Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 9   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: นานาสาระ ... แต่ไม่ไร้สาระ เก็บมาฝาก.....  (อ่าน 28881 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #30 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2009, 10:29:30 AM »

คุณมดแดงค่ะ
 ได้อ่านเรื่องลืมกุญแจไว้ในรถ ลองทำดูแล้วไม่ได้ผลเลยค่ะ สงสัยรถเรารุ่นโบราณเกินไปซะก็ไม่รู้
 แค่เอาไปทดลองใช้ดูตามบทความ เลยมาเล่าสู่กันฟังไม่ได้มาค้านอะไรนะคะ ขอบคุณคะสำหรับสิ่งดีดีที่นำมาแบ่งปัน
 Smiley Wink Cheesy Grin Tongue Tongue Kiss หัวเราะกันนะ เทวดา sleepy


ขอบคุณนะคะ ไปถามผู้รู้ให้  ระหว่างนี้รอผู้เชี่ยวชาญค่ะ
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #31 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2009, 10:38:15 AM »

   พอ. สังสิทธิ์ วรชาติกุล
กองเภสัชกรรม รพ. ค่ายสุรศักดิ์มนตรี ลำปาง


                                              การกินยาก่อนอาหาร  หลังอาหารนั้นสำคัญไฉน

 การที่จะทราบว่าการกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารสำคัญอย่างไรนั้นเราต้องทราบก่อนว่าขั้นตอนที่ยาจะไปออกฤทธิ์นั้นเป็นอย่างไร เวลาเรากินยาเข้าไป ถ้าเป็นยาเม็ดหรือแคปซูล ยานั้นจะแตกออกเป็นส่วนเล็ก ๆ ก่อน แล้วละลายในน้ำ ซึ่งอยู่ในกระเพาะและทางเดินอาหาร หลังจากนั้นก็จะถูกดูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหาร เข้าสู่กระแสเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายต่อไป แต่ถ้าเป็นยาน้ำขบวนการนี้ก็จะเร็วขึ้น

    ยาจะออกฤทธิ์เมื่อได้เข้าไปอยู่ในกระแสเลือดแล้ว และต้องมีปริมาณสูงพอด้วย อาหารบางอย่างมีผลต่อการดูดซึมของยา ยาบางตัวก็มีผลต่อกระเพาะอาหาร เช่น ทำให้เกิดการระคายเคือง ดังนั้น การกินยาก่อนหรือหลังอาหาร จึงมีความสำคัญขึ้นกับว่าต้องการผลการของยาในแง่ใด ปกติเมื่อกระเพาะมีอาหารอยู่เต็ม ยาจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้น้อยกว่า และใช้เวลามากกว่าเมื่อกระเพาะว่าง

    จากที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเรากินยาก่อนอาหารทันที, หลังอาหารทันที หรือกินยาพร้อมอาหาร จะมีความหมายแทบจะไม่แตกต่างกัน ซึ่งถือว่ากินยาในห้วงเวลาที่กระเพาะอาหารไม่ว่างเหมือนกัน ดังนั้นเราจะกำหนดเวลาไปด้วยว่ากินก่อนอาหารหรือหลังอาหารนานเท่าใด จึงจะได้ผลตามที่ต้องการ
    จะขอแบ่งวิธีการกินยา ประกอบเหตุผล พอเป็นสังเขปดังนี้

    กินก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง

    เพราะเราต้องการให้ได้รับยาขณะที่ท้องว่าง เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีที่สุด ยาพวกที่ต้องกินแบบนี้ได้แก่ เพนนิซิลลิน, แอมพิซิลิน, ไรแฟมพิซิล เป็นต้น บางทีเราก็ต้องการให้ยาออกฤทธิ์ก่อนอาหารตกถึงกระเพาะ (จะกินก่อนอาหารนานเท่าใดขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกินจนถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์ ซึ่งยาแต่ละตัวจะแตกต่างกันบ้าง) เช่น ยาที่ลดการเกร็ง หรือบีบตัวของกระเพาะและทางเดินอาหารคนที่เป็นโรคกระเพาะนั้นมักจะปวดท้อง เมื่ออาหารตกไปถึงกระเพาะ เพราะอาหารเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะลำไส้บีบตัวมากขึ้น จึงต้องให้ยาออกฤทธิ์ ลดการบีบตัวของกระเพาะลำไส้ โดยกินยาก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์พอดีเวลาอาหาร ซึ่งจะบรรเทาอาการปวดท้องได้ ยังมียาที่กระตุ้นให้เกิดการอยากอาหาร ก็ต้องกินก่อนอาหารประมาณ 1/2 ชั่วโมง พอยาออกฤทธิ์ จะกินอาหารได้มากขึ้น

    กินหลังอาหารทันที = กินก่อนอาหารทันที = กินพร้อมอาหาร

    ยาบางตัวหากกินตอนท้องว่างจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารมาก ทำให้คลื่นไส้อาเจียน แต่ถ้ากินพร้อมอาหารจะช่วยลดการระคายเคืองได้ ยาพวกนี้ได้แก่ ยาแก้ปวดชนิดต่าง ๆ เช่น แอสไพริน, ยาแก้ปวดข้อ เช่น เพนนิลบิวทาโซน, ไอบูโปรเฟน, อินโดเมดทาซิน เป็นต้น นอกจากกินพร้อมอาหารแล้วยาที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น แอสไพริน การกินน้ำตามมาก ๆ เพื่อไปเจือจาง หรือลดความเป็นกรดให้น้อยลง ก็ช่วยลดการระคายเคืองได้

    กินยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง

    ยาบางชนิดจะออกฤทธิ์นาน เมื่อกินหลังอาหาร เช่น ยาลดกรดซึ่งมีผู้ทดลองได้ผลว่า ถ้าให้ยาในขณะที่ท้องว่าง ยาจะออกฤทธิ์นานประมาณ 30 นาที แต่ถ้าให้ยาหลังอาหาร 1 ชั่วโมง ยาจะออกฤทธิ์นาน 4 ชั่วโมง ดังนั้นจึงกำหนดให้กินหลังอาหาร 1 ชั่วโมง
    ไหน ๆ ก็พูดถึงยาก่อนอาหาร, หลังอาหาร, พร้อมอาหารมาแล้ว ขอพูดถึงยากินก่อนนอนสักเล็กน้อย ยาบางชนิดกินแล้วทำให้ง่วงมึนงง เช่น ยาคลายกังวล, ยาแก้แพ้ซึ่งเป็นส่วนผสมของยาแก้หวัด ลดน้ำมูก จึงควรกินก่อนนอน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ปลอดภัยในขณะทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร หรือขับรถในเวลากลางวันแล้ว ยังทำให้หลับได้อย่างสบายในเวลากลางคืนอีกด้วย
    จึงขอสรุปได้ว่า จะกินยาก่อนอาหาร หรือหลังอาหารขึ้นกับวัตถุประสงค์ในการให้ยานั้น ๆ ออกฤทธิ์ให้ได้ผลมากที่สุด มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ส่วนจะก่อน - หลังนานเท่าใดนั้น ขึ้นกับเวลาตั้งแต่เริ่มกินยาจนถึงเวลาที่ยาถูกดูดซึมเข้าผนังทางเดินอาหารหมด หรืออาจเลยไปถึงเวลาที่ยาออกฤทธิ์แล้วแต่ว่าเราต้องการผลอันไหน
    คงจะเห็นแล้วว่า เวลากินยาก่อนหรือหลังอาหารมีความสำคัญเพียงใด ดังนั้นเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด ผู้ป่วยควรกินยาตามเวลาที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ผลดีก็จะตกอยู่กับตัวของผู้ป่วยเอง
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #32 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2009, 09:59:12 PM »

สำหรับท่านที่ยังไม่ทราบค่ะ....

clean msn virus  

http://www.beartai.com/webboard/index.php?topic=46444.0


รวมมิตรโปรแกรมแก้ไขปัญหาที่เกิดจากไวรัส

http://www.beartai.com/webboard/index.php?topic=58282.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 18, 2009, 10:07:08 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #33 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2009, 08:31:08 AM »

เที่ยวนอกบ้าน อย่าไว้ใจ "ห้องน้ำสาธารณะ

ขึ้น ชื่อว่า "ห้องน้ำสาธารณะ" ไม่ว่าใครก็สามารถใช้ได้ จึงเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สะท้อนได้จากผลสำรวจของกรมอนามัยเมื่อปี 2547 และ 2549 ได้ผลตรงกันว่า จุดอันตรายที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์ม ต้นเหตุโรคอุจจาระร่วง อันดับ 1 คือ
       
       บริเวณที่จับสายฉีดชำระ พบร้อยละ 85.3 จุดที่ 2 คือ บริเวณพื้นห้องส้วม พบร้อยละ 50 จุดที่ 3 คือ ที่รองนั่งส้วมแบบนั่งราบ หรือโถนั่งชักโครก พบร้อยละ 31 ซึ่งเชื้อโรคที่พบ เป็นการปนเปื้อนจากอุจจาระ นอกจากนี้ยังมีจุดเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อโรคอีก 4 จุด คือ ที่กดน้ำทำความสะอาดในห้องส้วม ก๊อกน้ำ ลูกบิดประตู และอ่างล้างมือ
       
       เพื่อให้ทุกครอบครัวที่ไปเที่ยวนอกบ้าน และจำเป็นต้องใช้ห้องน้ำสาธารณะ โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมย่อยในครั้งนี้ ได้ระวัง และรู้วิธีป้องกันอย่างรู้เท่าทัน ทีมงาน Life and Family จึงขอนำความรู้เรื่องการใช้ห้องน้ำสาธารณะมาฝากให้อ่านกันครับ
                                                                           
ความ ชัดเจนในประเด็นนี้ ทีมงานได้ความรู้จาก "นพ.เชิดพงษ์ ชินวุฒิ" สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช สาทร-คอนแวนต์ว่า ห้องน้ำสาธารณะ เป็นสถานที่รวมเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสปนเปื้อนจำนวนมาก เพราะเป็นที่ขับถ่ายสิ่งปฏิกูล และมีผู้ใช้ต่างหน้า และต่างถิ่นหลายคนมาใช้รวมกัน ซึ่งอาจไม่ทราบมาก่อนว่า ผู้ใช้บริการก่อนหน้านี้ มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายมากน้อยแค่ไหน โดยเชื้อโรคที่ว่านี้ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
       
       เชื้อ ในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เชื้อหนองใน เชื้อเริม เป็นต้น และเชื้อที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร เช่น เชื้ออุจจาระร่วง เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด เอ เป็นต้น ซึ่งเชื้อพวกนี้อาจแฝงอยู่ตามจุดต่างๆ ของห้องน้ำ เช่น ชักโครก อ่างล้างมือ หรือแม้กระทั่งลูกบิดประตู แต่โอกาสที่จะติดเชื้อพวกนี้จนทำให้เกิดโรค หรือเป็นอันตรายได้นั้น ขึ้นอยู่กับว่ ได้สัมผัสกับเชื้อดังกล่าวในปริมาณที่มากพอหรือไม่ ถ้ามากพอ อาจทำให้เกิดโรคได้ โดยซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่มีแผล หรือรับเข้าทางปาก
       
       อย่างไรก็ดี ?น.พ.เชิดพงษ์? ได้แนะนำวิธีปฏิบัติตัวแบบง่ายๆ เพื่อป้องกันการรับเชื้อโรคจากการเข้าห้องน้ำสาธารณะ ให้ฟังดังนี้
       
       1. ใช้เวลากับการทำกิจธุระในห้องน้ำสาธารณะให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
       
       2. ถ้าจำเป็นต้องใช้ชักโครก เลือกที่ดูสะอาด (ถ้ามีให้เลือก) ทำความสะอาดที่รองนั่งด้วยกระดาษทิชชูสักหน่อย แล้วจึงใช้งาน ไม่ต้องถึงกับใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เพราะมันอาจจะดูลำบากไปหน่อย
       
       3. เมื่อเสร็จกิจธุระแล้วต้องล้างมือทุกครั้ง เพื่อไม่ให้มีเชื้อโรคติดมากับมือของเรา ซึ่งบางคนอาจจะละเลย เนื่องจากรีบ หรือด้วยสาเหตุอื่นๆ


       ถึงกระนั้น เพื่อป้องกัน และระวังให้มากขึ้น การปลูกฝังลูก ให้ใช้ห้องน้ำสาธารณะอย่างปลอดภัยนั้น ควรเริ่มสอนลูกตั้งแต่ การเปิดปิดประตู ซึ่งวิธีที่จะสัมผัสได้น้อยที่สุด คือการใช้ข้อศอก หรือใช้สันหลังผลักเข้าไป ซึ่งบางห้อง ประตูอาจไม่ได้ปิดแน่น หรือปิดสนิท
       
      จากนั้นเมื่อถึงขั้นตอนในการเข้าใช้ ให้ทำความสะอาดโถส้วมเบื้องต้น ด้วยน้ำ หรือทิชชูก่อน รวมทั้งบอกลูกว่า ไม่ควรขึ้นไปเหยียบโถส้วม (ส้วมที่เป็นชักโครก) โดยอธิบายให้ลูกฟังว่า ถ้าขึ้นไปเหยียบบนโถส้วม เวลาคนใช้หลังจากเรา อาจติดเชื้อที่มาจากรองเท้าของเรา หรืออาจทำให้ชักโครกหัก จนเกิดอันตรายได้
       
       ส่วนของการชำระล้าง ซึ่งในส่วนของปัสสาวะนั้น เด็กผู้ชายคงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง ที่ต้องใช้น้ำในการทำความสะอาด อาจต้องระวังเป็นพิเศษ กล่าวคือ ถ้าเป็นสายฉีดไม่ควรให้หัวฉีด เข้ามาใกล้ส่วนที่จะทำความสะอาดให้มากนัก ควรอยู่ในระยะห่างที่พอดี
       
       แต่ถ้าเป็นน้ำในลักษณะตักใช้ ไม่แนะนำให้ตักน้ำในส่วนที่มีอยู่ในถังเดิม แต่ควรให้รองจากก๊อกโดยตรง เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจสะสมอยู่ในถังน้ำได้ เนื่องจากคนบางคนมีนิสัยมักง่าย ชอบล้างมือ หรือเอาสิ่งของไปจุ่มทำความสะอาด จากนั้นหลังเสร็จภารกิจ ให้ราด หรือทำความสะอาดด้วยทุกครั้ง และอย่างที่คุณหมอได้บอกไปข้างต้นเวลาออกจากห้องน้ำทุกครั้ง ควรล้างมือให้สะอาด โดยใช้สบู่เหลว (ถ้ามี) ทุก
ครั้ง
       
       ?ห้อง น้ำสาธารณะ? ถือเป็นสถานที่จำเป็น สำหรับบางครอบครัวที่ต้องออกเดินทางไกล หรือชอบเดินเที่ยวตามศูนย์การค้า ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง และใส่ใจในการใช้ห้องน้ำประเภทนี้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะเจ้าตัวน้อย ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักวิธีการใช้ห้องน้ำให้ถูก และปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อสร้างสุขลักษณะนิสัยในการใช้ห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวเขา และผู้ใช้คนอื่นๆ ที่ใช้ห้องน้ำต่อไป   
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #34 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2009, 08:13:33 AM »

บทความดีๆสำหรับเพื่อนแท้

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง


คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น

ในโลกกลมๆใบนี้ไม่มีคำว่าแน่นอน
คนเราเมื่อม้าตายก็ต้องลงเดิน
ท้อแท้ได้แต่อย่าท้อถอย
อิจฉาได้แต่อย่าริษยา
พักได้แต่อย่าหยุด

หตุผลของคนคนหนึ่งอาจไม่ใช่ของอีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ
ปัญหาทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น


จะเห็นคุณค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือการคาดหวัง
เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ถ้าไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน

ไม่มีคำว่าบังเอิญในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่าตั้งใจ
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใส
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางน่ะได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง


เมื่อวานก็สายเกินแก้
พรุ่งนี้ก็สายเกินไป

อย่าหวังว่าจะได้รับความรักจากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรักไม่ได้รักคุณหมดทุกคน

เพื่อนทั่วไปไม่เห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไปถือขวดไวน์ติดตัวมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไปคาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณ ตลอดไป
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #35 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2009, 08:44:30 AM »

Smiley  100 ข้อคิดสั้นๆ โดนใจ นำไปใช้ได้จริง ดีจริงๆ...    Smiley


บางครั้งการใช้ชีวิต ก้อไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอ ไป เราจำเป็นต้องมีหลักยึดเตือนใจ เพื่อให้อยู่ในสัวคมอย่างสงบสุข และสง่างาม ไม่เว้นเเต่จะเป็นการปฏิบัติต่อคนที่เราคิดว่าเป็นเพ ื่อน เพื่อเป็นการรักษามิตรภาพให้ยืนยาว อีกทั้งยังเป็นการคบกันด้วยความจิงใจ ช่วยเหลือกันในยามมีความทุกข์ ในยามสุขก็แบ่งปันให้กันด้วยความจิงใจ

หากใครบอกว่า โอ้โหตั้ง 100 ข้อเชียวหรอ แต่ขอบอกว่าลองศึกษาดูก่อน มันไม่มากไม่มายและยากเย็นเกินไปที่เราจะปฏิบัติเลยจ ริงๆ

1.เอาใจเขามาใส่ใจเรา
2.เชื่อมั่นตัวเอง
3.อย่ามองคนที่หน้าตา
4.กล้าคิด พูด และทำ
5.เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น
6.และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย
7.อย่าโกหกกับเรื่องที่คุนคิดว่าผิด
8.ไว้ใจบุคคลที่สมควรไว้ใจ
9.เปิดใจให้กว้าง
10.มองการณ์ไกล
11.วางแผนอนาคต
12.อย่าโทษตัวเอง
13.มีความรับผิดชอบ
14ตอบแทนเมื่อได้รับ
15.ให้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากได้และไม่มี
16.อย่าใช้อารมณ์ แต่จงใช้ความคิด
17.คิดถึงส่วนรวมให้มาก
18.ดูแลตัวเองให้เป็น
19.รู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี
20.อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า
21.อย่ารู้ค่าสิ่งที่อยู่กับเราต่อเมื่อเราสูญเสียไป แล้ว
22.จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร
23.ที่ทำอยู่มีผลดี ผลเสีย มีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์
24.อย่าวัวหายแล้วล้อมคอก
25.ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น
26.อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตนเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน
27.คนไม่ผิดคือคนที่ไมม่เคยทำอะไร
28.ได้หน้าอย่าลืมหลัง
29.คุนไม่ใช่พระเจ้า อย่าคิดซ่อมความรู้สึก แต่จงวางแผนที่จะดูแลมันไม่ให้เสีย
30.อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์ผ่านๆ
31.อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง
32.รู้จักแบ่งเวลา และหน้าที่
33.ทำประโยขน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง
34.อย่าเห็นแก่ตัว
35.อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
36.อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันไ ด้
37.กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุนเอง
38.เพื่อนไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันก้อคุยกันได้
39.อย่าคิดว่าเขาไม่โทร.มา ถ้าคุนก้อไม่เคยโทร.ไป
40.จง เป็นฝ่ายให้มากกว่าเป็นฝ่ายรับ
41.ดูแลบิดามารดาให้ดี คุนมีโอกาศ รีบทำซะก่อนที่จะไม่มี
42.อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา แต่คุนสามารถทำมันใหม่หรือเรียนรู้จากมันได้
43.คำพูดเมื่อพูดไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับมาได้ ดังนั้น คิด ก่อนพูด
44.อย่าทุ่มเทในสิ่งที่ไร้ประโยชน์
45.คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้ที่จะพูด
46.ชีวิตไม่ใช่เกม พลาดแล้วไม่สามารถเริ่มใหม่หรือกดโหลดได้
47.หาจุดหมายให้กับชีวิต
48.เครียดได้ แต่เครียดให้เป็น
49.ถ้างง เขียนหนังสือได้ แต่เขียนให้เป็นภาษา
50.วันๆหนึ่งคุนทำอะไรบ้าง ที่ไม่ใช่ กิน นอน เล่น
51.ไม่มีหมอคนไหนรอให้คนไข้จะตายแล้วค่อยช่วยหรอกนะ
52.เพื่อนคุนก้อเช่นกัน อย่าปล่อยให้เขาเครียดจนจะตายแล้วถึงไปถามหรือดูแล
53.ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง
54.คุนซื้อนาฬิกาได้ แต่คุนไม่สามารถซื้อเวลาได้
55.ตอนนี้มีใครคอยคุนอยู่รึเปล่า ถ้ามีกลับไปหาซะ
56.ตอนนี้คุนคอยใครอยู่รึเปล่า จะคอยอย่างนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ทำอะไรซะบ้าง
57.อย่ากล่าวคำขอโทษบ่อย มีอะไรดีๆตั้งหลายอย่างที่ทำแล้วไม่ต้องตามไปขอโทษ
58.ตอนคุนลำบากคุนคิดถึงใคร คุนอยากให้ใครช่วยเหลือ
59.ตอนนี้คนกำลังสบายอยู่ แล้วคนที่คุนเคยขอความช่วยเหลือล่ะ หมดประโยชน์แล้วหรือ
60. ไม่ใช่ แล้วไง ต้องให้บอกต่อมั้ย
61.ทำอะไรก้อได้ให้ตัวเองมีความสุข แต่อย่าบนทุกข์ของคนอื่น
62.ตอนที่คนกำลังอ่านประโยคนี้ จงจำไว้ว่าคุนเป็นมนุษย์ และยังมีชีวิตอยู่
63.ใครเป็นคนทำให้คุนมีชีวิต ตอบแทนเขาบ้างหรือยัง
64.ไม่ต้องรอให้ถึงวันพิเศษใดๆ แค่เข้าไปบอกเขาว่ารักก้อเพียงพอแล้ว
65.อย่ารอให้ถึงวันกิดเพื่อน ถึงจะได้คุยกันหรือให้ของขวัญกัน
66.ไม่มีกฏหมายข้อใดห้ามให้ของขวัญในวันธรรมดา
67.ถ้าเป็นคุนอยู่ดีๆมีเพื่อนเอาขนมมาให้ คุนจะรู้สึกดีมั้ย หรือดูที่ราคาขนม
68.เหล้าทำให้คุนลืมได้ตอนเมาแอ๋ แต่เพื่อนแท้ทำให้คุนลืมเรื่องร้ายๆได้ตลอดชีวิต
69.อย่าคิดว่าตนเองไม่มีเพื่อนหรือไม่มีใคร อย่างน้อยๆถ้าคุนได้อ่านข้อความนี้ จงรู้ไว้ว่าคุนยังมีคนพิมพ์คนนี้อีกคน
70.อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนโชคดีที่สุด
71.อย่าพูดว่าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ถ้า งั้นคุนก้อไม่รู้เรื่องของเขาเช่นกัน
72.เหนื่อยนักก้อหยุดพักซะบ้าง
73.อย่าคิดว่าคนดีไม่มีในสังคม เพราะคุนก้อเป็นคนเพียงแต่คุนยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่า ง
74.ปริศนาในเกมคุนแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุนแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปอยู่ในตัวคุน
75.คุนมองเพชรที่ความงามภายในหรือป้ายราคาภายนอย
76.ถ้าคุนกินอาหารเหลือ ลองนึกถึงเด็กที่ไม่มีอันจะกิน
77.มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนอยู่ในหนังสือ ลองค้นคว้าดูจะรู้
78.ลูกธนูที่ถูกปล่อยจากหน้าไม้ อันตรายน้อยกว่าหอกที่เเทงมาจากข้างหลัง
79.การถูกหักหลังเป็นสิ่งที่เจ็บปวด อย่าให้มันเกิด
80.ทำยังไง ต้องให้ขโมยขึ้นบ้านก่อน ถึงไปดูรั้วบ้านใช่มั้ย
81.ทำใจกับสิ่งต่างๆล่วงหน้าไว้บ้างก้อดี
82.จะยกตัวอย่าง สมมติคนที่คุนรักจากไปตอนนี้ คุนคิดว่า คุนทำอะไรให้เขาบ้างหรือยัง
83.อย่าตอบว่าทำยังไงก้อตอบแทนไม่หมด ขอถามว่าทำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
84.คุนทำใจได้แล้วหรือถ้ามันเกิดอะไรขึ้น คุนไปร้องไห้ข้างโลงศพ ยังไงเขาก้อไม่ฟื้นมาได้ยินหรอกนะ
85.ตัวคุนมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุนรุ้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า
86.หัดคุยกับตัวเองซะบ้าง แล้วจะรู้ว่ามีอะไรอีกมากมายที่คุนยังไม่รู้
87.ร่างกายใช้มากี่ปีแล้ว เคยดูแลมันบ้างรึเปล่า หรือเอาไว้เพื่อให้วิญญาณมีที่สิงสถิต
88.การใส่เสื้อสวยๆไม่ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นหรอกนะ ที่ดีขึ้นคือบุคลิกต่างหาก
89.หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง อดีตเราลืมไม่ได้แต่เลิกคิดได้
90.ลองทำอะไรบ้าๆบ้างก้อดี อย่ายึดติดนักเลย
91.ผู้พิมพ์ไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย ไม่ได้มาโชว์ว่าตัวเองอวดรู้ แต่อยากให้คุนได้รุ้อะไรไว้บ้างก้อดี
92.สิ่งที่คุนปล่อยผ่านๆ ไปในชีวิตหรือเรื่องคุนเห็นว่าไม่สำคัน กลับมาดูเเลตรงนั้นบ้างก้อดี
93.อย่าไว้ใจใครเกินไป ไม่ได้สอนให้ระแวงไม่ไว้ใจใคร แต่ระวังไว้บ้างก้อดี
94.อย่าตามเพื่อนนัก กินเหล้ากิน เล่นไพ่เล่น เที่ยวหญิงเที่ยว
95.ยาเสพติดทุกชนิด อย่าคิดจะลองเด็ดขาด
96.อย่าทำตามเพื่อนเพราะเพื่อนทำกันหมด ร่างกายเขากับร่างกายเรา แน่นอนจิตใจก้อเหมือนกัน
97.ผู้ชายยังไงก้อคือผู้ชาย ผู้หญิงยังไงก้อคือผู้หญิง
98.บางครั้งการอยู่คนเดียวก้อไม่ได้เลวร้ายเมอไป
99.ไม่มีมิตรถาวรและศัตรูที่เเท้จริง
100.จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเราเอง คนที่เรา รัก และคนที่อยู่รอบกายเรา
บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
Aim
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8


« ตอบ #36 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2009, 09:55:12 AM »

 Grin จะทำได้ สักเท่าไหร่  นะ ตัวเรา  Shocked Shocked Shocked

สาระวันหยุด อ่านเพลินๆ  ดีจัง  Thanks....หลาย  Cool
บันทึกการเข้า
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #37 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2009, 06:23:19 PM »

ขอขอบคุณ คุณ nokeang ที่นำข้อมูลดีๆมาให้ค่ะ  Grin

 เย็นนี้ขอเป็นแนวธรรมะนิดๆ

 'คิดถูก-ชีวิตสุข' ธรรมะจาก 'พระมิตซูโอะ' ถึงทุกคู่ชีวิต  
.
 
 
       สำหรับชีวิตคู่ คงจะดีไม่ใช่น้อย ถ้าคนสองคน สามารถอ่านใจของกันและกันได้ แต่ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น หรือทำให้ชีวิตสะดุดน้อยที่สุด หลายสัปดาห์ก่อน ทีมงาน Life and Family ได้เดินทางไปปลูกกล้วย คืนอาหารให้ช้างป่า ณ วัดสุนันทวนาราม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
      
       ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ทีมงานได้นั่งร่วมฟังสนทนากลุ่ม กับพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก เจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม และได้รับหนังสือจากพระอาจารย์หลายเล่ม หนึ่งในนั้น คือ "คิดถูก ดับทุกข์ได้" และเห็นว่า ในเล่ม มีหลักคิดที่จะสามารถนำมาปรุงแต่งชีวิตรักให้กลมกล่อมได้ ทีมงานจึงยกข้อคิดจากหนังสือเล่มนี้ มาให้ท่านผู้อ่านได้นำไปประยุกต์ใช้กันครับ
      
       *** ชีวิตคู่ คือ อาหาร 2 อย่างที่ต่างกัน
      
       เป็นไปได้ง่ายว่า เมื่อชีวิตต้องโคจรมาอยู่คู่กัน อารมณ์ ความรู้สึก และทิฐิต่างๆ ย่อมไม่เหมือนกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อรู้ถึงความต่าง จึงต้องระวังความรู้สึก ความคิด และเข้าใจธรรมชาติที่แตกต่างด้วย
      
       พระอาจารย์มิตซูโอะ เขียนบอกไว้ว่า คนแต่ละคน เหมือนอาหารแต่ละชนิด ที่มีรสชาติ และอุปนิสัยที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ชอบ หรือไม่ชอบ เป็นอารมณ์เฉพาะของตัวเอง ไม่ใช่ตัวเองชอบ ก็ถือว่าสิ่งนั้นดี หรือถ้าไม่ชอบ ก็ถือว่าไม่ดีเสมอไป ดังนั้น อย่าเอาความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบมาตัดสินว่า เขา/เธอ ดีหรือไม่ดี เพราะนั่นอาจกระแทกให้ชีวิตคู่เกิดรอยร้าวขึ้นได้ง่าย                                                    
                                                                                                                    
                                    
*** โกรธเขา เขาไม่รับ เราต้องรับเอง
      
       บางครั้ง ชีวิตคู่ อาจมีเรื่องที่ทำให้ใครคนใดโกรธได้ พระอาจารย์บอกว่า ถ้าเขา หรือเธอทำผิดจริงๆ ซึ่งถ้าคิดเป็น ความโกรธนั้นก็จะหายไป กระนั้น ไม่ว่าคู่ชีวิต จะทำแก้วแตก พูดไม่เพราะ ขี้เกียจ ไม่ช่วยงาน ควรลดความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ เพราะมันเป็นความผิดของเขา อย่าเอามาเป็นความผิดใจ หรือทำลายใจของเรา แต่ขอให้คิดเสียว่า โกรธเมื่อไร ผิดทันที เพราะสมมติว่า เขา หรือเธอทำแก้วแตกโดยความประมาท ถ้ายิ่งโกรธ ใจก็จะเป็นทุกข์ตามไปด้วย
      
       สำหรับกรณีบางคน ที่เมื่อมีความโกรธ มักจะมีนิสัย ?ไม่ถูกใจหน่อยก็บ่น บ่นไปเรื่อย? จนคนรอบข้างเกิดความรำคาญ ซึ่งตรงนี้ อันตรายมาก ทางที่ดี ขอให้ถามตัวเองก่อนว่า ถ้ามีใครบ่นกับเราแบบนั้นบ้าง เราจะชอบหรือไม่ แล้วเมื่อบ่นแล้ว ตัวเราสบายใจ หรือไม่สบายใจ
      
       ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ควรเข้าใจปัญหา และงดใช้อารมณ์จนเกิดรอยร้าว เพราะบางคน นอกจากจะบ่นอย่างเดียวแล้ว ชอบขุดเรื่องในอดีตมาพูดพร่ำ นิสัยตรงนี้อาจนำมาซึ่งการไม่อยากเข้าหา หรือไม่อยากอยู่ใกล้ด้วยของคู่ชีวิต เนื่องจากสิ่งที่พูด บางครั้งทำร้ายจิตใจไม่ใช่น้อย
      
       อย่างไรก็ดี พระอาจารย์เขียนแนะว่า ไม่ว่าคู่เรา จะทำให้โกรธ ควรตั้งสติ หยุดคิดก่อน และให้คิดทวนกระแส อย่าคิดตามอารมณ์ เช่น ไม่ควรคิดว่า ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ เพราะถ้ายิ่งคิด ก็จะเกิดการปรุงแต่ง จนเกิดภาพ เกิดชาติ และเกิดอัตตาตัวตนได้
      
       ?เมื่อรู้ว่าความโกรธไม่ดี ใครโกรธเราก็อย่ารับ และอย่าโกรธตัวเองในทุกสถานการณ์ สอดรับกับที่พระพุทธองค์ได้สอนไว้ว่า ความโกรธ เหมือนการทำอาหารให้คนอื่นกิน ถ้าเขาไม่กิน คนทำ (คนโกรธ) ก็ต้องกินเอง?
      
      คงจะปฏิเสธได้ยากว่า เมื่อคนเราได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน การไม่ถูกใจกัน ถือเป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้ว่ารักกัน หรืออยู่ใกล้ชิดกันมากขนาดไหน ก็ไม่แคล้วที่จะเกิดปัญหาขึ้นได้ ฉะนั้น การแก้ปัญหาในชีวิตคู่ ให้แก้ที่ตัวเองก่อนเสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็จะค่อยๆ คลี่คลายตามไปเอง ด้วยการละความชั่วของตัวเอง ทำแต่ความดี ความถูกต้อง แล้วจะเข้าใจคู่ชีวิต ลดรอยร้าวที่จะเกิดการแตกหักตามมาได้มาก
 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 21, 2009, 06:30:00 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #38 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2009, 07:38:24 PM »

  Smiley    กินยา แล้วนอนทันที อันตราย !!??     Smiley


กินยา แล้วนอนทันที อันตราย !!?? (เดลินิวส์)
โดย : นวพรรษ บุญชาญ

กินยาแล้วนอนทันทีอาจตายได้จริงหรือ เป็นคำถามที่หลาย ๆ คน ได้อ่านอีเมลที่มีการส่งต่อ ๆ กันไป อยากรู้คำตอบ

เกี่ยว กับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า มีส่วนที่จริงมาก เพราะการกินยาก่อนนอน คือกินยาแล้วนอนทันทียาอาจจะไปจับอยู่ที่ตรงหลอดอาหา ร อยู่กึ่งกลางระหว่างคอหอยกับกระเพาะอาหาร พอยาไปติดอยู่บริเวณดังกล่าวก็จะไปกัดทำให้หลอดอาหาร เกิดแผล พอเกิดแผลมาก ๆ คนที่กินยาจะรู้สึกเลยว่าร้อน แน่นหน้าอก ประมาณตี 3 จะลุกขึ้นมาเลย เพราะแน่นหน้าอก ซึ่งมักจะเกิดจากการกินยา 2 ประเภท คือ ยาที่เป็นกรด ประเภทวิตามินซี และยาที่เป็นพวกแคปซูลเหนียว ๆ จะมีปัญหาติดหลอดลมมาก

วิธีง่าย ๆ คือ จะต้องดื่มน้ำตามเยอะๆ หลังจากที่กินยา รอประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนล้มตัวลงนอน เพื่อให้มั่นใจว่ายาที่กินเข้าไปผ่านไปยังกระเพาะอาห าร เพราะยาบางอย่างเวลากินน้ำตามเยอะเราจะรู้สึกเลยว่า มันจะไหลจากคอลงไปท้อง แต่ถ้าเรากินน้ำน้อยบางทีจะไม่รู้สึก แค่หายจากคอไป ไม่ได้หมายความว่ายาลงไปที่กระเพาะอาหาร ซึ่งจริง ๆ มันอาจจะไปติดอยู่ที่หลอดอาหาร

[b]ดังนั้นการกินยาก่อนนอน อย่าเพิ่งเอนตัวลงนอนทันที ยิ่งในคนที่มีภาวะกรดไหลย้อน ถ้ายาไปอยู่ตรงหลอดอาหารพอดีก็จะทำให้เกิดแผล จนแผลทะลุ ถ้าเป็นแผลเรื้อรังนาน ๆ อาจเป็นมะเร็ง เหมือนมีระเบิดเวลาอยู่ตรงหลอดอาหาร อันตรายกว่าคนทั่วไปที่ไม่มีภาวะกรดไหลย้อน [/b]

ถาม ว่าเวลากินยาควรดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่น ขอเรียนว่า ดื่มได้ทั้ง 2 ประเภท แต่ควรหลีกเลี่ยงน้ำผลไม้บางชนิดในกลุ่มส้ม มะนาว เพราะมันจะทำให้ยาแตกตัวเร็วตั้งแต่ในปาก แทนที่จะดูดซึมในกระเพาะอาหาร ก็จะแตกตัวในปากไม่ช่วยรักษาโรค แถมทำให้ยาไม่ดูดซึมดี

ส่วน ที่บอกว่า ห้ามกินยาพร้อมกับนม หรือห้ามกินยาหลังดื่มนมนั้น ความจริงแล้วสามารถดื่มนมพร้อมกับยาได้ แต่มีข้อยกเว้นกับยาบางประเภท เช่น เตตร้าไซคลิน ดอกซีไซคลีน ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อ ยารักษาสิวจะกินกับนมไม่ได้

ถ้ายาชนิดเดียวกันแต่มีทั้งยาเม็ด ยา น้ำ แคปซูล ควรกินชนิดใด ขอเรียนว่า ยาเม็ดจะได้ยาเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่ายาประเภทอื่น

อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากแนะนำคือ ยาที่ไม่ได้ทำในรูปแบบให้แบ่งได้ เช่น แคปซูล ห้ามแบ่งเด็ดขาด เพราะมีบางบ้านแบ่งเอาไปใส่น้ำหวานให้ลูกกิน ซึ่งต้องบอกว่า การแบ่งยาที่ไม่ได้ทำในรูปแบบให้แบ่งได้ อาจทำให้ยาไม่ออกฤทธิ์ และอาจเกิดอันตรายได้

บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #39 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 12:01:14 PM »







บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #40 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2009, 11:32:02 AM »

?ฟักข้าว? ผักร่ำรวยสารต้านมะเร็ง ?ไลโคปีน?

        
                                         
                                                  
                            


    เจ้าผักลูกกลมๆ มีหนามเล็กๆ โดยรอบแลดูน่าตาตลกมากกว่าน่ากินชนิดนี้ถูกขนานนามด้วยหลายชื่อแตกต่างกันไป ตามภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ?แก็ก?, ?มะข้าว?, ?ผักข้าว?, ?ขี้กาเครือ? และที่คุ้นๆ หูก็คือ ?ฟักข้าว?...ฟักข้าวเป็นพืชในตระIลแตงกวา และมะระ มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน พม่า ไทย ลาว บังกลาเทศ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
      
       ?มี งานวิจัยของต่างประเทศที่ระบุว่าสารไลโคปีน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และสามารถป้องกันความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้ และระบุว่าสารนี้มีมากในมะเขือเทศ แต่จริงๆ แล้วในภาคบ้านเรายังมีพืชบางชนิดที่มีไลโคปีนสูงกว่ามะเขือเทศนับ 10 เท่า นั้นก็คือ ?ฟักข้าว? นั่นเอง เราพบว่าในมะเขือเทศสุก 1 กรัม มีสารไลโคปีนอยู่ประมาณ 31 ไมโครกรัม ในขณะที่เยื่อเมล็ดฟักข้าว 1 กรัม ให้ไลโคปีนสูงถึง 380 ไมโครกรัมเลยทีเดียว? ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว แห่ง รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ให้ข้อมูล
      
       เภสัชกรหญิงคนเก่งรายนี้กล่าวต่อไปอีกว่า มีการศึกษาในสหรัฐฯ พบว่า ไลโคปีนสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้ โดยแบ่งกลุ่มทดลองเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้กินมะเขือเทศวันละถ้วย อีกกลุ่มหนึ่งไม่ให้กิน ปรากฏว่า กลุ่มที่กินมะเขือเทศ เสี่ยงป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กิน ซึ่งจากการทดลองนี้แสดงให้เห็นชัดว่าไลโคปีนมีผลต่อการป้องกันความเสี่ยงใน การเป็นมะเร็ง
      
       ?ปัญหาก็คือเราพบว่าคนไทย ส่วนใหญ่จะกินของที่ดีมีประโยชน์ จากงานวิจัยของต่างชาติ คือถ้าไม่มีผลวิจัยจากต่างชาติก็จะไม่กิน พอกินก็กินเป็นกระแส ฮือฮากันได้สักพักก็จะเลิกเห่อไป อย่างมะเขือเทศกับไลโคปีน พอมีบทวิจัยก็เห่อกินกันทั้งที่มันก็เป็นพืชผักพื้นบ้านของไทยมานาน และในฟักข้าวที่มีไลโคปีน คนไทยก็ไม่สนใจเพราะมันไม่มีงานวิจัย ทั้งๆ จริงๆ ดั้งเดิมก็กินมานานแล้ว เพื่อนบ้านเราหลายประเทศก็กินกันเป็นเรื่องปกติ?

                               
                                                    
      
       ภญ.ผกา กรอง กล่าวว่า การบริโภคฟักข้าวในเมืองไทยส่วนใหญ่จะไม่กินลูก หากจะกินส่วนยอด ลูกก็กินบ้างแต่กินดิบ แต่ไลโคปีนในฟักข้าวจะมีมากที่สุดที่เยื่อหุ้มเมล็ดสีแดง เมื่อขณะที่มันสุกเต็มที่ ที่เวียดนามจะรู้จักฟักข้าวในชื่อของ ?เกิก? ข้าวชนิดหนึ่งของเวียดนามจะหุงด้วยเยื่อหุ้มเมล็ดสีแดงของฟักข้าว หุงเสร็จก็จะกลายเป็นข้าวสีออกส้มๆ แดงๆ
  ?ฟักข้าวเป็นพืชพื้นบ้านอีก ชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ อยากเชิญชวนให้นำมาทำเป็นอาหารบริโภค และอยากรณรงค์ให้บริโภคเป็นอาหาร เพราะเชื่อว่าธรรมชาติได้กำหนดสัดส่วนดีไซน์มาให้เรียบร้อยแล้ว การกินสารอาหารจากพืชผักจะให้ดีที่สุดควรกินเป็นอาหาร แต่ที่ห่วงคือส่วนใหญ่จะกินแบบง่ายๆ คือหาแบบที่เป็นสำเร็จรูป เป็นแคปซูล เป็นยาที่สกัดออกมาแล้ว ซึ่งเราไม่รู้ว่าการที่ผ่านกระบวนการต่างๆ เช่นทำให้แห้ง ทำให้เป็นผง หรือสกัดเอาแต่สารเพียวๆ นั้น จะทำให้โครงสร้างของสารนั้นๆ เปลี่ยนไปหรือไม่? ภญ.ผกากรอง แนะนำทิ้งท้าย
      
       ด้าน ?พี่ติ่ง? - พนิดา เกษรศรี แห่ง ?บ้านฟักข้าว? อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ในฐานะของผู้ที่เคยกินฟักข้าวแล้วได้ผลดีจนกระทั่งเพาะขายเป็นกิจกรรมเล็กๆ ในครัวเรือน เท้าความให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้หนีอากาศร้อนมาเที่ยวภาคเหนือ ก็ไปเจอลูกฟักข้าวแก่จัดที่วางขายอยู่ในตลาด เห็นว่าแปลกดีจึงซื้อมาดูเล่น จากนั้นก็กลับไปหาข้อมูลว่าลูกฟักข้าวแก่จัดที่ได้มานั้นสามารถนำไปทำอะไร ได้บ้าง
      
       ?เราก็หาในอินเทอร์เน็ต ก็พบงานวิจัยว่ามันมีไลโคปีนสูง มีสารมีประโยชน์ ก็เลยหาวิธีทำกินกันเองในบ้าน เราใช้เยื่อหุ้มเมล็ดมาทำเป็นน้ำผลไม้ แต่งรสด้วยน้ำตาลนิดหน่อย ดื่มเองในครอบครัว แล้วก็แจกคนรู้จัก หนักๆ เข้าหลายคนชอบก็ขอให้ทำให้บ้าง แนะนำให้ทำขายบ้าง เราก็หาข้อมูลเรื่อยมา ซื้อมาปลูก ตอนนี้ก็กลายเป็นกิจการเล็กๆ ของครอบครัวมา 2 ปีกว่าแล้ว คนให้ความสนใจมากขึ้น อาจจะเพราะว่าคนเริ่มหันมาสนใจสุขภาพแนวป้องกันมากขึ้นด้วย?
      
       พี่ติ่งขยายความอีกว่า คนในแถบภาคเหนือนิยมกินส่วนของยอดฟักข้าว โดยนำมาแกงใส่ปลาแห้งบ้าง นำมาลวกหรือต้มจิ้มน้ำพริกบ้าง ส่วนลูกอ่อนๆ ที่เนื้อแข็งๆ มาปอกแล้วหันเป็นชิ้นๆ ลงไปรวมกับผักอื่นๆ เป็นแกงแคบ้าง ส่วนลูกสุกไม่ค่อยมีคนกิน จะปล่อยให้สุกคาต้นเป็นอาหารของนก หนู กระรอกไปตามธรรมชาติ
 ?จากประสบการณ์ตรง ปรากฎหลังการดื่มน้ำจากเยื่อเมล็ดฟักข้าวพบว่า รู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงขึ้น คุณแม่พี่อายุ 50 กว่าแล้วก็บอกว่าดื่มระยะหนึ่งแล้วผมเริ่มกลับมาดำอีกครั้ง แล้วพวกเราทั้งบ้านก็ไม่ค่อยป่วย อย่างโรคหวัดนี่ไม่มีใครเป็นมาสักพักแล้วค่ะ?
      
       พี่ติ่งยังกระซิบอีกนิดสำหรับผู้ที่อ่านแล้วชักจะเห็นความสำคัญของ ผักพื้นบ้านน่าตาน่าเอ็นดูชนิดนี้และอยากหามาปลูกบ้างว่า ฟักข้าวปลูกง่าย แค่โยนเม็ดลงดินก็ขึ้นแล้ว มีหลายสายพันธุ์ พันธุ์ลูกใหญ่เฉลี่ยน้ำหนักลูกละ 1 กิโลกรัม เหมาะแก่การปลูกลงดินเพราะรากจะขยายไปเรื่อยๆ แต่สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านน้อยๆ หรือคอนโดมิเนียมก็อย่าเพิ่งเสียใจไป เพราะพันธุ์พื้นบ้านดั้งเดิมที่ใบออกทรงกลมจะให้ลูกเล็กกว่าและมีขนาดต้น เล็กกว่า เหมาะแก่การปลูกในพื้นที่จำกัดเช่นบนระเบียงในกระถาง ขนาดลูกก็เล็กตามไปด้วย ราวๆ ลูกเทนนิส ซึ่งเหมาะแก่กินคนเดียวหรือสองคนแบบฉบับครอบครัวสมัยใหม่ในเมืองใหญ่
      
       ในขณะที่หนึ่งใน ?คนสีเขียว? อย่าง ?พี่น้อง? - โสรัจ เบญจกุศล? แห่งเครือข่ายตลาดสีเขียว เจ้าของร้านวุ้นดอกไม้หวาน ที่หลงรักในคุณประโยชน์ของฟักข้าวเข้าอย่างจัง ได้แสดงความเป็นห่วงต่อการลดจำนวนลงอย่างฮวบฮาบของฟักข้าวว่า เพราะหลายคนมองว่ามันเป็นวัชพืช ทำให้มีการถอนทิ้งจนปัจจุบันหากจะซื้อฟักข้าวแต่ละครั้ง ต้องใช้บริการไกลถึงจังหวัดเชียงใหม่ให้จัดส่งเข้ามาในกรุงเทพฯ เพราะหาในแถบภาคกลางไม่ได้เลย
?เสียดายมาก เพราะเป็นพืชที่มีประโยชน์มาก บ้านไหนมีอยากให้เก็บไว้ อย่าไปฟันทิ้ง และอยากให้ช่วยกันปลูกมากๆ เราจะได้มีพืชผักมีประโยชน์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชนิดในสวยหลังบ้านของเรา?
      
       พี่น้องยังได้แนะนำสูตรน้ำฟักข้าวผสมเสาวรสรสเปรี้ยวจี๊ดชื่นใจอย่าง ไม่หวงตำราว่า เป็นเครื่องดื่มปกติที่ทำดื่มเองอยู่แล้ว และมีประโยชน์ทั้งจากฟักข้าวและเสาวรส เนื่องจากฟักข้าวจริงๆ จะรสออกจืดๆ มันๆ ทำให้หลายคนที่ไม่คุ้นอาจจะไม่ชอบ การผสมน้ำเสาวรส หรือกระทั่งน้ำส้มหรือน้ำผลไม้รสเปรี้ยวอื่นๆ จะทำให้ดื่มง่ายขึ้น
      
       ?ใช้น้ำเสาวรสประมาณ 70% ผสมกับเยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าว30% เติมน้ำตาลชิมรสตามใจชอบ ถ้าวันไหนร้อนๆ ยิ่งแช่เย็นยิ่งชื่นใจค่ะ?
      
       ...แค่ฟังสูตรก็น้ำลายสอ ใครจะเอาไปทำพี่น้องไม่หวง แถมสนับสนุนให้ทำอีกต่างหาก เพราะอยากเห็นคนไทยห่างไกลมะเร็ง

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000139741
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 24, 2009, 11:45:09 AM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #41 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2009, 10:32:29 PM »

"เคล็ดลับช่วยจำและวิธีบริหารสมอง"

                              

 หลายคนคงเคยมีอาการหลงๆ ลืมๆ แบบนี้นะคะ.....ลืมว่าเอากุญแจบ้านกับมือถือไปวางไว้ตรงไหน หรือออกจากบ้านแล้วแต่ต้องกลับเข้าไปใหม่เพราะลืมว่าปิดไฟแล้วหรือยัง หรือเห็นเงินในกระเป๋าแล้วงงว่าทำไมเหลือแค่นี้ ซื้ออะไรไปเนี่ย
      
       วันนี้มีเคล็ดลับช่วยจำและวิธีบริหารสมองมาฝากค่
      
       1. จดบันทึก
      
       การจดบันทึกจะช่วยให้คุณวางแผนเรื่องต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน นัดหมายต่างๆ รวมไปถึงการจดเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ อีเมลแอดเดรส วันเกิดเพื่อน หรือข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณเอง เช่น ยาประจำตัว จะให้ดีควรเป็นสมุดเล่มเล็กๆ ที่พกพาติดตัวไปด้วยได้
      
       การลงมือเขียนด้วยตัวเองจะช่วยย้ำให้สมองจดจำได้ดีขึ้น และดีกว่าการใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย เช่น การบันทึกไว้ในมือถือ
      
       2. พูดกับตัวเอง
      
       การพูดออกมาดังๆ ก็คล้ายกับการจดบันทึก เพียงแต่ออกมาในรูปของเสียง ควรเริ่มต้นตั้งแต่เช้า นึกถึงสิ่งที่คุณต้องทำในวันนั้น แล้วพูดออกมาดังๆ เช่น วันนี้ต้องซื้อบัตรเติมเงิน ตอนเที่ยงมีนัดกับลูกค้า ตอนเย็นต้องแวะซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ย้ำกับตัวเองซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง
      
       3. ติดโน้ตในที่ที่มองเห็นได้ง่าย
      
       เขียนสิ่งที่ต้องทำลงบนกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แปะไว้ในที่ที่มองเห็นได้ง่าย เช่น ประตูตู้เย็น ประตูบ้าน ในรถ หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทุกครั้งที่เห็นโน้ตที่ติดไว้ ก็เท่ากับเตือนสมองให้จดจำเรื่องเหล่านั้น
      
       4. เก็บของให้เป็นที่
      
       ฝึกนิสัยเก็บของให้เป็นที่ เช่น แขวนกุญแจไว้ข้างประตูทางออก วางมือถือไว้บนโต๊ะทำงาน เก็บยาก่อนนอนไว้ที่โต๊ะหัวเตียง ชีวิตที่เป็นระเบียบจะช่วยให้สมองเป็นระเบียบเช่นกัน
      
       5. ทำชีวิตให้ช้าลง น่าคิด
      
       สมองจะจดจำอะไรได้ช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น การพูดเร็ว-ทำเร็วจนเกินไป ทำให้สมองเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ไม่ทันและหลงลืมไปในที่สุด
      
       6. อย่าทำหลายอย่างพร้อมกัน
      
       การทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น คุยโทรศัพท์ไปด้วย ดูโทรทัศน์ไปด้วย หรือทำงานไปด้วย ฟังเพลงไปด้วย จะทำให้ไม่มีสมาธิในการจำ ควรเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจะดีกว่า
      
       7. มีสติ
      
       การมีสติขณะทำสิ่งต่างๆ จะช่วยให้เราไม่หลงลืมได้ง่าย สมองจะจดจำได้โดยอัตโนมัติว่า ขณะนั้นเราปิดไฟแล้ว ปิดน้ำแล้ว ปิดแก๊สแล้ว ไม่ต้องมานั่งลังเลสงสัยทีหลังว่า เอ๊ะ ฉันทำไปแล้วหรือยัง
      
     8. ร่างกายแข็งแรง
      
       สมองที่แจ่มใส มาจากร่างกายที่แข็งแรง ดูแลตัวเองให้ดี รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ให้ครบหมู่ เน้นปลา ผักผลไม้สด ข้าวกล้อง และน้ำ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อร่างกายแข็งแรง ความจำก็จะดีตามไปด้วย
      
       9. ทำสิ่งที่ตัวเองถนัด
      
       ความถนัดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนจำได้ดีเมื่อได้มองเห็นหรือจดบันทึก บางคนจำได้ดีเมื่อได้ยินเสียงหรือพูดดังๆ บางคนจะจำได้ก็ต่อเมื่อได้ลงมือปฏิบัติ สังเกตตัวเองว่าคุณจำได้ดีกับวิธีการไหน แล้วเลือกวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง แต่ถ้าจะให้ดี ใช้ทั้ง 3 วิธีสลับกันก็จะช่วยให้สมองได้ฝึกทักษะมากขึ้น
      
       วิธีบริหารสมอง ที่ช่วยในการพัฒนาความจำอย่างง่ายๆ สามารถทำได้ดังนี้
      
       1. หยิบสิ่งของในที่มืด หลับตาอาบน้ำ หรือหลับตาแต่งตัว

       2. รับประทานอาหารหรือหยิบจับสิ่งต่างๆ โดยใช้มือข้างที่ไม่ถนัด

       3. ฟังเพลงที่ไม่เคยได้ยินเนื้อร้องมาก่อน แล้วหัดร้องตามไปจนร้องได้

       4. อ่านหนังสือหลายๆ ประเภท หรือเปลี่ยนจากคอลัมน์ที่เคยอ่านประจำไปอ่านคอลัมน์อื่นบ้าง

       5. อ่านป้ายโฆษณาตามข้างทาง ท้ายรถตุ๊กตุ๊ก ข้างรถเมล์ หรือถุงกล้วยแขก

       6. ดูโทรทัศน์ที่มีสองภาษา หรือดูภาพยนตร์ที่มีซับไตเติล

       7. บวกลบเลขทะเบียนของรถคันหน้า หรือเลขบนตั๋วรถเมล์

       8. เปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน เช่น จัดห้องใหม่ เปลี่ยนที่วางของ เปลี่ยนเส้นทางการเดินทาง หรือจากที่เคยขับรถก็เปลี่ยนไปนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าแทนบ้าง

       9. เล่นเกมฝึกสมอง เช่น หมากรุก หมากฮอส ปริศนาอักษรไขว้ จับผิดภาพ ฯลฯ

       10. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เช่น หัดเล่นดนตรี เรียนภาษา เรียนทำอาหาร ฝึกศิลปะป้องกันตัว ฯลฯ

       11. หมั่นออกสังคม พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกับเพื่อนฝูง อย่าแยกตัวออกจากสังคม เพราะจะทำให้สมองไม่เกิดการพัฒนาและเสื่อมไปในที่สุด
      
       ฝึกสมองบ่อยๆ เพื่อความจำที่ดีและสมองอันชาญฉลาดจะได้อยู่คู่กับคุณไปนานๆ ค่ะ


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000029478
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 25, 2009, 10:38:03 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #42 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2009, 08:23:52 PM »

"นั่งหน้าคอมพ์จนปวดคอ" อย่านิ่งดูดาย


                                                    
                      
ใคร ที่รู้ตัวว่ากำลังปวดคอหรือมีความเสี่ยงจะปวดคอจากการนั่งทำงาน (หรือเล่นเกม) หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์นานเกินไปอย่าได้นิ่งเฉย บทความนี้จะพาคุณไปพบกับทางออกที่จะทำให้คุณสามารถป้องกันและลดอาการปวดคอ ที่แสนทรมาน เพื่อให้คุณไม่ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับพระเอกภาพยนตร์เรื่องชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ (ใครยังไม่ดู ลองไปหาดูแล้วจะเข้าใจมุกนี้)
      
       ก่อนจะไปเรียนรู้ท่าทางการป้องกันอาการปวดคอ คุณต้องรู้ก่อนว่าต้นเหตุอาการปวดคอนั้นไม่ได้มาจากการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ นานๆ แต่จะมาจากทุกกรณีที่ทำให้อิริยาบทของร่างกายเราผิดเพี้อนไป
      
       อาจารย์ ผกาภรณ์ พู่เจริญ อาจารย์ประจำคณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) อธิบายว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดคอนั้น เริ่มที่การมีอิริยาบถไม่ถูกต้อง เช่น หนุนหมอนสูงเกินไป ก้มหรือเงยหน้านานๆ อาจจะทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือเขียนหนังสืออ่านหนังสือเป็นเวลานานๆ โดยไม่หยุดพัก แถมการศึกษายังพบว่าอาการปวดคอมีสาเหตุมาจากการเสื่อมสมรรถภาพของกระดูก ส่งผลทำให้มีอาการปวดร้าวไปยังท้ายทอย แขน กล้ามเนื้อแขนอ่อนแรง
      
       ขณะเดียวกัน อาการปวดคออาจมีสาเหตุมาจากอารมณ์ตึงเครียดซึ่งส่งผลให้มีการเกร็งของกล้ามเนื้อคอเป็นเวลานาน
      
       ?เมื่อ เกิดอาการก็ต้องรีบรักษา" อาจารย์บอกว่าจะมีการแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 ระยะ "คือ 1.ระยะเฉียบพลัน 1 ? 2 ผู้ที่มีอาการปวดคอต้องพยายามพักผ่อนกล้ามเนื้อคอโดยการนอนราบ ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่เกิดการอักเสบ ใช้เวลาในการประคบประมาณ 15 ? 20 นาที 2.ระยะเรื้อรัง ผู้มีอาการต้องยืดกล้ามเนื้อคอด้วยตัวเอง โดยใช้มือดันศีรษะไปในทิศทางที่หันไม่ได้ช้าๆ จนรู้สึกตึงทำค้างไว้ครั้งละประมาณ 10 วินาทีจำนวน 10 ครั้ง หรือจนอาการดีขึ้น แล้วประคบด้วยถุงน้ำร้อน 15 - 20 นาที หมั่นออกกำลังกายกล้ามเนื้อคออย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการปวดมากขึ้น ควรรับการรักษาทางกายภาพบำบัด"
      
       อาจารย์ย้ำว่าทุกคนสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดคอได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงการทำงานในลักษณะก้มหรือเงยหน้าเป็นเวลานาน และควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ไม่นอนหนุนหมอนที่สูงและแข็งเกินไป และออกกำลังกายกล้ามเนื้อคออย่างสม่ำเสมอ
      
       อาจารย์ผกาภรณ์ให้เคล็ดวิชา 4 กระบวนท่าออกกำลังกายเพื่อป้องกันอาการปวดคอ ได้แก่ ท่าก้มและเงยหน้า ท่าหันหน้าซ้ายและขวา ท่าเอียงคอซ้ายขวา และท่าเกร็งกล้ามเนื้อคอ
      
       - ท่าก้มและเงยหน้า จะเริ่มต้นด้วยการนั่งหรือยืนก็ได้ แต่ศีรษะต้องตั้งตรง จากนั้นค่อยๆ ก้มให้คางชิดอก แล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ ให้มากที่สุด ทำท่านี้ 5 ? 10 ครั้ง
      
       - ท่าหันหน้าซ้ายและขวา จะเริ่มต้นด้วยนั่งหรือยืนก็ได้ จากนั้นหันไปทางซ้ายช้าๆ แล้วค่อยๆ หมุนศีรษะกลับมาทางขวา ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง ข้อควรระวังหากมีอาการมึนศีรษะ ตาลายให้หยุดการออกกำลังกายทันที
      
       - ท่าเอียงคอซ้ายขวา จะนั่งหรือยืนก็ได้เหมือนเคย แต่ให้ศีรษะตรง จากนั้นเอียงศีรษะไปทางซ้ายช้าๆ ให้ทิศทางของใบหูจรดไหล่จนรู้สึกตึง ค่อยๆ เอียงศีรษะกลับมาทางขวาทำเช่นเดียวกัน ทำซ้ำประมาณ 5 ? 10 ครั้ง      
       - ท่าเกร็งกล้ามเนื้อคอ ให้ก้มหน้า วางมือบนหน้าผาก ออกแรงต้านกับการก้มหน้า ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง เงยหน้า ประสานมือที่ท้ายทอย ออกแรงต้านกับการเงยหน้า ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง เอียงคอ วางมือที่ด้านข้างซ้ายของศีรษะออกแรงต้านกับการเอียงคอไปด้านซ้าย วางมือด้านขวาของศีรษะแล้วทำเช่นเดียวกัน ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง หันศีรษะ วางมือซ้ายบนขมับซ้ายออกแรงต้านกับการหันศีรษะไปด้านซ้าย วางมือขวาบริเวณขมับขวาแล้วทำเช่นเดียวกัน ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง การดูแลตัวเองและป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดคอนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำก่อน ที่จะปล่อยให้อาการปวดคอเกิดขึ้น
      
       ..อย่าลืมว่าสุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอานะจ้ะ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 26, 2009, 08:29:39 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
isariya
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 47


« ตอบ #43 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2009, 10:05:09 PM »

คุณมดแดงคะ
 ขอบคุณนะคะ อ่านตลอดค่ะ
 Smiley Wink Cheesy Grin :Smiley Tongue เทวดา หัวเราะกันนะ
บันทึกการเข้า
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #44 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 09:26:41 PM »

รองเท้า ใครคิดว่าไม่สำคัญ


                                            

เรา สวมรองเท้าเพื่อปกป้องเท้าไม่ให้ได้รับอันตราย แต่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม ขนาดไม่พอดี นอกจากจะทำให้รู้สึกไม่สบายขณะสวมใส่แล้ว ยังอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือผิดรูปของเท้าตามมาได้

สิ่งที่ต้อง พิจารณาซึ่งสำคัญยิ่งกว่าความสวยงาม คือ รูปทรงของรองเท้าที่เข้าได้กับเท้า ซึ่งจะให้ความรู้สึกสบายขณะสวมใส่ และไม่เกิดผลเสียต่อเท้า

มื่อจะซื้อรองเท้า ให้คิดไว้ว่า ?เลือกรองเท้าให้ใส่พอดีกับเท้า ไม่ใช่ ใส่เท้าให้พอดีกับรองเท้าที่เลือก"


ข้อแนะนำในการเลือกซื้อรองเท้า

? ในการวัดขนาดเท้าควรวัดทั้งสองข้าง เนื่องจากขนาดเท้าแต่ละข้างอาจจะไม่เท่ากัน

? ควรวัดขนาดเท้าในช่วงเย็น และควรวัดขนาดเท้าในท่ายืน เพราะเท้าจะขยายออกมากกว่าปกติ

? ควรเลือกซื้อรองเท้าที่มีขนาดกว้าง ยาว พอดีกับเท้า โดยเหลือพื้นที่ส่วนปลายเท้าไว้เล็กน้อย เพราะถ้าเหลือ ที่ว่างมากเกินไป เท้าก็จะเลื่อนได้มาก ทำให้มีการเสียดสีกับรองเท้า ซึ่งจะเกิดเป็นแผล หรือมีผิวหนังพองได้

? ส่วนหลังของรองเท้าควรกระชับพอดีกับส้นเท้า ตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่มีการเลื่อนหลุดของส้นเท้าเวลาเดิน

? ใส่รองเท้าแล้วลองเดิน เพื่อให้แน่ใจว่าสวมได้พอดี และรู้สึกสบาย จริง ๆ

? ควรวัดขนาดเท้าทุกครั้งที่ซื้อรองเท้า เพราะขนาดเท้าอาจเปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อเวลาผ่านไป

? ไม่ควรเลือกรองเท้าโดยดูที่เบอร์อย่างเดียว เพราะรองเท้าแต่ละยี่ห้อเบอร์เดียวกันขนาดอาจไม่เท่ากัน

? ควรเลือกซื้อรองเท้าที่สวมได้พอดี และเข้าได้กับรูปเท้ามากที่สุด ถ้าลองแล้วรู้สึกว่าคับเกินไปก็ไม่ควรซื้อมาใส่ โดยคิดว่าเมื่อใส่ไปนาน ๆ แล้วมันอาจขยายออกมาจนพอดี เพราะว่าเท้าจะมีปัญหาเกิดขึ้นเสียก่อน




รองเท้าสตรี

รองเท้าที่ดี ควรมีส่วนหัวของรองเท้ากว้าง และ ส้นไม่ควรสูงเกิน 1 นิ้วฟุต

รองเท้า ส้นสูงที่มีส่วนหัวของรองเท้าแคบเรียว ทำให้นิ้วเท้าถูกบีบเข้ามาหากันมาก และน้ำหนักจะไปลงที่บริเวณปลายเท้า แทนที่จะลงที่บริเวณส้นเท้าตามปกติ

ถ้า ส้นรองเท้ายิ่งสูง น้ำหนักก็จะยิ่งลงไปยังส่วนปลายเท้ามากขึ้น จึงทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย หรือ ทำให้มีนิ้วเท้าผิดรูป เช่น ตาปลา ข้อนิ้วหัวแม่เท้าเก เป็นต้น


รองเท้าบุรุษ

รองเท้า ที่ดีควรมีรูปทรงเข้าได้พอดีกับรูปเท้า โดยที่ส่วนหัวของรองเท้ามีพื้นที่เหลืออยู่เล็กน้อยพอให้นิ้วเท้าขยับได้ บ้าง และ ส้นรองเท้าไม่สูง (โดยทั่วไปจะสูงประมาณครึ่งนิ้วฟุต)


รองเท้ากีฬา

จุด มุ่งหมายในการออกแบบรองเท้ากีฬาก็เพื่อปกป้องเท้าของนักกีฬาจากแรงเค้นภาย นอกที่มากระทำต่อเท้า และเพื่อให้เกิดแรงเสียดทานระหว่างพื้นรองเท้ากับพื้นสนามมากพอ ที่จะทำให้เล่นกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ ไม่เกิดอุบัติเหตุ

รองเท้า สำหรับกีฬาแต่ละประเภทจะถูกออกแบบมาแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง น้ำหนัก วัสดุที่ใช้ หรือ ลักษณะการผูกเชือก ดังนั้นในการใช้รองเท้ากีฬาจึงควรเลือกให้เหมาะสมกับกีฬา แต่ละประเภท


สุขภาพเท้า ในผู้สูงอายุ

ใน ผู้สูงอายุ เท้าก็จะมีการเปลี่ยนแปลง โดยมักจะกว้างออก และ มีไขมันที่ช่วยป้องกันการกระทบกระแทกในบริเวณฝ่าเท้า ลดลง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของกระดูกและ เส้นเอ็น อันเนื่องจากน้ำหนักตัวด้วย

จึง ควรวัดขนาดรองเท้าบ่อย ๆ ปัญหาที่เกิดเนื่องจาก ผิวหนังที่แห้ง และ เล็บที่ฉีกขาดง่าย ก็พบได้บ่อย ซึ่งปัญหาเหล่านี้พบได้มากขึ้นในผู้หญิงที่ใส่รองเท้าส้นสูง โดยจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4 เท่า



ข้อแนะนำในการดูแลสุขภาพเท้า

การเดินเป็นการบริหารที่ดีที่สุดสำหรับเท้า

ถุงเท้า ควรจะมีขนาดที่พอดี ใส่แล้วไม่มีรอยย่น และ ควรเป็นแบบที่ไม่มีตะเข็บ หรือ รอยเย็บ

ทำความสะอาดเท้าด้วยน้ำอุ่นและใช้สบู่อ่อน ๆ อาจจะผสม moisturizer ลงไปด้วยหรือใช้ moisturizer หลังจากทำความสะอาดเสร็จแล้ว

ตัดเล็บเท้าเป็นแนวตรง

คอยสังเกตเท้า ทุก ๆ วัน ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง เช่น มีสีแดงขึ้น บวม ผิวหนังแห้งแตก หรือ รอยฟกช้ำ ควรปรึกษาแพทย์



รองเท้าสำหรับเด็ก

เด็กเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าจนกว่าจะเริ่มเดิน ซึ่งทั่วไปก็ประมาณอายุ 12 ถึง 15 เดือน

ในช่วงที่ยังไม่เดิน การสวมถุงเท้าอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะช่วยให้ความอบอุ่นแก่เท้าหรือปกป้องเท้าไม่ไห้ได้รับอันตรายขณะคลาน

เมื่อ เด็กเริ่มยืนหรือเดิน รองเท้าจะเป็นสิ่งจำเป็นและดีที่สุดในการป้องกันอันตราย ที่อาจเกิดขึ้นกับเท้า การสวมถุงเท้าจะช่วยลดอาการระคายเคืองจากการที่เท้าสัมผัสกับรองเท้าโดยตรง

สำหรับเด็กวัยหัดเดิน ควรให้เด็กได้เดินด้วยเท้าเปล่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะการเดินด้วยเท้าเปล่าจะทรงตัวได้ง่าย แต่หากพาออกไปนอกบ้าน ก็ควรที่จะให้มีรองเท้าเพื่อป้องกันอันตรายจากสิ่งต่างๆ

ข้อแนะนำในการเลือกรองเท้าเด็ก

หัว รองเท้า ควรยาวกว่านิ้วเท้าของเด็กอย่างน้อยครึ่งนิ้ว บริเวณส่วนหัวของรองเท้าควรมีพื้นที่เหลือพอที่ จะให้นิ้วเท้าขยับได้ และเผื่อไว้สำหรับเท้าที่จะเจริญเติบโตขึ้นอีก (เท้าจะยาวขึ้นประมาณ ครึ่งนิ้วฟุตใน 3 - 6 เดือน)

พื้นรองเท้า ควรมีความยืดหยุ่นดี น้ำหนักเบา และไม่ลื่น พื้นรองเท้าควรจะเรียบกว้างและแข็งแรง ซึ่งเมื่อเด็กสวมรองเท้า และเขย่ง รองเท้าจะโค้งตามรูปเท้า พื้นรองเท้าด้านใน ควรบางแต่นุ่มนวล และยืดหยุ่นได้ดีไม่แข็งกระด้าง ถ้าพื้นผิวด้านในอ่อนนิ่มหรือฟูหนาจนเกินไป จะทำให้นิ้วเท้าของเด็กจมลงไปมาก ทำให้เด็กเดินลำบากขึ้น

สายคาด ควรเป็นแบบที่ สามารถเลื่อนเข้าเลื่อนออกให้กระชับพอดี กับขนาดเท้าได้ง่าย

รองเท้าหัวป้านจะช่วยให้นิ้วเท้าไม่ถูกบีบ และจะไม่เจ็บเท้าเมื่อต้องใส่รองเท้าเป็นเวลานาน

คุณภาพ ของฝีมือในการตัดเย็บ จะต้องประณีต ตะเข็บต้องไม่หนา และไม่กดรัดนิ้วเท้า ควรหลีกเลี่ยง รองเท้าที่เป็นพลาสติก เพราะพลาสติกจะไม่ปรับรูปร่างให้เข้ากับเท้า

ควรเปลี่ยนรองเท้าคู่ ใหม่ให้กับลูกเมื่อเห็นว่ารองเท้านั้นคับเกินไป โดยอาจสังเกตจากขณะยืนสวมรองเท้า นิ้วเท้าแตะโดนด้านในของหัวรองเท้า มีรอยกดของรองเท้า ทำให้เท้าบวมหรือแดงเป็นรอย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 27, 2009, 10:23:43 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 9   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: