|
Jeera
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 09:51:34 AM » |
|
หนีห่าว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Someone love one Some one love two But I love one That One is...U (^?^)-?
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 10:15:45 AM » |
|
ผลผลิตข้าวโลกร่วง มีโอกาสดันราคาทะลุ 1,000 เหรียญต่อตัน
Posted on Tuesday, November 17, 2009 หุ้น-โภคภัณฑ์ บวกต่อเนื่อง รับ APEC พร้อมใจอัดฉีดเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นทั่วโลกวิ่งขึ้นอีกครั้ง จากท่าทีของผู้นำรัฐบาลในเอเชียที่มุ่งมั่นเดินหน้าอัดฉีดเศรษฐกิจของตนต่อ ขณะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยิ่งบวกได้อีกเมื่อตัวเลขยอดค้าปลีกในสหรัฐฯ ออกมาฟื้นตัว โดยดัชนี MSCI Asia Pacific บวกขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อวานนี้ หลังที่ประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC บอกว่าจะใช้มาตรการอัดฉีดเงินต่อไปจนกระทั่งเห็นเศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างมั่นคงแล้ว
ความมั่นใจในตลาดมีมากขึ้นไปอีก เมื่อประเทศหลักๆ อย่าง อเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ต่างย้ำถึงจุดยืนการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เศรษฐกิจโลกและระบบการเงินกลับมามีเสถียรภาพได้อีกครั้ง นอกจากนี้ นักลงทุนยังได้รับข่าวดีจากทางฝั่งญี่ปุ่นที่ GDP ขยายตัวได้ถึง 4.8% ต่อปีในไตรมาสสาม สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์เคยคาดไว้ว่าจะออกมาขยายตัว 2.9% ขณะที่ตัวเลขเงินลงทุนโดยตรงในจีน หรือ FDI งวดเดือนตุลาคมปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 แล้ว จากแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว
ราคาทองเอเชียที่ทำนิวไฮเมื่อวานนี้ก็ยังทำให้หุ้นผู้ผลิตเหมืองทองรายใหญ่ที่สุดของจีน อย่าง Zijin Mining Group พุ่งขึ้นถึง 2.5% ที่ตลาดหุ้นเซียงไฮ้ ขณะที่ภาวะร้อนแรงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังทำให้หุ้นยักษ์ใหญ่ธุรกิจเหมืองของโลก BHP Billiton และ Rio Tinto Group บวกสดใส รวมถึง หุ้น ThyssenKrupp ที่เป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่สุดในเยอรมนี ปรับตัวขึ้นหลังโบรกเกอร์ JPMorgan Chase ให้คำแนะนำลงทุนในหุ้น
ส่วนที่ตลาดหุ้นอเมริกา ยักษ์ใหญ่พลังงาน Exxon Mobil ก็นำการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่ม หลังราคาน้ำมันพุ่งแรงที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์ ขณะที่ธุรกิจค้าปลีก อย่าง Target Corp. และ Sears Holdings ราคาหุ้นบวกสดใส หลังทางการสหรัฐฯ รายงานตัวเลขยอดขายปลีกที่โตขึ้น 1.4% ในเดือนตุลาคม ส่วนผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิต American Express บวกรับข่าวดีที่ตัวเลขผิดนัดชำระของลูกค้าออกมาลดลงเป็นเดือนที่หกแล้ว
ที่ล่าสุด ประธานเฟด Ben Bernanke บอกว่า ข้อจำกัดในการปล่อยสินเชื่อและตลาดแรงงานที่อ่อนแอมีความเป็นไปได้ที่จะฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้แน่ใจได้ว่าภาวะต้นทุนทางการเงินจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อไป และจากมุมมองของ Bernanke นี้ก็ทำให้ตลาดพันธบัตรปรับตัวขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลรุ่นสองปี ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม
ความกังวลในเรื่องดอลลาร์ที่ยังอาจอยู่ในระดับแข็งค่าเกินไป ก็ทำให้ค่าเงินสหรัฐฯ ร่วงลงอีกเมื่อคืนนี้ โดย Dollar index ลดลง 0.6% แตะจุดต่ำสุดที่เคยทำไว้เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ซึ่งเงินดอลลาร์ที่อ่อนลงก็ส่งผลให้นักลงทุนโยกเงินส่วนหนึ่งเข้าไปในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มากขึ้น ดูจากดัชนี Reuters/Jefferies CRB ที่ใช้วัดราคา commodity หลักๆ 19 ประเภท ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 2% เมื่อคืนนี้
ผลผลิตข้าวโลกร่วง มีโอกาสดันราคาทะลุ 1,000 เหรียญต่อตัน
กระแสราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้น ก็รวมไปถึง soft commodity อย่างข้าว ที่มีโอกาสขยับขึ้นเช่นกัน โดยประเด็นเรื่อง Supply ถือเป็นปัจจัยหลักสำหรับตลาด หลังจากประเทศผู้ส่งออกอย่างอินเดียต้องเผชิญสภาวะภูมิอากาศที่แห้งแล้ง ขณะที่ฟิลิปปินส์ก็ถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัดด้วยพายุที่เข้ามาถล่มถึง 3 ลูก ส่งผลให้ผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายหนัก
ผู้บริหารของบริษัท เอเชีย โกลเดน ไรซ์ ในไทย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก บอกว่า ราคาข้าวอาจจะปรับขึ้นถึงสองเท่า จนทะลุระดับ 1,000 ดอลลาร์ต่อตัน หลังจากที่ฟิลิปปินส์และอินเดียต้องเพิ่มระดับการนำเข้า ขณะที่ทางโฆษกของสำนักงานอาหารในฟิลิปปินส์ ในฐานะผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดของโลก ก็เชื่อว่าราคาข้าวจะไม่พุ่งสูงสุดจนกว่าจะถึงเดือนมีนาคมปีหน้า
เทรดเดอร์เชื่อว่า ในปีนี้ Supply ข้าวทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะตึงตัวกว่าปีที่แล้ว โดยสถานการณ์ Demand ? Supply จะยิ่งไม่สมดุลหนักเมื่อตลาดใหญ่อย่างอินเดียหันมานำเข้าข้าวเองด้วย ขณะเดียวกัน ก็มีผู้ค้าในสิงคโปร์ที่คาดการณ์ว่าราคาส่งออกข้าวไทยจะมีแนวโน้มเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างน้อย 20% ไปแตะระดับ 650-700 ดอลลาร์/ตันในช่วง 3-5 เดือนหลังจากนี้
ผลสำรวจความเห็นของผู้นำเข้า-ส่งออก และนักวิเคราะห์ ที่จัดทำโดยสำนักข่าว Bloomberg คาดว่าราคาข้าวไทยมีโอกาสพุ่งแตะระดับสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อปีที่แล้วที่ 1,038 ดอลลาร์/ตัน เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ราคาอยู่แถวๆ 540 ดอลลาร์/ตัน
อังกฤษเตรียมควบคุมการจ่ายโบนัสนายแบงก์
รัฐบาลอังกฤษเตรียมประกาศแผนการการดูแลเกี่ยวกับการให้โบนัสของนายธนาคาร โดยจะประกาศให้การให้โบนัสบางรายการเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดวิกฤตการเงินอีก
นายอแตร์ ดาร์ลิง รัฐมนตรีคลังอังกฤษกล่าวว่า หากมีการพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น ทางเจ้าหน้าที่กำกับดูแลจะได้รับอำนาจยกเลิกสัญญาที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการชำระเงินที่อาจจะทำให้เกิดความผันผวนขึ้น
ทางด้านนายกเทศมนตรีพอล ไมเนอร์ส กล่าวว่า หากสัญญาเหล่านั้นได้ถูกเขียนขึ้น สัญญาเหล่านั้นก็จะกลายเป็นโมฆะภายใต้กฎหมาย
บลูมเบิร์กรายงานว่า นายกอร์ดอน บราวน์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งจะจัดการเลือกตั้งภายในเดือนมิ.ย.ปีหน้าท่ามกลางคะแนนนิยมที่ตกต่ำของตนมาเกือบ 2 ปีนั้น จะเปิดเผยเป้าหมายการดำเนินงานในที่ประชุมรัฐสภานัดต่อไป ซึ่งอาจรวมถึงการยกเลิกมาตรการยกเว้นภาษีด้านการดูแลเด็ก การอนุญาตให้ลูกค้าฟ้องร้องผู้ปล่อยกู้ รวมถึงการกำหนดให้ธนาคารต่างๆต้องจัดทำแผนลดการให้บริการลงหากธุรกิจนั้นมีปัญหา
ทั้งนี้ พรรคแรงงานภายใต้การนำของนายบราวน์จะมีเวลาประมาณ 5 เดือนในการผ่านกฎหมาย ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
นายไมเนอร์สกล่าวว่า เขามั่นใจว่ากฎหมายที่เกี่ยวกับบริการด้านการเงินจะได้รับการอนุมัติ ซึ่งทางการไม่ได้ต้องการที่จะควบคุมระดับเงินโบนัส แต่ต้องการสร้างความมั่นใจว่าการจัดสรรโบนัสจะไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงจนเกินไป เรามีกรอบการดำเนินการเพื่อที่ผู้เสียภาษีจะได้ไม่ต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องและถูกนำเงินภาษีไปช่วยเหลือธนาคารที่มีปัญหาเหมือนในอดีต
แอร์บัส-โบอิ้งเชื่อตลาดการบินกำลังฟื้นตัว
บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินพาณิชย์รายใหญ่สุดของโลก แอร์บัส (Airbus SAS) และ โบอิ้ง (Boeing Co.) คาดการณ์ว่าดีมานด์ในอุตสาหกรรมการบินจะฟื้นตัวขึ้นในปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจโลกดีดตัวขึ้นจากภาวะถดถอยที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายสิบปี ซึ่งช่วยกระตุ้นความต้องการการเดินทางทางอากาศ
จอห์น ลีฮี ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของแอร์บัส กล่าวที่งานดูไบ แอร์โชว์ว่า เขามองเห็นว่าตลาดกำลังฟื้นตัวขึ้น เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า สายการบินต่างๆเริ่มยกเลิกแผนชะลอการส่งมอบเครื่องบิน
แรนดี้ ทินเซธ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดเครื่องบินพาณิชย์ของโบอิ้ง กล่าวว่า ปี 2553 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัว และสายการบินต่างๆจะกลับมาทำกำไรได้ในปี 2554 โดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าจะช่วยปรับปรุงงบดุลของสายการบินต่างๆ
ทั้งนี้ แอร์บัส ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินสัญชาติฝรั่งเศส ประกาศทำข้อตกลงขายเครื่องบิน A320 มูลค่าราว 700 ล้านดอลลาร์กับสายการบินเยเมเนีย แอร์เวย์ และสายการบินเอธิโอเปีย แอร์เวย์ ยังได้สั่งซื้อเครื่องบิน A350 จำนวน 12 ลำด้วย
ขณะที่ บริษัทโบอิ้งของสหรัฐ กล่าวว่า บริษัทกำลังเจรจาร่วมมือทางธุรกิจกับ มูบาดาลา ซึ่งเป็นบริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลอาบูดาบี ซึ่งการหารือดังกล่าวอาจนำไปสู่ความร่วมมือที่ใกล้ชิดมากขึ้นในด้านการวิจัยและพัฒนา และด้านวิศวกรรม
เอเชียมอง FED คงดอกเบี้ยจุดกระแสเก็งกำไร-เงินเฟ้อ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการเงินของจีนและญี่ปุ่น เตือนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่า นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำของเฟดกำลังส่งผลให้เกิดการเก็งกำไรในรูปการทำ Arbitrage สกุลเงินดอลลาร์ (หรือการหากำไรจากการซื้อขายในเวลาเดียวกัน แต่ต่างตลาดกัน) และทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อด้านสินทรัพย์ ซึ่งผลที่ตามมาคือการขัดขวางกระบวนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
มาซาอากิ ชิรากาว่า ผู้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวในที่ประชุม Paris Europlace Financial Forum ที่กรุงโตเกียวในวันนี้ว่า กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะฟองสบู่แตกและเกิดความผันผวนในตลาดการเงินอีกครั้ง
ขณะที่ หลิว หมิงกัง ผู้อำนวยการฝ่ายกำหนดนโยบายด้านการธนาคารของจีนกล่าวว่า สกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนแอและอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำของสหรัฐส่งผลให้ราคาหุ้นและราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐพุ่งขึ้น ซึ่งทำให้กระบวนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ อีกทั้งจะทำให้ให้ระบบเศรษฐกิจโลกตกอยู่ในความเสี่ยงจนยากที่จะแก้ไขได้
ทั้ง 2 ประเทศ ต่างแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า อัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำจะช่วยให้ภาระหนี้สินของชาวอเมกันเบาลง แต่การคงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำไว้นานๆจะส่งผลให้เกิดการเก็งกำไร และการคงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
"ที่ผ่านมานโยบายการเงินแบบผ่อนปรนในกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าสู่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่จำนวนมาก สิ่งที่น่ากังวลก็คือหากเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ขยายตัวรวดเร็วกว่ากลุ่มประเทศมหาอำนาจอย่างต่อเนื่อง ผลที่ตามมาคือความผันผวนในตลาดการเงิน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกระลอกในที่สุด
และในตลาดเงินนั้น ความเห็นของ นักวิเคราะห์จากธนาคารไชน่า คอนสตรั๊คชั่น แบงค์ คอร์ป กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำในสหรัฐส่งผลให้เกิดการทำ carry trade ระหว่างสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและดอลลาร์ออสเตรเลีย ซึ่งการทำธุรกรรมเช่นนี้จะยิ่งทำให้ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอีกและทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
ญี่ปุ่นเผย GDP Q3/52 เติบโตสูงสุดในรอบ 2 ปี
ในภูมิภาคเอเชีย ข่าวที่มีความสำคัญของเศรษฐกิจในภูมิภาค คงหนีไม่พ้นประเด็น GDP ของญี่ปุ่น ซึ่งสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นรายงานในช่วงเช้าวานนี้ ว่า GDP ประจำไตรมาส 3 ของญี่ปุ่น ขยายตัวในอัตรา 4.8% ต่อปี สูงกว่าระดับ 2.9% ที่นักเศรษฐศาสตร์ประเมินเอาไว้ก่อนหน้า ซึ่งเป็นสถิติที่ขยายตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส และเป็นการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 2 ปี
หากมองเป็นรายไตรมาสเศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโต 1.2% ในไตรมาส 3 เทียบกับไตรมาส 2/52 ก่อนหน้านี้ GDP ญี่ปุ่นเติบโต 2.7% ในไตรมาส 2/52 และหดตัว 12.2% ในไตรมาส 1/52
การขยายตัวของในครั้งนี้ เป็นผลมาจากการขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศ มีส่วนช่วยหนุน GDP ขยายตัวขึ้น 0.8% และดีมานด์จากต่างประเทศมีส่วนช่วยหนุน GDP โตขึ้น 0.4%
สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นระบุว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นร้อยละ 60 ของตัวเลข GDP ขยายตัวขึ้น 0.7% ในไตรมาส 3 ขณะที่ตัวเลขการใช้จ่ายด้านทุนในภาคเอกชนขยายตัวขึ้น 1.6% และการลงทุนภาคสาธารณะขยับลง 1.2% บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอยรุนแรงแล้ว
GDP ไตรมาส 3 ของญี่ปุ่นขยายตัวขึ้นสอดคล้องกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ทางการญี่ปุ่นเปิดเผยในช่วงก่อนหน้านี้ รวมถึงยอดสั่งซื้อเครื่องจักรขั้นพื้นฐานประจำเดือนก.ย.พุ่งขึ้น 10.5% แตะที่ 7.38 แสนล้านเยน ซึ่งเป็นการปรับติดขึ้นติดต่อกัน 2 เดือน และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 3.1%
นอกจากนี้ จำนวนบริษัทล้มลายของญี่ปุ่นในเดือนต.ค.ลดลง 11.7% จากปีที่แล้ว แตะระดับ 1,261 ราย ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวลงติดต่อกัน 3 เดือน เพราะได้ปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
แต่อย่างไรก็ตาม โอโตะ คัง รัฐมนตรีแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ ได้ให้ความเห็นว่า ศก.ญี่ปุ่นยังคงอยู่ในภาวะเลวร้าย ถึงแม้ GDP ฟื้นตัวดีขึ้น โดยเขามองเห็นสัญญาณบ่งชี้ว่าญี่ปุ่นกำลังจะเข้าสู่ภาวะเงินฝืด โดยเขาย้ำว่า รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เพื่อป้องกันไม่ให้ภาวะเงินฝืดทวีความรุนแรงขึ้น
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (จันทร์ที่ 16 พ.ย. 2552) ? ยอดค้าปลีก (ต.ค.) เพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อนหน้า (มากกว่าคาดการณ์และเดือนก่อนหน้า) ? สินค้าคงคลังภาคธุรกิจ (ก.ย.) ลดลง 0.4% จากเดือนก่อนหน้า (น้อยกว่าคาดการณ์และเดือนก่อนหน้า)
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (อังคารที่ 17 พ.ย. 2552) ? ดัชนีราคาผู้ผลิต หรือ PPI (ต.ค.) โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ? ดัชนีตลาดอสังหาริมทรัพย์ (พ.ย.) โดยสมาคมผู้รับสร้างบ้านแห่งชาติสหรัฐฯ
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sue662
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 10:21:17 AM » |
|
อรุณสวัสดิ์คุณทองใหม่ค่ะ เรียนถามค่ะ เคยเห็นทองพุ่งดีเดือดขนาดนี้มั๊ยคะ เป็นไปได้มั๊ยคะ พุ่งแล้วพุ่งเลยไม่ย่อกลับลงมาน่ะค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 10:38:57 AM » |
|
อรุณสวัสดิ์คุณทองใหม่ค่ะ เรียนถามค่ะ เคยเห็นทองพุ่งดีเดือดขนาดนี้มั๊ยคะ เป็นไปได้มั๊ยคะ พุ่งแล้วพุ่งเลยไม่ย่อกลับลงมาน่ะค่ะ
เคยเห็นครับ อันนี้ยังน้อยไป วันละ๘๐เหรียญก็เห็นมาแล้วครับ พุ่งแล้วต้องกลับ ในเร็ววันนี้หากกลับไม่มาก หลังตรุษจีนอาจกลับใหญ่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sue662
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 11:32:27 AM » |
|
เป็นคำตอบที่มีค่ามากๆเลยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 11:35:27 AM » |
|
มอริเชียสซื้อทองคำ2ตันจากIMF วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 11:30
มอริเชียสซื้อทองคำ 2 ตันจากไอเอ็มเอฟ จุดกระแสแบงค์ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่แห่ซื้อตาม
ธนาคารกลางมอริเชียสได้ซื้อทองคำ 2 เมตริกตันจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มูลค่าประมาณ 71.7 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะเพิ่มสำรองทองคำและแห่ซื้อทองคำ ในขณะที่ราคาโลหะมีค่านั้นซื้อขายกันอยู่ใกล้ระดับสูงเป็นประวัติการณ์เนื่องจากเงินดอลลาร์ร่วงลง
ไอเอ็มเอฟวางแผนที่จะขายทองคำ 403.3 เมตริกตัน เพื่อพยุงสถานะทางการเงินขององค์กร ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางอินเดียก็ได้ซื้อทองคำของไอเอ็มเอฟไป 200 เมตริกตัน มูลค่า 6.7 พันล้านดอลลาร์
ราคาทองคำทะยานขึ้นไปแล้ว 29% ในปีนี้ หลังจากที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และนักลงทุนพยายามที่จะรักษาความมั่งคั่งของตนเองเอาไว้ เอวี ฮัมโบร ผู้บริหารของแบล็คร็อค อินเวสเมนท์ เมเนจเมนท์ กล่าวว่า ประเทศที่ถือทองคำอยู่ในคลังสำรองคงจะหันมาสนใจซื้อทองคำกันอีกครั้ง
เชน โอลิเวอร์ หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนของเอเอ็มพี แคปิตอล อินเวสเตอร์ส กล่าวว่า การซื้อทองคำของธนาคารกลางมอริเชียสครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ว่า ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่กำลังหาทางเพิ่มทุนสำรองต่างประเทศในรูปของทองคำ
เมื่อวานนี้ ราคาทองแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1,143.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาโลหะที่ซื้อขายที่สิงคโปร์เมื่อเวลา 10.48 น.อยู่ที่ 1,137.54 ดอลลาร์
ทั้งนี้ ทองคำที่ขายให้กับธนาคารกลางมอริเชียสนั้น คำนวณบนฐานราคาตลาดเมื่อวันที่ 11 พ.ย. ซึ่งราคาทองสปอตในวันดังกล่าวซื้อขายกันอยู่ในช่วง 1,105.66 - 1,118.88 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยไอเอ็มเอฟระบุว่า พร้อมที่จะขายทองให้กับธนาคารกลางประเทศต่างๆโดยตรง รวมทั้งการขายในตลาดเปิดหากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น
นายโอลิเวอร์กล่าวต่อไปว่า เงินดอลลาร์สหรัฐยังมีความผันผวนอยู่มาก และตอนนี้นักลงทุนก็ไม่ได้มีความมั่นใจในสกุลเงินใดๆมากนัก ทองคำจึงเป็นทางเลือกในขณะนี้
ประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งมีสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมากนับตั้งที่เกิดวิกฤตการเงินนั้น ได้แสดงความสนใจที่จะกระจายการลงทุนในสินทรัพย์นอกเหนือจากสินทรัพย์ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมากยิ่งขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jeera
|
|
« ตอบ #37 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 11:38:02 AM » |
|
จะซื้อกันทำไมคะเนี่ย แพงออก อย่างงี้ราคาจะลงเมื่อไหร่กัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Someone love one Some one love two But I love one That One is...U (^?^)-?
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 11:55:52 AM » |
|
บทวิเคราะห์ทองคำ (17-11-52)
17 พ.ย. 2552
สรุปภาวะตลาดเมื่อวาน ราคาโกลด์ฟิวเจอร์สปรับตัวเพิ่มขึ้นรุนแรงตามราคาสปอตซึ่งยังทำระดับสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ทองคำแท่งสมาคมฯปิดที่ 17,650/750 บาท เงินบาทแข็งค่าเล็กน้อย
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อเนื่องถึงวันนี้ รายงานการค้าปลีกของสหรัฐฯแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มมีการใช้จ่ายในแนวโน้มบวกมากขึ้น โดยมีเพียงอุปกรณ์แต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปการณ์เกี่ยวกับงานอดิเรกเท่านั้นที่มียอดขายแย่ลงเล็กน้อย ข่าวดังกล่าวถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์มากนัก ก็นับว่าเป็นข่าวดีในแง่ของรายละเอียดที่แสดงให้เห็นถึงผู้บริโภคที่เริ่มมีความมั่นใจและออกมาจับจ่ายสินค้ากันมากขึ้น จึงส่งผลให้หุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไปเมื่อนักลงทุนเริ่มเห็นว่าเศรษฐกิจอาจฟื้นได้ในเร็ววันนี้ โดยทองคำได้รับแรงผลักดันบวกเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย [US Census Bureau, TCAF Research] รายงานภาคการผลิตในรัฐนิวยอร์คปรากฏว่าผู้ผลิตเริ่มมองเศรษฐกิจในทิศทางที่บวกน้อยกว่าเดือนที่แล้วอย่างมาก โดยผู้ผลิตเริ่มมีการขยายตัวของยอดสั่งซื้อที่น้อยกว่าเดิมและยังไม่มีแนวโน้มจะเพิ่มคนงานอีกด้วย รายงานดังกล่าวจึงหน่วงให้ราคาหุ้นและทองคำไม่สามารถบวกเพิ่มขึ้นไปได้รุนแรงนัก [US NY Fed, TCAF Research] นายเบน เบอร์นานกี้ ประธานเฟด ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อชมรม Economic Club of New York ให้ความเห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังน่าเกิดขึ้นอย่างช้าๆเท่านั้น เนื่องจากการใช้จ่ายภาคผู้บริโภคที่ยังไม่ค่อยดีและการปล่อยกู้อาคารพาณิชย์ยังมีความเข้มงวดอยู่มาก และถึงแม้ว่าดอลลาร์แข็งค่าจะมีความสำคัญต่อการฟื้นตัว เฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำอีกนาน คำพูดดังกล่าวจึงเป็นการเปิดโอกาสให้นักเก็งกำไรกลับเข้ามาเก็งกำไรดอลลาร์อ่อนค่าต่อไปอีก ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นได้รุนแรง [Econoday, TCAF Research]
แนวโน้มทองคำวันนี้ เรามองว่านักลงทุนยังจะจับตามองและเก็งกำไรเกี่ยวกับการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯของจีนในเดือนกันยายน เราจึงคาดว่า "ราคาทองคำน่าจะแกว่งตัวรุนแรง" และแนะนำให้ "หยุดรอดูสถานการณ์ และซื้อขายเมื่อราคาหลุดแนวรับหรือแนวต้าน"
มุมมองทองคำ ภาวะเศรษฐกิจเปรียบเทียบในภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งมาตรการและมุมมองภาครัฐฯน่าจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคาทองคำในช่วงนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #39 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 12:03:47 PM » |
|
Daily Update 17-11-52
17 พ.ย. 2552
Gold Market Comentary
ประเด็นสำคัญ - ทองทำสถิติสูงสุดเหนือ 1,143 ดอลล์ - US ดอลล์ร่วงรับแนวโน้มดอกเบี้ยต่ำ - ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 136 จุดหลังเบอร์นันเก้ยันดอกเบี้ยต่ำ - น้ำมันดิบปิดพุ่ง 2.55 ดอลล์ขณะดอลล์ร่วง ราคาทองที่ตลาดสหรัฐแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือ 1,140 ดอลลาร์/ออนซ์ในวันจันทร์ ในขณะที่ค่าดอลลาร์ที่อ่อนลง หนุนความต้องการเสี่ยงสำหรับการลงทุนทั่วกระดาน ขณะที่เงินและโลหะกลุ่มพลาตินั่ม แตะจุดสูงสุดครั้งใหม่ ทองได้แรงหนุน ในขณะที่ดอลลาร์ร่วงลงเร็วขึ้น เดฟ เมเกอร์ หัวหน้านักวิเคราะห์จากบริษัท Vision Financial Markets กล่าวกับเอพีว่า สัญญาทองคำทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงหลังจากดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ เพราะดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงทำให้สัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงทองคำและน้ำมันดิบ มีราคาถูกลงสำหรับกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติ นายเบอร์นันเก้กล่าวย้ำว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำไประยะหนึ่ง ซึ่งถ่วงดอลลาร์สหรัฐลง และกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มทรัพยากรธรรมชาติ ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกตั้งแต่ทองจนถึงข้าวสาลีพุ่งขึ้น แต่ตลาดลดช่วงบวกลงในการซื้อขายชั่วโมงสุดท้าย เมื่อนางเมเรดิธ วิทนีย์ นักวิเคราะห์ชื่อดังกล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ CNBC ว่า การทะยานขึ้นของตลาดนั้นไม่ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐาน ข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า ยอดค้าปลีกเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนต.ค.แต่ยอดค้าปลีกไม่รวมรถยนต์ต่ำกว่าคาด และมีการปรับลดยอดค้าปลีกเดือนก.ย.ลงด้วย เทรดเดอร์มุ่งความสนใจไปที่ความล้มเหลวของจีนและสหรัฐในการบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับสกุลเงินในการประชุมสุดยอดเอเปก ซึ่งบ่งชี้ว่า จีนอาจยังไม่พร้อมที่จะปล่อยให้หยวนปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์ออกมาเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างๆ อาทิ ยูโร กองทุน SPDR Gold trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่าทางกองทุนได้ถือครองทองแท่งระดับ 1,113.519 ตัน ณ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 เพิ่มขึ้น 10.314 ตัน จากวันที่ 30 ตุลาคม 52 กลยุทธ์: ขอดูแนวโน้มค่าเงิน US/Euro ว่าสามารถยืนเหนือระดับ 1.504 เพราะเป็นดัชนีตัวเดียวที่สามารถสกัดการขึ้นของทองคำได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
brabus
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #40 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 12:04:40 PM » |
|
อรุณสวัสดิ์คุณทองใหม่ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #41 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 01:40:24 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
verb2be
Jr. Member
ออฟไลน์
กระทู้: 278
|
|
« ตอบ #42 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2009, 01:41:52 PM » |
|
ขอบคุณค่ะ คุณทองใหม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #43 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2009, 06:52:25 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #44 เมื่อ: พฤศจิกายน 18, 2009, 08:35:26 AM » |
|
ทองคำปิดบวก 20 เซนต์ วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 08:21
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวก จากกระแสคาดแบงค์ชาติอีกหลายประเทศ แห่ซื้อทอง
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 1,139.40 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 20.00 เซนต์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,127.80-1,142.00 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 18.387 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 1.30 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้นแตะระดับ 3.133 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ปิดที่ 1,462.50 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 17.90 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 372.00 ดอลลาร์/ออนซ์ ลดลง 4.00 ดอลลาร์
โดนัลด์ เซลกิ้น นักวิเคราะห์จากบริษัท National Securities Corp ในนิวยอร์ก กล่าวว่า นักลงทุนเชื่อมั่นว่าจะมีธนาคารกลางอีกหลายประเทศที่เข้าซื้อทองคำ หลังจากธนาคารกลางอินเดียเข้าซื้อทองคำจากไอเอ็มเอฟในปริมาณ 200 เมตริคตัน มูลค่า 6.7 พันล้านดอลลาร์ในช่วงต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา และล่าสุดมีรายงานว่าธนาคารกลางมอริเชียสได้ซื้อทองคำ 2 เมตริกตันจากไอเอ็มเอฟ มูลค่าประมาณ 71.7 ล้านดอลลาร์ คณะกรรมการบริหารของไอเอ็มเอฟอนุมัติให้นำทองคำ 403.2 เมตริคตันออกขาย โดยมีเป้าหมายที่จะระดมทุนเพื่อปล่อยเงินกู้ให้กับกลุ่มประเทศยากจน และเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการลดยอดขาดดุลงบประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ในอีก 4 ปีข้างหน้า โดยไอเอ็มเอฟเป็นผู้ถือครองทองคำรายใหญ่อันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐและเยอรมนี
ทั้งนี้ ไอเอ็มเอฟกล่าวว่า ทางองค์กรพร้อมแล้วที่จะขายทองคำโดยตรงให้กับธนาคารกลางต่างๆทั่วโลก และหากจำเป็นก็จะนำออกขายในตลาดเปิด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|