Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 33 34 [35] 36 37 ... 67   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: อ่าน เพลิน เพลิน  (อ่าน 95020 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #510 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2013, 09:53:01 AM »


ปั้นข้าวเหนียว

สิ่งที่ได้มาเปล่า

คือความเฒ่าชรา

สิ่งที่ต้องแสวงหา

คือคุณค่าของชีวิต



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #511 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2013, 12:54:27 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #512 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2013, 12:14:31 PM »

10 นาทีที่เสียเวลาดู คุณจะรักคนที่อยู่กับคุณทั้งชีวิตมากขึ้น

เป็นคลิปโฆษณาที่สร้างจากชีวิตจริงของชายชราคนหนึ่ง จขกท.ขออนุญาตแปลเพื่อให้เพื่อนๆเข้าใจง่ายมากขึ้น ผิดถูกอย่างไรขออภัยนะคะ


ฉากแรกเป็น ผจก.สอบสวนพนักงานคอลเซ็นเตอร์คนหนึ่ง ถามถึงสาเหตุว่าทำไมต้องเซ็นอนุมัติ เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายนี้ พนักงานคอลเซ็นเตอร์สาวจึงเล่าสาเหตุเป็นเรื่องราวต่างๆให้ฟัง



ชายชราคนหนึ่งอาศัยอยู่กับลูกสาวของเขา แต่ด้วยหน้าที่การงานของลูก ทำให้เขาไม่มีเวลาได้อยู่กับลูกมากนัก เขาอาศัยโทรศัพท์เป็นเครื่องมือสื่อสารให้เขาได้พูดคุยและใกล้ชิดลูกสาวได้มากขึ้น แต่อย่างไรเสียเขาก็ได้รับเพียงแค่เสียงข้อความตอบรับของลูกสาวเท่านั้น แต่ก็ทำให้เขามีความสุขที่ได้ฟังเสียงของเธอ



จนวันคริสตมาสลูกสาวประสบอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิต ชายชราก็ยังหมั่นโทรหาลูกสาวเขาทุกวันเหมือนทุกครั้งที่เธอยังมีชีวิตอยู่ จนวันหนึ่งเขาโทรหาลูกสาวเหมือนเช่นเคย แต่โทรศัพท์ของลูกถูกตัด ทำให้เขาร้อนรนใจ โทรถามคอลเซ็นเตอร์ ถามว่าทำไมถึงติดต่อเบอร์ลูกไม่ได้ จนพนักงานสาวบอกกับเขาจำเบอร์ผิดหรือเปล่า





ชายชราบอกว่า ตลอดสามปีที่ผ่านมา เขาจ่ายค่าโทรศัพท์มาโดยตลอดไม่เคยขาด และเก็บบิลชำระมาโดยตลอด

ชายชราย้อนคิดเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนที่ลูกสาวเคยถามเขาว่า เขาปรารถนาสิ่งใดมากที่สุดตอนนี้ เขาตอบว่าเขาต้องการเพียงแค่ลูกมีความสุขก็พอแล้ว

ชายชราต้องการฟังเสียงลูกสาวเก็บไว้ในความทรงจำเพียงเท่านั้น



พนักงานสาวเล่าเรื่องทั้งหมดให้ ผจก.ฟังทำให้ยอมเซ็นต์อนุมัติ เธอแจ้งกับชายชราว่าโทรศัพท์ใช้ได้ตามปกติแล้ว

เรื่องราวของชายชราที่หมั่นโทรหาลูกสาวตัวเองทุกวัน ทั้งที่ลูกสาวเสียชีวิตไป 3 ปีแล้ว ทำให้พนักงานสาวรีบกลับบ้านกอดพ่อของเธอทันทีหลังเลิกงาน ส่วน ผจก.หนุ่มเขาก็เริ่มเอาใจใส่พ่อของเขามากยิ่งขี้น



คุณแสดงความรักต่อคนที่คุณรักเมื่อไหร่ คุณเคยจำได้ไหม

เครดิต http://pantip.com/topic/30859420
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #513 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2013, 05:39:18 PM »

» Case Study : วิธีที่ท่านขงจื้อ ใช้สอนคนธรรมดา ให้กลายเป็น ยอดคน

เอี๋ยนหุยเป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีนิสัยใฝ่ศึกษา คุณธรรมงดงาม

วันหนึ่ง...เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า จึงเข้าไปสอบถามดู
ถึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า

ได้ยินลูกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวก ว่า “3 คูณ 8 ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญล่ะ!”

เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง?
พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”

คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน!
จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”

เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”

คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”

เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”

ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น!

เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8 ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย
เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”

เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น

ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป

ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป

::::::::::::::::::


พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ

ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้

ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า

“อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”

เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง

เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่

แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”

เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่

ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา

เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?

เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน
เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อย ๆ เดาะดาลประตูห้องของภรรยา

เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง

เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เมื่อเขาจุดตะเกียง
จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือ...น้องสาวของเขาเอง

::::::::::::::::::


พอฟ้าสาง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่
า“ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้ ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”

ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า...

“เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่ จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ และเมื่อวาน
เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”

เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”

ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว
ความคิดเลอะเลือน ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว

เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก
หากอาจารย์บอกว่า 3x8 ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคน ๆ หนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”

เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า...

“ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”

จากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยคอยติดตามไม่เคยห่างกาย

::::::::::::::::::

• บทสรุป

จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้นึกถึงเพลง ๆ หนึ่งของ อิวเค่อหลี่หลิน (นักร้องดูโอของไต้หวัน) ที่ร้องว่า
“หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง?

เช่นกัน บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”

เรื่องราวต่าง ๆ แบ่งเป็น "หนัก เบา รีบ ช้า" อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต

เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม

ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)

ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)

ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)

ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)

ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด

ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด

::::::::::::::::::


Credit : BUSINESS CONNECTION KNOWLEDGE


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #514 เมื่อ: สิงหาคม 28, 2013, 07:10:04 PM »


วันนี้ที่ไม่มีเธอแล้ว
 ฉันก็แค่ เหงา เหงา อ่อนล้า สิ้นหวัง หมดพลัง
 ก็ต้องปล่อย ให้ความรู้สึกมันชินชา
 หวังว่าสักวันหนึ่ง มันคงผ่านไป
ถึงแม้ว่า ไม่มีเราแล้ว



by pota
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 28, 2013, 07:14:45 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #515 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2013, 01:04:11 PM »






อาทร
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #516 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2013, 06:51:58 PM »



ฉันเพิ่งรู้ว่า ฉันไม่สามารถเปลี่ยนเธอได้
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
 แม้ว่าเราจะเดินร่วมทางกันมาแสนไกลแต่ใจเธอก็ไม่เคยเปลี่ยน
 เธอเคยรู้ไหมว่าฉันโดดเดี่ยวแค่ไหน
 เหนื่อยล้าที่ต้อง อด  ทน กับเหตุการณ์มากมาย
 ทั้งๆที่มีเธออยู่ข้างกาย
แต่ทำไมมันอ้างว้างในใจเหลือเกิน


by pota
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #517 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2013, 07:04:55 PM »

ความจริงของชีวิต

เวลาไม่เคยย้อนกลับ อนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
ความจริงที่จับต้องได้คือปัจจุบัน
ดังนั้นจงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า




ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด
วันนี้ถ้าทำอะไรผิด ก็จงยอมรับ เพื่อแก้ไข


ถ้ามัวแต่กังวลกับอดีต ก็จะไม่ก้าวไป
ดังนั้นจงลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว เพื่อกัาวไปข้างหน้า




เวลาคิดฟุ้งซ่าน ให้ตัดใจทิ้งเรื่องไร้สาระไปเหมือนกับทิ้งขยะ
แล้วจิตใจ จะมีพื้นที่สำหรับเก็บสิ่งดีๆเยอะขึ้น




คนที่โกรธ ก็เหมือนไฟ ที่สุมอยู่ที่ตัวเอง

ให้อภัยคนอื่นให้ได้ และอย่าลืมให้อภัยตัวเองด้วย





คนที่พูดให้ร้าย ส่วนมากเพียงเพราะเขากำลังกลัวเรา
คนที่ทำร้ายคนอื่น ส่วนมากก็เพราะตัวเองอ่อนแอ

ถ้าเราเริ่มกลัว เราก็จะเริ่มสูญเสียความเป็นตัวเอง
และอาจจะเริ่มพูดหรือทำอะไรร้ายๆ
ดังนั้น จงเข้มแข็ง และเป็นตัวของตัวเอง




ไม่มีใครทำอะไรกับจิตใจของเราได้ นอกจากเราจะรับมาเอง

...


by EZ Riya
http://blog.eduzones.com/coolforward/108970
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #518 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2013, 07:05:54 PM »


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #519 เมื่อ: กันยายน 10, 2013, 08:52:02 PM »

จัดการกับความโกรธอย่างไรดี



“ถ้าอยากเป็นคนงาม อย่าวู่วามโกรธง่าย” เป็นข้อเตือนใจที่คนไทยใช้เตือนตนเอง และอบรมสอนลูกหลานมาทุกยุคทุกสมัย เราต่างรู้ซึ้งกันดีว่า ความโกรธนำมาซึ่งความเสียหายหลายสิ่งหลายอย่างหลายคนจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่โกรธหรือไม่แสดงความโกรธให้ผู้อื่นเห็น ซึ่งบางคนสามารถทำได้ดีแต่ในขณะเดียวกันบางคนก็ดูเหมือนว่ายังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร อะไรทำให้คนเราแตกต่างกันในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ


ธรรมชาติของความโกรธ อารมณ์โกรธเป็นอารมณ์พื้นฐานที่มีติดตัวมนุษย์ตั้งแต่ช่วง 3-4 เดือนแรกของชีวิต เป็นภาวะอารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องด้วยความรู้สึกไม่พอใจ คัดค้าน ต่อต้าน หรือเป็นปฏิปักษ์ ความโกรธนั้นถูกยั่วยุให้เกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อมีความคับข้องใจ บ่อยครั้งที่ดูเหมือนจะแยกกันไม่ออกระหว่างความโกรธกับความเกลียด แต่ที่จริงแล้วมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ความโกรธเป็นความรู้สึกช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีต่อบุคคลซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ที่เราคุ้นเคย ใกล้ชิด หรือรักใคร่ ในขณะที่ความเกลียดเป็นความรู้สึกที่เรามีต่อคนใดคนหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า ซึ่งมีอิทธิพลของการเรียนรู้ร่วมอยู่ด้วย


สาเหตุของความโกรธ ความโกรธมักเกิดขึ้นเมื่อความหวัง
ความต้องการและความปรารถนากับสภาพความเป็นจริงไม่ตรงกัน และที่สำคัญคือ สภาพการณ์นั้น ๆ มีผลกระทบต่อความรู้สึกภาคภูมิใจ อบอุ่นใจ และความมั่นคงภายในจิตใจของบุคคล จนทำให้ยอมรับความจริงนั้น ๆ ได้ยาก ความโกรธอาจเกิดจาก



- ความรู้สึกเสียหน้า เสียศักดิ์ศรี เสียความสำคัญ เมื่อถูกหรือคิดว่าถูกทอดทิ้ง สบประมาทลบหลู่ดูหมิ่น



- การปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงในการสูญเสียสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะบุคคลสำคัญในชีวิตหรือสิ่งของที่รักมาก ความรู้สึกโกรธจะเป็นขั้นตอนหนึ่งของการไม่ยอมรับความจริง โดยมีความรู้สึกว่าทำไมเหตุการณ์เช่นนี้จึงต้องเกิดขึ้นกับตนด้วย และบางครั้งก็โกรธตรงที่ว่าตนไม่สามารถจัดการหรือป้องกันเหตุการณ์นั้น ๆ ได้



- ความผิดหวัง ไม่ได้ผลตอบแทนตามที่คาดคิดไว้ เช่น คิดว่าเมื่อเจอคนรู้จัก เรายิ้มให้เขา เขาควรยิ้มตอบ แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ เขาไม่ยิ้ม เรารู้สึกเสียหน้า เก้อ และโกรธ หรือการที่เรามีความหวังดีปรารถนาดีต่อคน ๆ หนึ่ง พยายามปกป้องทุกวิถีทาง แต่คน ๆ นั้นกลับไม่เห็นค่า ไม่เข้าใจ และยังต่อว่าหรือตำหนิเรา บางครั้งความรู้สึกน้อยใจ เสียกำลังใจและโกรธก็อาจเกิดขึ้นได้



ทำไมคนจึงโกรธมากน้อยต่างกัน เรื่องเดียวกัน ในสถานการณ์เดียวกัน คนบางคนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บางคนโกรธนิดหน่อย บางคนไม่โกรธแต่กลับรู้สึกขัน สังเวชใจ หรือสงสารคนก่อเรื่องให้แก่ตนเสียด้วยซ้ำ อะไรทำให้ระดับความโกรธของคนเราต่างกัน ข้อควรพิจารณาเห็นจะเป็นในเรื่อง คุณลักษณะพื้นฐานจิตใจของแต่ละบุคคล ซึ่งมีความแตกต่างกันในเรื่องต่อไปนี้เป็นสำคัญ



- ทัศนคติในการมองผู้อื่น คนบางคนมองผู้อื่นในแง่ดีงามอยู่เสมอ บางคนมองอย่างเป็นกลางในขณะที่บางคนหวาดระแวงและมองแง่ร้ายตลอดเวลา



- ความสามารถในการเข้าใจมนุษย์ ในแง่ของความต้องการ ท่าทีและที่มาของพฤติกรรมการแสดงออก ทั้งโดยส่วนรวมทั่วไปและที่เป็นเฉพาะรายบุคคล



- ความเชื่อมั่นในตนเอง ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีหลักการและเป้าหมายการดำเนินชีวิตหรือการทำงานที่แน่นอน มักไม่ใคร่ใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยที่อาจจะก่อกวนให้เสียอารมณ์ได้



- กระบวนการคิดของแต่ละคน บางคนเมื่อคิดหวังสิ่งใด มักต้องการได้รับการตอบสนองทันทีในขณะที่บางคนอดได้รอได้ และเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ขึ้น บางคนยืดหยุ่นได้ แต่บางคนยึดติดกับแนวความคิดเดิม ไม่ยอมเปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ใด ๆ



- ความสามารถในการควบคุมอารมณ์เมื่อมีอารมณ์โกรธ บางคนแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาไม่มีการยับยั้งสงวนท่าทีแต่อย่างใด บางคนสามารถกลบเกลื่อน หรือเตือนตัวเองให้แสดงออกในขอบเขตที่เหมาะสมได้



สิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวนี้จะเป็นไปในทิศทางที่ดีได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับความรู้ ความเข้าใจ และการฝึกฝนบริหารจิตใจอยู่เป็นนิจ



การแสดงความโกรธและผลกระทบ การแสดงความโกรธมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาการที่สังเกตเห็นได้บ่อยโดยทั่วไปคือ ปากสั่น มือสั่น ตัวสั่น เสียงสั่น พูดเสียงดัง หน้าตาแดงก่ำร้องไห้ กระทืบเท้า เดินหนี วิ่งหนี ไม่ยอมพูดด้วย ทำลายข้าวของ ทำร้าย ชกต่อย ในส่วนที่มองไม่เห็นซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายก็มี เช่น หัวใจเต้นแรง กล้ามเนื้อเกร็ง อวัยวะต่าง ๆ ต้องทำงานอย่างฉุกเฉิน



ผู้ที่อยู่ในอาการโกรธแค้นนาน ๆ และต่อเนื่อง อาจนำไปสู่การเป็นโรคบางชนิดได้ อาทิ ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ เป็นต้น การมีอารมณ์โกรธ นอกจากจะส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพของบุคคล และเสียความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นแล้ว ยังส่งผลร้ายให้แก่สุขภาพทั้งกายและจิตอีกด้วย เพราะในขณะที่มีอารมณ์โกรธนั้น จะมีความรู้สึกวิตกกังวลและเกิดความว้าวุ่นใจร่วมด้วย ซึ่งถ้าหากเป็นเรื้อรังยาวนานก็จะเป็นปัจจัยนำไปสู่การเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงได้



การควบคุมอารมณ์โกรธ อารมณ์โกรธบางครั้งเราควบคุมไม่ให้เกิดไม่ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ส่วนเรื่องที่ควบคุมได้ที่ควรคำนึงถึง 2 ประการ คือ การควบคุมวิธีการในการระบายความโกรธและการควบคุมระยะเวลาของการโกรธ



การควบคุมวิธีการในการระบายอารมณ์โกรธ เมื่อมีอารมณ์โกรธ บางคนเข้าใจดีว่าการแสดงท่าทีหรือกล่าวคำรุนแรงกับคู่กรณีหรือผู้หนึ่งผู้ใดออกไป จะทำให้เกิดความเสียหายต่าง ๆ นานา หรือในบางทีก็ไม่กล้า จึงพยายามฝืนใจไม่แสดงออกในขณะนั้น แล้วใช้วิธีระบายอารมณ์กับคนใกล้ชิด ซึ่งความโกรธก็ดูจะบรรเทาเบาบางลงและความเสียหายก็จะเกิดน้อยลง ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือ เราทำร้ายผู้ใกล้ชิดหรือคนที่เรารักโดยที่เราไม่ตั้งใจ ด้วยการระบายอารมณ์โกรธที่มีต่อคนอื่นใส่บุคคลเหล่านี้ โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว และผู้ที่ถูกเราระบายอารมณ์ใส่ก็ไม่เข้าใจว่าเพราะใคร หรืออะไรเราจึงได้โกรธมากมายอย่างนี้พาลระแวงสงสัยหรือขุ่นข้องหมองใจว่า เขาทำผิดสิ่งใดกัน เราจึงได้โกรธมากมายอย่างนี้ กรณีเช่นนี้



การควบคุมระยะเวลาของการโกรธ ความโกรธที่เกาะแน่นในใจยิ่งนานวันเท่าไรก็จะส่งผลร้ายมากขึ้นเท่านั้น เมื่อรู้ตัวว่าโกรธและนึกรู้ถึงผลเสียที่จะตามมา การใช้ปัญญาและเหตุผลเพื่อระงับหรือลดความโกรธให้น้อยลง ดูจะมีบทบาทสำคัญในช่วงนี้ ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้ลดลงหรือหมดไปมิใช่ด้วยการคิดพยายามทนต่อความโกรธนั้น ที่จะเป็นไปได้คือ ต้องพยายามสร้างความเข้าใจในเรื่องที่โกรธให้ได้เสียก่อนว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ เมื่อเข้าใจดีแล้ว ความรู้สึกเห็นใจและให้อภัยก็จะตามมาและพัฒนาไปสู่ความรัก ความเข้าใจ ที่มีเหตุผลได้



แนวทางในการพิจารณาเพื่อการลดหรือระงับความโกรธ อาจมีได้ดังนี้



นึกถึงผลของการโกรธ โดยพิจารณาว่า ระหว่างผลดีและผลเสียอะไรมีมากกว่ากัน ระหว่างผู้ที่ทำให้เราโกรธกับตัวเราเอง ใครเดือดร้อนหรือเสียหายเนื่องจากการโกรธมากกว่ากัน ตัวเราผู้โกรธเองใช่หรือไม่ และบางครั้งยังรวมไปถึงคนที่รักเราหรือคนที่เรารักด้วยใช่ไหม แล้วทำไมเราจึงต้องสานต่อความโกรธให้มีอยู่ต่อไป บางครั้งผู้ที่ทำให้เราโกรธอาจทำไปโดยไม่รู้ตัว หรือไม่เจตนาก็ได้ และที่ร้ายกว่านั้นคือถ้าเขาเจตนา การทุกข์ทรมานด้วยความโกรธของเรามียิ่งทำให้เขาสมหวังมากขึ้นหรือ ทำไมเราจึงต้องซ้ำเติมตัวเอง แล้วคนประเภทนั้นมีคุณค่ามากพอที่เราจะไปเสียอารมณ์ด้วยละหรือ



นึกถึงความดีหรือส่วนดีของอีกฝ่าย ถึงแม้เขาจะทำไม่ดี ไม่ถูกใจเราในเรื่องนี้ แต่เรื่องอื่น ๆ เขาก็ทำได้ดี หรือไม่ก็เท่าที่ผ่าน ๆ มา เขาก็ดีกับเราตั้งหลายเรื่อง บางครั้งก็จำเป็นที่จะต้องมองข้ามหรือทำใจ ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่มีสิทธิ์และไม่ควรไปตั้งความหวังในตัวคนอื่น เพราะแม้แต่ตัวเราเองบางครั้งเราหวังให้ตัวเราทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จตั้งหลายครั้ง เราไม่ค่อยผิดหวังหรือโกรธตัวเอง เพราะว่าเราเข้าใจ ยอมรับและให้อภัยตัวเองเสมอ แต่ที่น่าแปลกใจคือ ทำไมเรามักจะยอมรับไม่ได้ หรือไม่พยายามที่จะเข้าใจ เมื่อคนอื่นไม่ทำตามที่เราหวังไว้



กล้าเผชิญกับความจริง พยายามพิจารณาตัวเองและปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ โดยพิจารณาจากเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้ว่า จริง ๆ แล้วเราก็มีส่วนผิดด้วยใช่หรือไม่ เราคิดเข้าข้างตนเองมากเกินไปใช่ไหม เราไม่สามารถที่จะเข้าใจและให้อภัยคนคนนี้อีกต่อไปแล้ว หรือเราทำตัวเหมาะสมกับการเป็นผู้ใหญ่แล้วละหรือเหล่านี้เป็นต้น



ผู้ที่มีเหตุผลและมีมโนธรรม ย่อมสามารถลดหรือระงับความโกรธได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ถ้ามีความตั้งใจจริง



สถานการณ์ใดที่ควรแสดงความโกรธ ในบางครั้งแม้แต่คนที่อารมณ์เยือกเย็นสุขุมอยู่เสมอนั้นเมื่อถึงคราวจำเป็นขึ้นมา และเมื่อความอดทนหมดสิ้นลง ก็สามารถจะกระทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดได้เหมือนกัน ทั้งนี้ เพราะคนทุกคนต่างมีสัญชาติญาณแห่งการเอาชนะผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดด้วยกันทั้งนั้น ผู้ที่สำนึกในคุณค่าของตัวเองนั้น จะต้องป้องกันศักดิ์ศรีของตนเสมอ การต่อสู้ของบุคคลเหล่านี้ไม่เพียงเพื่อการดำรงความเคารพในตัวเองไว้เท่านั้น แต่ยังดำรงความเคารพนับถือที่คนอื่นมีต่อตนไว้อีกด้วย และที่สำคัญเขายังรู้ด้วยว่าอารมณ์โกรธนั้น บางครั้งสามารถนำมาใช้จัดการหรือปกครองคนบางประเภทได้ คนเราจึงไม่ควรหลีกเลี่ยงการต่อสู้เมื่อถึงคราวจำเป็นจริง ๆ



จัดการกับคนที่กำลังโกรธอย่างไรดี คนที่กำลังโกรธและเกี่ยวข้องกับเรานั้นมี 2 ประเภทคือ



ประเภทแรก กำลังโกรธและใช้เราเป็นที่ระบายอารมณ์ ซึ่งสาเหตุของการโกรธอาจโกรธที่ตัวเราหรือโกรธคนอื่นแต่มาลงที่เราก็ได้ วิธีการที่ใช้แล้วได้ผลที่ควรพิจารณานำไปใช้ คือ การวางท่าเคร่งขรึมการนิ่งฟัง การแสดงออกทางสายตา หรือด้วยการพูดด้วยคำพูดที่มีน้ำหนักเพียงคำสองคำเหล่านี้ อาจทำให้อีกฝ่ายถึงกับงันไปก็มี เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เขาพยายามทำแล้วไม่ได้ผล เขาก็จะเงียบเสียงลง ท่าทีที่ใช้ต้องให้เหมาะสมกับสถานะของทั้งสองฝ่าย เช่น เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าสถานะสูงกว่า เราอาจทำได้เพียงการนิ่งฟังแต่ถ้าเขากับเราเท่าเทียมกัน อาจใช้คำพูดให้ได้คิด หรือในผู้ที่สถานะต่ำกว่าเราอาจใช้การแสดงออกทางสายตา การะแนะนำสั่งสอน เหล่านี้ก็ควรพิจารณาให้เหมาะสมด้วย



ประเภทที่สอง อารมณ์โกรธยังค้างอยู่และต้องการการช่วยเหลือ พวกนี้สงบลงบ้างแล้วการช่วยเหลือผู้ที่กำลังโกรธไม่มีอะไรดีที่สุดเท่ากับการรับฟังอย่างตั้งใจ ในเรื่องราวที่เขาเล่าหรือระบายออกการมีคนฟัง บางครั้งดูเหมือนว่าความโกรธได้ลดลงไปกว่าครึ่งแล้ว ส่วนเรื่องการแสดงความเห็นอกเห็นใจหรือการให้คำแนะนำปรึกษาใด ๆ นั้น ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและความเป็นจริงเป็นสำคัญแนวทางการปฏิบัติใด ๆ จะบังเกิดผลดีได้ก็ต่อเมื่อ ผู้รับมีความพร้อมที่จะรับ มีความสามารถที่จะใคร่ครวญ


พิจารณาและเลือกวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองแล้วเท่านั้น



เพื่อการดำเนินชีวิตประจำวันไปได้อย่างราบรื่นและสงบ บางครั้งจำเป็นต้องไม่เอาใจใส่หรือต้องทนต่อคำสบประมาทเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเพิกเฉยต่อคำวิพากษ์วิจารณ์และคำพูดติเตียนของคนอื่นเสียบ้างและเมื่อถึงคราวจำเป็นที่ต้องต่อสู้ สิ่งสำคัญคือ ความสุขุมและวิจารณญาณที่ดีพอ โดยมีจุดประสงค์ที่แท้จริงคือ การแก้ปัญหาอย่างประนีประนอม มิใช่การต่อสู้กันด้วยวาจาหรือกำลัง หากแต่เป็นการเอาชนะกันด้วยไมตรีจิตมิใช่ด้วยการบีบบังคับใด ๆ



แหล่งที่มา :

สมพร อินทร์แก้ว. เอกสารสุขภาพจิต ประกอบการเผยแพร่ทางโทรทัศน์และวิทยุกระจายเสียง. มปท. มปป, หน้า 38 – 43.

สำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #520 เมื่อ: กันยายน 13, 2013, 09:01:30 AM »


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #521 เมื่อ: กันยายน 13, 2013, 09:03:42 AM »





บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #522 เมื่อ: กันยายน 13, 2013, 09:04:20 AM »




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #523 เมื่อ: กันยายน 13, 2013, 09:05:57 AM »



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #524 เมื่อ: กันยายน 13, 2013, 07:54:10 PM »



บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 33 34 [35] 36 37 ... 67   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: