่ เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกตามรอยแผลเขี้ยวที่ถูกกัดและรอยเขียวช้ำ อาจมีเลือดออกในกล้ามเนื้อ อาเจียนเป็นเลือด หรือปัสสาวะเป็นเลือด เป็นต้น.

กลไกการออกฤทธิ์
งูเขียวหางไหม้ออกฤทธิ์คล้าย thrombin กล่าวคือ จะกระตุ้นไฟบริโนเจนให้เป็นไฟบรินแต่เป็นเพียง fibrin monomer และไม่เกิด cross-linked fibrin ดังนั้นจึงไม่ถึงกับก่อภาวะ disseminated intravascular coagulation (DIC) ซึ่งเป็นภาวะเลือดออกผิดปกติอันเกิดจากไฟบริโนเจนถูกใช้จนหมด. นอกจากนี้พิษงูยังมีผลทำลายเกล็ดเลือด.

การประเมินความรุนแรงจากการถูกงูเขียวหางไหม้กัดดังตารางที่ 1.


 

การดูแลรักษาก่อนมาโรงพยาบาล
วัตถุประสงค์ของการรักษาเบื้องต้นก่อนมาโรงพยาบาลก็เพื่อชะลอการแทรกซึมของพิษงู และช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยญาติและผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้
1. พยายามให้อวัยวะส่วนที่ถูกงูกัดเคลื่อนไหวน้อยที่สุด เพื่อชะลอการดูดซึมพิษงูเข้าสู่ร่างกาย.
2. ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด ห้ามกรีด ตัด ดูด จี้ไฟ หรือพอกยาบริเวณแผลที่ถูกงูกัดเพราะอาจทำ ให้แผลมีการติดเชื้อได้ รวมทั้งการดูดแผลงูกัดเพื่อช่วยผู้ป่วยเองก็อาจเกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้ดูดได้เช่นกัน.
3. ใช้เชือก หรือผ้าขนาดประมาณนิ้วก้อย รัดเหนือแผลที่ถูกกัดแน่นพอให้สอดนิ้วมือได้ 1 นิ้ว (ทุก 15-20 นาที อาจคลายเชือกหรือสายรัดออกประมาณ 1 นาทีจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล) การรัดแน่นเกินไปอาจทำให้แผลบวมและเนื้อตายมากขึ้น ถ้าสามารถนำส่งโรงพยาบาลได้เร็วในเวลาน้อยกว่า 30 นาทีก็ไม่ควรรัดเหนือแผล เพราะในรายที่เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติจากการถูกงูกัด ก็อาจยิ่งทำให้แผลมีเลือดออกมากขึ้น.
4. นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด และถ้าเป็นไปได้ ก็ควรนำงูที่กัดมาด้วย อย่างไรก็ตามไม่ควรต้องเสียเวลาตามหางูแต่อย่างใด.

การดูแลรักษาเมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล
เมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล แพทย์ควรให้การดูแลรักษาเบื้องต้น ดังนี้
1. ประเมิน ABC : A (Airway), B (Breathing), C (Circulation) และให้การช่วยเหลือเบื้องต้น.
2. หลังจากประเมินผู้ป่วย และมีเซรุ่มแก้พิษงูพร้อมให้แล้ว ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเชือกรัดเหนือแผลมา ก็ควรคลายเชือกหรือที่รัดออก.
3. อธิบายให้ผู้ป่วยหรือญาติคลายความกังวล ในกรณีที่ยังไม่มีอาการให้อธิบายว่างูพิษกัดนั้น พิษงูอาจยังไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจนเกิดอันตรายทันที จำเป็นต้องติดตามสังเกตอาการ และบางรายอาจไม่เกิดภาวะผิดปกติก็ได้.
4. ทำความสะอาดบริเวณแผลที่ถูกงูกัด ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ povidine iodine.
5. ซักประวัติ ตำแหน่งที่ถูกงูกัด เวลาและสถานที่เกิดเหตุ ชนิดของงูหรือสังเกตจากซากงูที่นำมาเวลาที่ถูกกัดหรือระยะเวลาก่อนมาถึงโรงพยาบาล ระยะเวลาที่เริ่มมีอาการหลังถูกงูกัด และอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น.
6. ตรวจร่างกาย : สัญญาณชีพ (vital sign), รอยเขี้ยว (fang mark) และลักษณะแผลที่ถูกกัด ตรวจระบบประสาทในกรณีที่สงสัยงูที่มีพิษต่อระบบประสาท ตรวจหาภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น รอยเขียวช้ำ, จุดเลือดออก (petechiae) หรือเลือดออกตามส่วนต่างๆ ของร่างกายในกรณีที่สงสัยงูที่มีพิษต่อระบบเลือด.
7. ตรวจทางห้องปฏิบัติการ ดังนี้
7.1 Venous clotting time (VCT) หรือ 20 WBCT (20 minute whole blood clotting test คือการเจาะเลือด 2-3 มล.ใส่ในหลอดแก้วที่แห้งและสะอาด ตั้งทิ้งไว้ 20 นาที แล้วเอียงดู ถ้าเลือดยังไหลได้แสดงว่ามีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ).
7.2 Complete blood count และนับจำนวนเกล็ดเลือด.
8. ประเมินความรุนแรงเพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนการรับไว้รักษาในโรงพยาบาล.

การพิจารณารับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล มีข้อพิจารณาดังนี้
1. ผู้ป่วยที่มีอาการและอาการแสดงซึ่งบ่งว่าได้รับพิษเข้าสู่ร่างกาย (systemic envenoming) ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงปานกลาง หรือมาก.
2. ผู้ป่วยเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก.
3. ผู้ป่วยที่มีอาการเฉพาะที่รุนแรง เช่น บวม หรือปวดมาก.
4. ผู้ป่วยที่มีอาการแสดงทั่วไปอื่นๆ เช่น เป็น ลม หมดสติ ความดันเลือดต่ำ หรืออาการแพ้พิษงู .

การเฝ้าสังเกตอาการ ควรปฏิบัติดังนี้
1. ตรวจ VCT เมื่อแรกรับ และติดตามสังเกตว่ามีอาการเลือดออกผิดปกติหรือไม่.
2. ผู้ป่วยที่ถูกงูเขียวหางไหม้กัด ถ้า VCT นานกว่า 20 นาที ต้องรับไว้ในโรงพยาบาลหรือส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่น แต่ถ้า VCT ปกติ อาจจะสังเกตอาการที่ห้องฉุกเฉินประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วทำการ ตรวจ VCT ซ้ำ หลังจากพบว่า VCT ปกติอีกครั้ง แพทย์จึงอนุญาตให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ รวมทั้งต้องแนะนำผู้ป่วยให้มาตรวจ VCT ซ้ำวันละครั้งเป็น เวลานาน 2 วัน หรือแนะนำให้กลับมาพบแพทย์อีกหากมีเลือดออกผิดปกติหรือส่วนที่ถูกกัดบวมและปวดมาก.
3. ในกรณีที่รับรักษาผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล และ VCT ปกติเมื่อแรกรับ แพทย์ควรเฝ้าติดตามส่งตรวจ VCT ซ้ำทุก 6 ชั่วโมง เป็นเวลานาน 1 วัน จึงจะพิจารณาให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้.

การรักษา
1. ข้อบ่งชี้ในการให้เซรุ่มแก้พิษงู คือ
ก. มีภาวะเลือดออกผิดปกติตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย (แต่มีข้อยกเว้นคือไม่ให้เซรุ่มในกรณี มีปัสสาวะเป็นเลือดเล็กน้อยที่เรียกว่า microscopic hematuria).
ข. VCT นานมากกว่า 20 นาที หรือ 20 WBCT.
ค. จำนวนเกล็ดเลือดต่ำกว่า 10,000 /มล.

ขนาดของเซรุ่มแก้พิษ สำหรับความรุนแรงปานกลางจะให้ในปริมาณ 30 มล. และให้ 50 มล. เมื่อมีความรุนแรงมาก.

การป้องกันปฏิกิริยาต่อเซรุ่มแก้พิษงู
ก. การทดสอบปฏิกิริยาต่อเซรุ่มแก้พิษงูอาจไม่จำเป็นต้องทำ เนื่องจากปัจจุบันนี้เซรุ่มแก้พิษงูค่อนข้างมีความบริสุทธิ์สูง รวมทั้งการทดสอบทางผิวหนัง (skin test) เพื่อพยากรณ์ว่าผู้ป่วยจะแพ้เซรุ่มหรือไม่นั้น ไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดปฏิกิริยาแพ้ที่เกิดขึ้นจริงภายหลังให้เซรุ่ม เนื่องจากอาการแพ้เซรุ่ม เป็นปฏิกิริยา anaphylactoid จากการกระตุ้นคอมพลีเมนท์ ไม่ใช่เกิดจาก IgE.

ข. ต้องเตรียมยาแก้แพ้เซรุ่มแก้พิษงูไว้ก่อนเสมอ โดยใช้ adrenalin 1 : 1,000 ขนาด 0.5 มล. สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 0.01 มล.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. สำหรับเด็ก ฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือเข้ากล้ามเนื้อ เมื่อเกิดปฏิกิริยาแพ้เซรุ่ม นอกจากนี้ อาจให้ยาต้านฮิสตามีนร่วมด้วย.

ค. การให้ยาต้านฮิสตามีนหรือคอร์ติโคสตีรอยด์ก่อนการให้เซรุ่มแก้พิษงู ไม่สามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาแพ้เซรุ่มได้.

2. การติดตามผู้ป่วย ติดตามภาวะเลือดออก และ VCT ทุก 6 ชั่วโมง หากยังมีภาวะเลือดออก หรือ VCT ยังผิดปกติ สามารถให้เซรุ่มแก้พิษงูซ้ำได้อีก จน VCT ปกติ. หลังจาก VCT ปกติแล้วยังควรทำ VCT ซ้ำอีกที่ 24 ชั่วโมงต่อมาโดยเฉพาะในกรณีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก เนื่องจากบางรายอาจพบว่า VCT กลับมาผิดปกติได้อีก ทั้งนี้เพราะพิษงูยังคงถูกดูดซึมจากตำแหน่งที่งูกัดเข้าสู่กระแสเลือดอีกจึงจำเป็นต้องให้เซรุ่มแก้พิษงูซ้ำ.

3. การให้ส่วนประกอบของเลือดทดแทน โดยทั่วไปการให้ส่วนประกอบของเลือดทดแทนสำหรับผู้ป่วยที่มีเลือดออกผิดปกตินั้น ไม่ได้ประโยชน์เนื่องจากจะถูกพิษงูทำลายหมด. แต่ในบางรายที่มีเลือดออกรุนแรงหรือเลือดออกในอวัยวะที่สำคัญ เช่น ในกะโหลกศีรษะ หรือภาวะที่คุกคามต่อชีวิต อาจจำเป็นต้องให้ส่วนประกอบของเลือดทดแทน ร่วมกับการให้เซรุ่มแก้พิษงู ในกรณีนี้ควรต้องส่งต่อผู้ป่วยไปรับการรักษาในโรงพยาบาลที่สามารถเตรียมส่วนประกอบของเลือดได้.

การรักษาอื่นๆ ทั่วไปสำหรับผู้ป่วยงูกัด
1. ให้ผู้ป่วยพัก และเคลื่อนไหวบริเวณที่ถูกงูกัดให้น้อยที่สุด การยกแขนหรือขาให้สูงขึ้น จะทำให้อาการบวมยุบลงเร็วและปวดน้อยลง.

2. ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการบวมมาก ควรมี flow sheet ในการติดตามอาการของผู้ป่วย.

3. การดูแลรักษาแผล
ก. หากผิวหนังพองเป็นถุงน้ำ ไม่ควรดูดน้ำ เจาะถุงน้ำ หรือตัดเอาผิวหนังออก เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ยกเว้นถุงน้ำมีขนาดใหญ่ ปวดมาก หรืออาจกดทับทำให้เกิดการขาดเลือด เช่น ปลายนิ้ว ควรแก้ไขให้ VCT ปกติเสียก่อน หลังจากนั้นจึงใช้ เข็มเบอร์ 22-24 G ดูดเอาน้ำในถุงน้ำออกด้วยเทคนิค ปลอดเชื้อ ในรายที่มีเนื้อตายลุกลามก็อาจต้องพิจารณา ทำ skin graft.
ข. ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะแบบป้องกัน (prophylactic antibiotics) เนื่องจากมีหลักฐานว่าโอกาสติดเชื้อของแผลไม่แตกต่างกับผู้ป่วยที่ได้รับยาปฏิชีวนะตามข้อบ่งชี้เพื่อรักษา เช่น ในกรณีที่แผลค่อนข้างสกปรก หรือถูกกระทำการบางอย่างมาก่อน ได้แก่ เอาปากดูดพิษออก กรีดแผลมาก่อน เอาดินหรือสมุนไพรพอกแผล เป็นต้น. นอกจากนี้ ถ้ามีอาการแสดงของการติดเชื้อของแผลอย่าง ชัดเจน ควรให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย. ยาปฏิชีวนะที่เลือกให้ควรครอบคลุมทั้งเชื้อที่เป็นแกรมบวก แกรมลบ และเชื้อที่ไม่ใช้ออกซิเจนเพื่อการเจริญเติบโต (anaerobe).
ค. การป้องกันบาดทะยัก ควรฉีดวัคซีนแก่ผู้ป่วยทุกราย ตามลักษณะของบาดแผลและประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน แต่ควรระวังในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด ไม่ต้องรีบให้ทันที ควรให้เมื่อ VCT ปกติแล้ว นอกจากนี้หากแผลสกปรกมาก ควรพิจารณาให้ tetanus antitoxin ด้วย.

4. ยาแก้ปวดประเภทพาราเซตามอล ในรายที่ปวดมากอาจใช้อนุพันธ์ของมอร์ฟีนได้ และห้ามให้แอสไพริน.

5. การรักษาตามอาการและประคับประคองอาการอื่นๆ ตามความจำเป็น.

สรุป
ผู้ป่วยรายนี้ได้รับพิษจากงูเขียวหางไหม้โดยที่วันแรกตรวจเลือดพบ VCT ปกติ แต่วันต่อมาพบว่าอาการไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผลเลือด VCT > 30 นาทีซึ่งเข้าขั้นได้รับพิษรุนแรง จึงต้องให้เซรุ่มแก้พิษงู. หลังจากทดสอบทางผิวหนังว่าไม่แพ้เซรุ่มแล้ว แพทย์ได้ให้เซรุ่มแก้พิษงูเข้ากระแสเลือดแต่ผู้ป่วยกลับพบ มีอาการ anaphylaxis จากการแพ้เซรุ่ม ซึ่งโดยปกติอาการแพ้เซรุ่มเกิดขึ้นได้น้อย ทั้งนี้ เพราะเซรุ่มในปัจจุบันมีความบริสุทธิ์สูงมาก มีรายงานว่าการทดสอบ ทางผิวหนังไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการเกิดปฏิกิริยาแพ้ที่เกิดขึ้นจริงภายหลังให้เซรุ่มแต่อย่างใด.

เอกสารอ้างอิง
1. แนวทางการดูแลผู้ป่วยถูกงูพิษกัด โดย ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย, สาขาพิษวิทยา, สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย, สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย และสมาคมเลือดวิทยาแห่งประเทศไทย. Available from :URL:http:// www1.mod.go.th: 82/medweb/med/officeOfThePerment SecretaryLibrary/snakeRCPT2544.pdf
2. ผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด. แนวทางการรักษาโรคเลือดวิทยาในประเทศไทย. ธานินทร์ อินทรกำธรชัย บรรณาธิการ. กรุงเทพมหานคร : บริษัท บียอนท์ เอ็นเทอร์ไพรซ์ จำกัด, 2543: 273-80.
3. สุชัย สุเทพารักษ์,วารสารเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม ปีที่1 ฉบับที่ 1 ปี 2542 .
4. Chusana Suankratay, MD, PhD; Henry Wilde. Tetanus After White-Lipped Green Pit Viper (Trimeresurus albolabris) Bite, Wilderness and Environmental Medicine : Vol. 13, No. 4, pp. 256-261.
5. Kularatne SA. Routine antibiotic therapy in the management of the local inflammatory swelling in venomous snakebites : results of a placebo-controlled study. Ceylon Med J 2005; 50(4):151-5
6. Rojnuckarin P. Prognostic factors of green pit viper. Am J Trop Med Hyg 1998; 58(1): 22-5.
7. ยุวดี หงส์รัตนาวรกิจ. แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วย ถูกงูพิษกัด. Thailabonline-Healthsite.Available from: URL:http://www.thailabonline.com/snakebite.htm

กัลยา รุ่งเรืองวรนนท์ พ.บ.,
รพีพร โรจน์แสงเรือง พ.บ., อาจารย์
ยุวเรศ สิทธิชาญบัญชา พ.บ., อาจารย์
ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล
 

คอลัมน์: แพทย์เวร
Keyword: งูกัด
หมวดหมู่: ดูแลสุขภาพ, คุยสุขภาพ, การรักษาเบื้องต้น, กรณีศึกษา
นักเขียนรับเชิญ: พญ.กัลยา รุ่งเรืองวรนนท์
นักเขียนหมอชาวบ้าน: พญ.รพีพร โรจน์แสงเรือง, พญ.ยุวเรศ สิทธิชาญบัญชา
http://www.doctor.or.th/node/7191
บันทึกการเข้า

ฝันให้ไกลและไปให้ถึง...
ทำทุกย่างก้าวของชีวิตให้มีความสุข
linkกระทู้เก่าค่ะ http://www.goldtraders.or.th/webboard/index.php?topic=4064.0
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #56 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 10:26:01 PM »

การนวดตารักษาต้อหิน : แนวทางใหม่ที่น่าสนใจ

        ในขณะที่วงการจักษุแพทย์เชื่อว่า การรักษาต้อหินในปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้ ทำได้แต่เพียงประคับประคองและยืดอายุการมองเห็นเท่านั้น  แต่นายแพทย์สมเกียรติ  อธิคมกุลชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา  ซึ่งทำการรักษาโรคตาแก่ผู้ป่วยมากว่า 30 ปีไม่ยอมจำนน  ท่านเล่าประสบการณ์ในการรักษาโรคต้อหินในทีมงานฟังว่า

? ?วันหนึ่งมีคนไข้คนหนึ่งที่มาทำการรักษา  บอกว่าเป็นต้อหิน ตาบอดแล้วข้างหนึ่ง อีกข้างที่เหลืออยู่ก็หนักแล้ว  คนไข้คนนี้มีประกันสุขภาพที่โรงพยาบาลที่ผมอยู่พอดี หลังจากที่เขาเสียเงิน 2-3 หมื่นแล้ว  เมื่อผมได้ตรวจเช็คอาการแล้ว  ผมรู้ว่าต้องให้ยา 2 อย่าง แต่เป็นยาที่แพง ซึ่งโรงพยาบาลที่ผมอยู่นี้ไม่มี  ผมก็เลยสอนเทคนิคการนวดตาให้ควบคู่กับการใช้ยาตัวหนึ่งซึ่งโรงพยาบาลมี  เขาก็พอใจนำกลับไปทำ ทำไปทำมา อีกเดือนครึ่งต่อมา คนไข้คนนี้เขาก็บอกว่า ดีใจจังเลย ตาที่บอดเริ่มมองเห็นแล้ว จากเดิมเห็นแค่มือไหวๆ  เขาบอกว่าเริ่มมองเห็น อ่านหนังสือได้  ผมก็เอะใจ เพราะตามตำราบอกว่าคนที่ตาบอดเพราะต้อหิน ไม่สามารถกลับมาเห็นได้  เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผมก็เลยบอกว่าอย่าล้อเล่น  เมื่อเอามาทดสอบดูก็ปรากฏว่าเขาเห็นจริงๆ  จากจุดนั้นทำให้ผมคิดว่า การนวดตาคงไม่ใช่แค่ลดความดันลูกตาอย่างเดียวแล้ว  อาจจะมีอะไรที่ไปทำให้ประสาทตาฟื้นขึ้นมา ผมก็เลยไปค้นตำราต่างๆ ไปค้นในตู้ มีหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ Glaucoma ที่เขียนโดย Professor  Joseph  Flammer   เขาเขียนได้ดีมาก ใน ภาคต้นๆ เขาจะพูดถึงความรู้พื้นฐาน แต่ในภาคหลังๆเขาพูดถึงการคิดค้น การวิจัย อันนี้มันจุดประกาย มีประเด็นหนึ่งที่เขาพูดในงานวิจัย  เขาพูดถึงระบบการไหลเวียนเลือดก็เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคต้อหิน จุดนี้ทำให้ผมตั้งคำถามว่า  เป็นไปได้ไหมการนวดตามันไปเพิ่มระบบในการไหลเวียนเลือดในลูกตา?  เป็นไปได้ไหมที่ความดันลูกตาไม่ใช่สาเหตุหลักของโรคต้อหิน? แต่เกิดจากเลือดเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทตาไม่เพียงพอ?  เพราะหลังจากที่คนแรกมีอาการดีขึ้น ผมก็ลองกับคนไข้อื่นๆอีก  แต่ละคนต่างก็เข้ามาบอกว่ามันดีขึ้น  จากนั้นมา  ผมได้ลองพิสูจน์ดูโดยใช้ Magnifying contact lens  ประกบที่ผิวกระจกตา แล้วก็ส่องเข้าไปดูที่ขั้วประสาทตา  เพื่อ ลองดูว่าเวลาที่เราออกแรงกดไปที่ลูกตาจะเกิดอะไรขึ้น (รูปที่3) เห็นเลือดมันค่อยๆ พุ่งมาที่ลูกตา พุ่งแรงขึ้นเมื่อเรากด เราก็ค่อยๆ เพิ่มแรง เลือดมันก็แรงขึ้นๆ  จากเดิมเลือดที่จอประสาทตาเราจะไม่เห็นชีพจร เพราะว่ามันไหลเข้ามาแบบเอื่อยๆ พอเราใช้แรงกดเข้าไป เลือดมันเริ่มแรงขึ้น ค่อยๆมีชีพจร  แน่นอนว่ามันเพิ่มการไหลเวียนเลือด  ทำให้ผมเริ่มมั่นใจในสมมุติฐานที่ว่า  สาเหตุหลักของโรคต้อหินเรื้อรังน่าจะมาจากระบบไหลเวียนของเลือด...?

คำถามต่อไปที่ต้องค้นหาคือ  แล้วการนวดตาไปเพิ่มระบบการไหลเวียนของเลือดได้อย่างไร?   นพ.สมเกียรติอธิบายให้ฟังว่า  ระบบไหลเวียนเลือดเข้ามาในลูกตาทางด้านหลัง ในช่องทางเดียวกับเส้นประสาทตา  และช่องว่างระหว่างเส้นเลือดและใยประสาทตาแต่ละเส้นจะมีเนื้อเยื่อยืดหยุ่นที่เรียกว่า แผ่น Lamina cribrosa เชื่อมปิดเอาไว้ เพื่อไม่ให้ของเหลวในลูกตาซึมออกมา ช่วยรักษาความดันลูกตาให้มีความเต่งและคงรูปร่างของลูกตาเอาไว้ให้คงที่ ถ้าแผ่น Lamina cribrosa ขาด ความยืดหยุ่น ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากพันธุกรรมหรือการเสื่อมจากอายุขัย ก็จะเกิดการรัดตัวเส้นเลือดมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถส่งเลือดเข้ามาเลี้ยงในลูกตาได้สะดวก  และการนวดตา ส่งแรงกดจากด้านหน้าของลูกตาไปยังแผ่น Lamina Cribrosa ให้ยืดโค้งไปด้านหลัง ทำให้ช่องที่เส้นเลือดลอดผ่านแผ่น Lamina cribrosa เข้ามา ถูกขยายออก ทำให้เลือดสามารถเข้ามาหล่อเลี้ยงภายในลูกตาได้สะดวกขึ้น (รูปที่ 4 และ 5)

นพ.สมเกียรติให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า   นับถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 4 ปีที่ได้สอนเทคนิคการนวดตาแก่คนไข้ร่วมกับการรักษาที่ใช้กันอยู่ คนไข้ดีขึ้นทุกราย ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ  คนไข้สามารถทำได้ด้วยตัวเองซึ่งเมื่ออาการดีขึ้นแล้วก็สามารถลดการกินยาและหยอดตาลงไปได้ด้วย  ทำให้คนไข้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากอย่างที่เคยเป็นมา

??ผม มั่นใจว่า เรื่องระบบไหลเวียนเลือดเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการเปิดประตูบานใหม่ของการ รักษาโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีก 4-5โรคซึ่งปัจจุบันนี้ยังรักษาไม่ได้  เรื่องนี้ตำราเรียนจักษุแพทย์ไม่ได้สอนไว้ แต่จากที่ผมได้ทดลอง  ได้ค้นคว้าและพิสูจน์  ผมเชื่อว่านี่เป็นแนวทางใหม่ที่น่าจะช่วยผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น?? นพ.สมเกียรติกล่าวอย่างมีความหวัง  ท่านยังให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า  ปัจจุบันเริ่มพบว่าคนที่โรคต้อหินโดยที่ความดันลูกตายังปกติเริ่มมีมากขึ้น  ซึ่งคิดว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากการใช้คอมพิวเตอร์นานๆ  การอยู่หน้าจอทีวีนานๆ

http://www.health108.com/?p=848

 
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #57 เมื่อ: ธันวาคม 05, 2009, 10:31:49 PM »

โรคติดต่อ

งานอดิเรกยอดฮิตอย่างหนึ่ง ของชาวมนุษย์คือการสอดรู้สอดเห็น อาจพัฒนามาจากสัญชาตญาณสอดรู้สอดเห็นเพื่อให้อยู่รอดในโลกกว้าง จนกลายมาเป็นการสอดรู้สอดเห็นเพื่อความบันเทิง พูดง่ายๆ คือรู้สึกดีเวลารู้ความลับของคนอื่น!

และเมื่อบวกกับนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ก็นิยมขยายการรู้ความลับของคนอื่นให้คนอื่นๆ รับรู้ด้วย!

โบราณ บอกว่าการนินทากาเลเป็นนิสัยไม่ดีอย่างหนึ่ง แต่บัดนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า ความจริงแล้วการนินทาเกิดจากเชื้อโรคชนิดหนึ่ง เชื้อโรคพันธุ์นี้มักเกิดแถวปากและแก้วหู ทำให้เกิดอาการคันปาก อยากระบายมันออกไป ตามหลักขจัดพิษด้วยตัวเอง (self detoxfication)! โรคนี้ภาษาแพทย์ยาวมาก นิยมเรียกย่อว่า TIGER ซึ่งมีที่มาจากคุณลักษณะห้าข้อของผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้คือ


T - Talkative พูดก่อน คิดทีหลัง (อาการจะหนักขึ้นหากประกอบอาชีพนักการเมือง)

I - Immature ไม่รู้จักโต ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง

G - Garbage ชอบขลุกกับขยะ (พวกชอบดูหนัง น้ำเน่าอาจพอเข้าข่ายนี้!)

E - Eavesdropping ชอบแอบฟังเรื่องลับเฉพาะทั้งหลาย

R - Relating มีความสามารถเชื่อมโยงหลายเรื่องเข้าด้วยกันได้ (พอกล้อมแกล้มได้ว่าเป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง)


เชื้อ โรคสายพันธุ์นี้เมื่อมาถึงเมืองไทยมักจะกลายพันธุ์ มีฤทธิ์แรงกว่าเดิม ทางการแพทย์ไทยเรียก TIGER-ก (ก คือ กลายพันธุ์) ถึงไม่จัดว่าเป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่ส่งผลถึงแก่ชีวิต แต่ก็เป็นโรคที่น่ารำคาญและสมควรรักษาให้หายขาดอย่างยิ่ง

อาการของโรคนี้คือ ชอบขยายความ

ฟัง มาเรื่องหนึ่ง จะเล่าเรื่องเสริมแถมไปด้วย เช่น มีคนเล่าให้ฟังว่า นางสาว ก. สวมชุดอาบน้ำว่ายน้ำในโรงแรม และเกิดอุบัติเหตุหกล้ม ก็เล่าเสริมว่า อาจเพราะมัวแต่มองชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง

ท้ายสุดเมื่อผ่านการเล่า ไปสิบปาก เรื่องก็กลายเป็นว่า นางสาว ก. เกิดอุบัติเหตุบิกินีหลุดล้มใส่ชายหนุ่มคนหนึ่ง และเลยกลายเป็นสัมพันธ์สวาทกับนายคนนั้น ฯลฯ

ขยายความเสียจนจำเรื่องเดิมไม่ได้
และหากสำทับด้วยประโยค "จุ๊! จุ๊! อย่าบอกใครนะ" ข่าวนั้นก็ยิ่งเดินทางเร็วกว่าจรวด!


วิธีการป้องกันรักษา :

1 เลิกอ่านคอลัมน์ซุบซิบนินทา

2 ใช้หลักฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ใครเล่าเรื่องไม่ดีของคนอื่นให้ได้ยิน ก็ทิ้งมันไว้ตรงนั้น

3 หัดมองด้านดีของคนอื่นบ้าง

4 ใช้หลักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองนึกดูว่าหากเราเป็นคนที่ถูกนินทา จะเจ็บปวดเพียงใด

5 ใช้หลักสามัญสำนึก หากเรื่องที่คุณได้รับการบอกเล่าเป็นเรื่องลับของใครคนหนึ่งจริง มันก็คงเดินทางมาไม่ถึงหูคุณ

6 ใช้หลัก กรรมสนองกรรม หากคุณนินทาคนอื่นได้ คนอื่นก็นินทาคุณได้

7 เคารพการตัดสินใจการใช้ชีวิตของผู้อื่น ชีวิตใครชีวิตมัน มนุษย์สมควรมีเสรีภาพที่จะเลือกใช้ชีวิตของเขาหรือเธออย่างไรก็ได้

8 อย่าทำตัวเป็นผู้พิพากษา อย่าพยายามตัดสินคนอื่นด้วยมาตรฐานของศีลธรรม ค่านิยม หรือความเห็นส่วนตัว

ชีวิตของมนุษย์บนโลกสั้นนัก น่าเสียดายเวลาหากต้องเสียมันไปกับเรื่องที่ไม่เกิดผลอะไร

รก หู รกสมอง รกใจ เปล่าๆ "บางครั้งยังพลอยทำให้เราเสียความรู้สึกกับคนๆ นั้นไปด้วย(ทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?)"

เอ้อ! แล้วอย่าบอกใครนะ!
   
อ่าน....เล่นๆค่ะ     Cheesy Wink

บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
isariya
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 47


« ตอบ #58 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2009, 01:06:55 AM »

พี่มดแดงค่ะ
     เพิ่งจะทราบนะคะว่า มีโรคติดต่อชนิดนี้ด้วย แถมมีข้ออ้างอิงทางการแพทย์ซะด้วย  Shocked Shocked Shocked
   มันติดต่อทางไหนคะ แล้วระยะฟักตัวกี่วัน เห็นบอกแต่อาการกับวิธีป้องกันการรักษาแค่นั้น
   แล้วจะมาบอกให้อ่านเล่นๆได้ไงมันซีเรียสสสสสสนะคะเนี่ย หึหึ หัวเราะกันนะ หัวเราะกันนะ หัวเราะกันนะ หัวเราะกันนะ
                           Grin Grin Grin Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #59 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2009, 10:53:06 PM »

เทคนิคดูแลผู้สูงอายุ 'แค่รักยังไม่พอ'

พญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน
 
 
       วันนี้ทีมงานมีโอกาสได้รับบทความดี ๆ จากคุณหมอสิรินทร ฉันศิริกาญจน ผู้แต่งหนังสือ "คู่มือดูแลพ่อแม่" สำนักพิมพ์ More of Life มาฝากท่านผู้อ่านกันค่ะ ซึ่งบทความนี้ นอกจากเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือฉบับดังกล่าวแล้ว (ทางทีมงานได้รับอนุญาตจากสำนักพิมพ์แล้วค่ะ) ยังเหมาะสำหรับลูก ๆ ทุกคนที่มีโอกาสได้ดูแลพ่อแม่ เพื่อจะได้ทำความเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และทำให้อยู่ร่วมกันกับพ่อแม่วัยชราได้อย่างมีความสุขนะคะ ส่วนเนื้อหาจะเป็นเช่นไร และมีประโยชน์อย่างไรนั้น ติดตามกันได้เลยค่ะ     
       ****************** 
 
       แค่รักยังไม่พอ
     
       ลูกทุกคนปากบอกว่า "รักพ่อ รักแม่" แต่การปฏิบัติต่อท่านไม่เหมือนอย่างที่พูด บางครั้งเราก็ลืมนึกถึงใจท่าน ความต้องการของท่าน และศักดิ์ศรีของท่าน
       
       หมอเห็นญาติคนไข้บางคนบ่นว่าพ่อแม่ดูแลยากกว่าดูแลเด็กอีก หมอเห็นด้วยว่ายากกว่า เพราะจะดุหรือตีไม่ได้ ถึงแม้ท่านจะอายุมาก หลง ๆ ลืม ๆ ความสามารถถดถอยลงไป แต่อย่างไรเสียเราก็ยังต้องนึกถึงความมีศักดิ์ศรีของท่าน ไม่ควรไปบั่นทอนความรู้สึกนี้ลงไป ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ใหญ่กว่า เราต้องปฏิบัติต่อท่านด้วยความเคารพและให้เกียรติเสมอ
       
       และนี่เป็นเหตุผลให้หมอพบเสมอ ๆ ว่า ความไม่เข้าใจกันในเรื่องนี้เป็นปัญหาอุปสรรคในการดูแลผู้สูงอายุอยู่บ่อย ๆ ลูกมักบอกว่าพ่อแม่ดื้อ อยากให้พ่อแม่เป็นอย่างใจต้องการ ไม่อยากให้ท่านต้องเหนื่อย ก็บังคับให้อยู่เฉย ๆ บ้าง หรือลูกบางคนอาจตามใจมากเกินไปจนเหนื่อยใจเสียเองก็มี
       
       ลูกหลานบางคนก็ดี มีปัญหาก็มาถามหมอว่าเขาควรจะจัดการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสมอย่างไร พออธิบาย เขาก็เข้าใจนำไปปฏิบัติได้..ซึ่งมีน้อยมาก แต่ลูกหลานอีกจำนวนหนึ่งพึ่งหมออย่างเดียว คิดว่าพาผู้สูงอายุมาหาหมอแล้วหมอจะสามารถทำให้ท่านอยู่ดีมีสุข ซึ่งก็มีส่วน แต่คนสำคัญที่สุดก็คือลูกหลานซึ่งเป็นคนใกล้ชิดกับท่านมากที่สุด รู้นิสัยใจคอ มองเห็นความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับท่าน
       
       ลองเปรียบเทียบลูก 2 ครอบครัวนี้       
       ครอบครัวแรก...
       
       "ดูซิ พ่อหนูเขาต้องนอนกระดาน ปูเสื่อ ไม้ท่อนนึง ให้นอนอย่างอื่นนอนไม่ได้ ไม่หลับ มีเงินตั้งเยอะแยะ" น้ำเสียงที่พูดไม่พอใจ
       
        ครอบครัวที่สอง...
       
       เรื่องเดียวกัน ประโยคคล้ายกัน แต่น้ำเสียงที่พูดมีความอ่อนโยนแสดงความเข้าอกเข้าใจ
       
       "พ่อเขาก็นอนอย่างนั้นละครับ ผมถามเขาว่าขึ้นมานอนบนเตียงมั้ย พ่อบอกนอนไม่ถนัด ก็แล้วแต่เขาแล้วกันครับ"  [/color]     

   พ่อแม่ปู่ย่าตายายจะรู้สึกว่าถูกลูกหลานกระทบกระเทียบ หรือเข้าใจยอมรับ ก็จากน้ำเสียงและท่าทางการพูดที่แสดงออกนี่แหละ ตามหลักแล้ว การนอนพื้นกระดานอาจไม่เหมาะกับท่านนัก แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ไม่ถึงกับเสียหายร้ายแรงก็ต้องยอมให้ท่านบ้าง และรู้จักปรับไปตามสถานการณ์ แต่ก็ไม่ใช่ตามใจทุกอย่าง
       
       ปัญหาประจำบ้าน เรื่องเล็กที่ไม่เล็ก
       
       ความไม่เข้าใจกันระหว่างผู้สูงอายุและลูกหลานที่รวมรวบมาเล่าสู่กันฟังนี้ เป็นปัญหาที่พบบ่อยจากประสบการณ์ที่หมอดูแลคนไข้มาและได้พูดคุยกับญาติผู้สูงอายุ บางครั้งหมอก็ต้องดูแลใจของญาติผู้สูงอายุไปด้วย ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ทำให้ขัดแย้งกันบ่อย ทำให้เครียด ไม่มีความสุขด้วยกันทุกฝ่าย ถ้าเข้าใจกันมากขึ้น ลดการทะเลาะเบาะแว้งลง คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุจะดีขึ้น นอกจากไม่ตกอยู่ในบรรยากาศที่ตึงเครียดแล้ว ผู้สูงอายุจะให้ความร่วมมือกับผู้ดูแลมากขึ้น
       
       ขี้เกรงใจ ขี้น้อยใจ       
       หมอพบบ่อย ๆ ว่า ผู้สูงอายุมักจะไม่เอ่ยปากว่าอยากได้หรือต้องการอะไรบ้าง ดังนั้นลูกหลานต้องจัดหามาให้เอง โดยทำให้ก่อนแล้วดูว่าท่านชอบไหม ถ้าปลื้มก็คอยคอยหามาเอาใจ ของดี ๆ ที่เราตั้งใจให้ ท่านอาจจะไม่รับก็มี หมอจึงเข้าใจพวกลูกหลานที่อยากเอาใจผู้ใหญ่ว่ารู้สึกอย่างไร คนวัยคุณตาคุณยายก็มักจะเป็นแบบนี้ ถึงเราจะเสียใจหรือโกรธก็ลองพูดดี ๆ กับท่าน ว่าเราอยากให้ท่าน อยากตอบแทนพระคุณ ถ้าท่านไม่เปลี่ยนใจก็พยายามทำใจว่าท่านเป็นอย่างนี้ แล้วปล่อยผ่านไปเสียบ้าง
       
       ให้อะไรก็เก็บหมด หรือไม่ก็แจกหมด       
       เวลาลูกหลานหาของมาให้พ่อแม่ ปู่ย่าตายายก็จะเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุด จะเป็นของกินหรือของใช้ก็ตาม แต่ผู้สูงอายุมักจะเก็บของกินดี ๆ เอาไว้ใส่บาตร ถวายหลวงพ่อที่นับถือ ไม่ยอมกินเอง หรือท่านอาจจะนึกถึงหลาน ๆ ก็จะเก็บไว้ให้หลาน คนให้ก็โกรธเพราะคาดหวังว่าท่านจะได้กินได้ใช้ ไม่ใช่ยกให้คนอื่น
       
       ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องถนอมน้ำใจกันและกัน บางทีก็ต้องบอกผู้สูงอายุให้ทราบด้วยว่าลูกหลานมีความตั้งใจอย่างไร ขอให้ท่านได้กินได้ใช้ให้เขาเห็นบ้างเพื่อให้เขาสบายใจ ยิ่งมีลูกหลาย ๆ คน ของที่คนนี้ให้เอาไปยกให้อีกคน อาจทำให้คนให้น้อยใจ และเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ส่วนคนให้ ถ้าไม่อยากโกรธหรือเสียใจ เวลาให้ของท่านแล้ว จิตควรจะตั้งอยู่ที่การให้ ส่วนท่านจะนำไปทำอะไรต่อไม่ต้องคิดมาก
       
       รักคนไกลไม่รักคนใกล้
       
        ลูกคนที่ดูแลพ่อแม่ใกล้ชิดอยู่ทุกวันมักจะรู้สึกว่า พ่อแม่รักลูกคนอื่นที่อยู่ไกลตัวมากกว่า ถามว่าท่านรักคนที่อยู่ใกล้ตัวไหม ท่านย่อมรัก แต่ไม่ได้แสดงออก เวลาเราทำให้ท่าน ก็อยากได้รักตอบแทนมากเท่ากัน แต่ความรักเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ ถึงเราจะทำดีที่สุด ท่านยังแสดงออกว่ารักลูกคนอื่นมากกว่าก็ต้องทำใจ อาจทำใจยาก แต่ถ้าทำได้แล้วจะไม่เป็นทุกข์ อย่างน้อยเรากับท่านก็มีช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกัน มาเพิ่มช่วงเวลาดี ๆ เหล่านี้จะดีกว่า และคิดเสียว่า เป็นความสุขของท่าน เราควรจะดีใจ คนเป็นพ่อแม่ก็ต้องอย่าลืมว่า ลูกคนที่อยู่ใกล้คือคู่ทุกข์คู่ยาก จะชื่นชมลูกคนไกล หรือลูกสุดรักสุดโปรดก็ควรจะเบา ๆ หน่อย
       
       พ่อแม่ลูกแบบไหนทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก
       
       ผู้สูงวัยกับลูกหลานที่อยู่ใกล้ชิดดูแลกันอยู่ บางคู่ก็กังฟูไฟติ้งกันตลอดเวลา ทำให้การดูแลที่ควรจะง่ายกลับกลายเป็นเรื่องยาก ก็ด้วยลักษณะนิสัยส่วนตัวแบบนี้
       
        ผู้สูงวัยแบบ "ใหญ่" ตลอดกาล
       
       เมื่อก่อนเคยเป็นใหญ่ทั้งในบ้านและที่ทำงาน เคยเก่งนอกบ้าน อยู่บ้านก็กดดันคนอื่น ๆ บุคลิกแบบนี้จะปรับตัวกับการเจ็บป่วยได้ยาก ดังนั้นต้องหาคนที่ผู้สูงอายุชอบพอ ไว้วางใจ มาพูดมาอธิบายให้ท่านเข้าใจว่า เวลานี้สภาพร่างกายเปลี่ยนไป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาคนอื่น ท่านจะต้องทำตัวอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ พูดให้ท่านเห็นใจลูกหลานคนดูแลด้วยว่าเขาลำบากอย่างไรหากท่านไม่ยอมให้ความร่วมมือ และให้ท่านมีมุมมองว่า การปรับตัวนี้ไม่ได้เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีของตัวท่าน
       
      ผู้สูงวัยแบบปฏิเสธทุกกรณี
       
        ผู้สูงอายุบางคนชอบบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่ปวด ไม่ไปหาหมอ ไม่ตรวจ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ผู้สูงวัยลักษณะนี้ดูแลยากมาก ที่เป็นเช่นนี้เพราะกลัวลูกจะเสียสตางค์ มาเจออีกทีกลาเป็นว่า เสียน้อยเสียยากมีอาการมากแล้ว บางคนชอบพูดว่า "ฉันป่วยก็เผาฉันเลย" หรือ "แก่แล้วเดี๋ยวก็ตาย" ที่ว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ตาย ไม่ตายง่ายอย่างที่คิดสักราย เพราะฉะนั้นถ้ายอมให้ดูแลรักษาง่ายขึ้นอีกนิด ผู้สูงอายุจะไม่ต้องทรมานร่างกาย และมีโอกาสพึ่งพาตัวเองอย่างที่ต้องการได้ด้วย
       
       ลูกที่ "จัดการธุรกิจ" ลืมนึกถึงจิตใจ       
       คนไข้รายหนึ่งมานอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล มีลูกชายคนเดียว ลูกชายทำธุรกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยกว่าอยู่เมืองไทย จึงให้เงินพกติดกระเป๋าไว้มากทีเดียว ใครมาเยี่ยมกี่คนคุณยายก็แจกสตางค์ไปจนหมด ลูกชายโกรธมาก มาเยี่ยมก็ขึ้นเสียงว่า ต่อไปนี้จะไม่ให้เงินแล้ว แล้วก็กลับไปทำงาน โดยไม่รู้ว่าแม่เสียใจแค่ไหน
       
       กรณีของคนไข้อีกรายหนึ่งก็น่าสงสารเช่นเดียวกัน รายนี้อาการดีพอกลับบ้านไหว หมอบอกับคนไข้ว่าจะให้กลับบ้าน คนไข้ดีใจลุกขึ้นมาคว้าวอล์กเกอร์เดินรอบห้อง ช่วงนั้นปีใหม่พอดี ญาติมาบอกหมอว่า ขอฝากคนไข้ไว้ก่อน วันที่ 5 ค่อยมารับ ไม่ได้บอกเหตุผล รู้แต่ว่าช่วงนี้ญาติ ๆ ไม่อยู่ หมอบอกกับญาติว่าอยากให้ท่านกลับบ้าน เพราะอยู่ที่นี่หลายวัน กลางคืนท่านจะนอนน้อย ก็ตกลงวันกันใหม่ ลูกบอกแม่ว่าจะมารับวันที่ 3 แม่ลงไปนอนเตียงไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย
       
       ลูก ๆ ประเภทนี้ ถ้าหมอบอกว่าคุณยายเศร้า เขาก็จะบอกหมอให้ยาต้านเศร้า แต่จริง ๆ แล้วท่านต้องการการดูแลเอาใจใส่ทางด้านจิตใจมากกว่า
       
       คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุที่บรรจุอยู่ในหนังสือเล่มนี้ด้วย คงเป็นอีกตัวอย่างที่ดีค่ะ
       
       "ไม่มีลูกหมาลูกแมวตัวไหนที่ทำให้พ่อแม่ของมันน้ำตาตก แต่ลูกคน ทำไมมันมีมากนักเล่า"

http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9520000146082

 
 
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 9   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: