|
|
Jeera
|
|
« ตอบ #47 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2009, 06:41:18 AM » |
|
หนีห่าว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Someone love one Some one love two But I love one That One is...U (^?^)-?
|
|
|
|
sue662
|
|
« ตอบ #49 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2009, 08:59:18 AM » |
|
อรุณสวัสดิ์คุณทองใหม่ค่ะ ขึ้น 58% อีกแล้วนะคะ คุณทองใหม่คะ หากมีคนเดาว่าทองจะไต่ขึ้นเรื่อยๆไม่ย่อลงมาเท่าไรแล้ว กราฟไม่ต้องดูแล้ว จะน่าเชื่อมั๊ยคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #51 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2009, 09:09:58 AM » |
|
อรุณสวัสดิ์คุณทองใหม่ค่ะ ขึ้น 58% อีกแล้วนะคะ คุณทองใหม่คะ หากมีคนเดาว่าทองจะไต่ขึ้นเรื่อยๆไม่ย่อลงมาเท่าไรแล้ว กราฟไม่ต้องดูแล้ว จะน่าเชื่อมั๊ยคะ
อย่าเชื่ออะไรแบบเต็มร้อย โอกาสผิดพลาดมีอยู่ครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 25, 2009, 09:38:28 AM โดย ทองใหม่ »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #52 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2009, 09:38:48 AM » |
|
ธนาคารกลางสหรัฐฯเรียกธนาคารพาณิชย์ส่งแผนจ่ายคืนหนี้โครงการ TARP 7 แสนล้านเหรียญ
Posted on Wednesday, November 25, 2009 หุ้นติดลบ นักลงทุนกังวลแบงก์เพิ่มทุน - GDP สหรัฐฯ
นักลงทุนขายหุ้นทำกำไรกันออกมา ต่อเนื่องจากทางฝั่งตลาดเอเชียที่มีข่าวว่าธนาคาร 5 แห่งของจีนอาจต้องถูกบังคับให้มีการเพิ่มทุน ขณะที่ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF บอกว่า เท่าที่ผ่านมาธนาคารเปิดเผยตัวเลขการขาดทุนจากวิกฤติการเงินออกมาเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
นอกจากนี้ รายงานเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ ก็คือ ตัวเลข GDP ปรับปรุงของไตรมาส 3 ก็ออกมาขยายตัว 2.8% ซึ่งลดลงจากที่เคยประกาศครั้งแรก ที่ 3.5% สาเหตุหลักก็เป็นเพราะการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ต่ำกว่าคาด
หุ้นกลุ่มการเงินในดัชนี S&P 500 ถูกขายออกมา นำโดย JPMorgan Chase และ Bank of America เมื่อบริษัทประกันเงินฝาก หรือ FDIC ระบุว่า จำนวนสถาบันการเงินที่มีปัญหาในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 552 แห่งแล้วในไตรมาส 3 และในเวลาเดียวกัน มูลค่าเงินกองทุนที่ช่วยลูกค้าในกรณีแบงก์ล้ม ก็ลดลงเป็นตัวเลขติดลบแล้ว
อย่างไรก็ดี บรรยากาศการลงทุนทั้งที่ยุโรปและสหรัฐฯ ยังมีแรงหนุน เมื่อตัวเลขความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมันพุ่งขึ้นมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดในเดือนพฤศจิกายน และขึ้นมาที่ระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน ขณะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ลดช่วงลบลงในช่วงครึ่งหลังการซื้อขาย เมื่อรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินแสดงถึง การคาดการณ์แนวโน้มอัตราการว่างงานในประเทศที่ลดลงสำหรับปีนี้และปีหน้า โดยคาดว่าตัวเลขจะชะลอลงไปที่ 9.3 ? 9.7% ในไตรมาส 4/53 จากที่เคยคาดไว้เมื่อกลางปีที่ผ่านมาว่าจะอยู่ที่ 9.5 ? 9.8% แม้จะมีความเป็นห่วงว่า การที่อัตราดอกเบี้ยยืนอยู่ในระดับที่ต่ำมากเช่นนี้ต่อไป อาจจะสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดการเก็งกำไรกันอย่างหนักในตลาดการเงิน และบิดเบือนภาพแนวโน้มเงินเฟ้อได้
นอกจากนั้น ก็มีปัจจัยบวกมาจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์ที่ระบุว่า ผลกำไรของบริษัทอเมริกันปรับตัวขึ้นในไตรมาส 3 ด้วยอัตราสูงที่สุดในรอบห้าปี นำโดย ธุรกิจธนาคารที่กำไรโตขึ้นมาถึง 36% หรือราว 97,000 ล้านเหรียญ ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ กำไรเพิ่มขึ้น 2% หรือ 12,900 ล้านเหรียญ
เฟดเรียกแบงก์ส่งแผนจ่ายคืนหนี้โครงการ 7 แสนล้านเหรียญ
ผ่านกันมาได้สักพักแล้วสำหรับฝุ่นที่ตลบในภาคการเงินการธนาคารของสหรัฐฯ มาถึงตอนนี้ก็ถึงคราวที่เฟดได้เวลาส่งสัญญาณให้ธนาคารที่ผ่านการทดสอบสถานะการเงิน (Stress tests) ต้องยื่นแผนการจ่ายคืนหนี้ให้กับรัฐบาลที่เคยให้ความช่วยเหลือเมื่อครั้งวิกฤติการเงินกำลังสุกงอม
ทั้งสำนักข่าว Bloomberg และ Reuters รายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ขอให้สถาบันการเงินทั้ง 9 แห่งที่อยู่ในส่วนหนึ่งของการทำ Stress Tests ที่ผ่านมาในปีนี้ ส่งแผนการชำระคืนเงินช่วยเหลือและเพิ่มทุนที่ได้มาจากรัฐบาล โดยแผนการคืนเงินดังกล่าว ที่รวมถึงกำหนดการชำระเงิน ที่ Bank of America และธนาคารอีกแปดแห่งถูกขอให้ส่งมอบ ก็ยังได้มีการเปิดทางเลือกอื่นๆ ไว้ด้วย สำหรับการจ่ายเงินคืนเข้ากองทุน TARP หรือที่คุ้นเคยกันว่ามาตรการช่วยเหลือภาคการเงิน 7 แสนล้านเหรียญ ถ้าหากแบงก์สามารถทำการเพิ่มทุนและมีส่วนสำรองที่เหลือพอสำหรับเหตุที่ไม่คาดฝันในอนาคต
คำประกาศของเฟดนี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับธนาคารที่พอใจกับความยืดหยุ่นของกำหนดการชำระคืนหนี้โครงการ TARP รวมถึงเงื่อนเวลาสบายๆ ที่เคยได้
และถ้าย้อนกลับไปดูความช่วยเหลือที่รัฐหยิบยื่นให้ด้วยความจำเป็น ธนาคารทั้ง 9 แห่งก็ได้รับเงินมาแล้วรวมกันกว่า 142,000 ล้านเหรียญ ภายใต้โครงการเจ็ดแสนล้านที่สภาคองเกรสเซ็นหนุนหลังให้นำออกมาใช้ได้ตั้งแต่ปี 2008 และแบงก์ที่ยังไม่จ่ายคืนหนี้ในโครงการนี้ ก็มี Bank of America, PNC, Citigroup, Fifth Third Bancorp, GMAC, KeyCorp, Regions Financial Corp., SunTrust Banks และ Wells Fargo
เฟดเองเคยเปิดเผยผลของการทำ Stress tests ไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ตรวจสอบดูว่า ผู้ปล่อยกู้ขนาดใหญ่ทั้ง 19 แห่งของประเทศจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ และปัญหาการว่างงานที่รุนแรงมากกว่าคาด ซึ่งผลออกมาว่า มีแบงก์ทั้งสิ้น 10 แห่ง ที่รวมถึง Bank of America, Wells Fargo และ Citigroup ที่จำเป็นต้องเพิ่มระดับทุนของตนเอง
อย่างไรก็ดี มีเงื่อนไขที่สำคัญอีกข้อที่กฏหมายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ได้กำหนดไว้ ก็คือ ธนาคารที่จะจ่ายคืนหนี้ได้ จะต้องผ่านการระดมทุนมาเองอย่างเรียบร้อย ซึ่งนับตั้งแต่นั้น ก็มีบางธนาคาร อย่างเช่น Goldman Sachs Group, Morgan Stanley และ JPMorgan Chase ที่นำเงินมาจ่ายคืนหนี้กองทุน TARP ด้วยฐานเงินทุนที่เพิ่มขึ้นและปราศจากเงินของรัฐบาล
ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมันทำ New-Hi รอบ 15 เดือน
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจประจำเดือนพ.ย.ของเยอรมนีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน สูงกว่าการคาดการณ์และทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8
หลังจากรัฐบาลเยอรมนีใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 85,000 ล้านยูโร (127,000 ล้านดอลลาร์) ซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวขึ้นจากภาวะถดถอย
สถาบัน Ifo เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี ซึ่งได้จากการสำรวจความเห็นผู้บริหารราว 7,000 คน ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 91.9 ในเดือนต.ค. สู่ระดับ 93.9 ในเดือนพ.ย. โดยดัชนีดังกล่าวเคยร่วงลงไปอยู่ที่ระดับ 82.2 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 26 ปี
ทั้งนี้ เศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาส 3/52 ขยายตัว 0.7% จากไตรมาส 2 เนื่องจากยอดส่งออกสินค้าปรับตัวสูงขึ้น และบริษัทหลายแห่งเพิ่มกำลังการผลิตและการลงทุน ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิตในเดือนพ.ย.ขยายตัวเป็นเดือนที่ 2 และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีพุ่งสูงขึ้น 19% ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงาน การแข็งค่าของเงินยูโร และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมูลค่า 85,000 ล้านยูโร (127,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่เริ่มครบกำหนดหมดอายุ อาจฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า
นอกจากนี้ รัฐบาลได้ปรับเพิ่มแนวโน้มเศรษฐกิจเมื่อเดือนที่ผ่านมา โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ประมาณ 1.2% ในปี 2553 หลังจากที่หดตัว 5% ในปีนี้
ADB เตือนเอเชียระวังเงินไหลเข้า-แนะพัฒนาตลาดพันธบัตร
ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) เปิดเผยว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว / การแข็งค่าขึ้นอย่างมากของค่าเงิน และอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าในประเทศเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออก จะดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติจำนวนมาก ซึ่งเงินที่ไหลเข้าอาจจะทำลายเสถียรภาพได้
ประเทศเอเชียตะวันออกในที่นี้ หมายรวมถึง จีน ฮ่องกง อินโดนิเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม
คำกล่าวของ ABD ระบุว่า เงินทุนไหลเข้าเหล่านี้ ประกอบกับสภาพคล่องจำนวนมากในประเทศ นโยบายการเงินที่ยังคงผ่อนคลายอยู่ และอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความยืดหยุ่นเพียงเล็กน้อยในภูมิภาคนี้ อาจสร้างความท้าทายสำคัญสำหรับการบริหาร ศก.มหภาค
หนี้ค้างชำระทั้งหมดในตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออก ได้เพิ่มขึ้น 14.8% สู่ระดับ 4.2 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับ Q3/52
อัตราการเพิ่มขึ้นอย่างมากดังกล่าวสะท้อนถึงความต้องการเงินทุน สำหรับโครงการกระตุ้นทางการคลังของรัฐบาล รวมทั้งความต้องการเงินทุนของภาคเอกชนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาย และพลังงาน
นอกจากนี้ ADB ยังได้ผลักดันให้รัฐบาลในเอเชียพัฒนาตลาดพันธบัตรภายในประเทศต่อไป เพื่อลดเม็ดเงินในคลังสำรองที่มีอยู่มากเกินไป
หลังจากที่รัฐบาลนำเงินดังกล่าวไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นภาวะไร้สมดุลที่มีการกล่าวโทษกันว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก
ปินทุ โลฮานี รองประธานฝ่ายการเงินและจัดการของ ADB กล่าวว่า ตอนนี้มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มการออกพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่น ตลอดจนการใช้มาตรการต่างๆเพื่อผลักดันให้นักลงทุนสถาบันและต่างชาติเข้ามาซื้อพันธบัตรของเอเชีย และปรับปรุงกรอบนโยบายและการกำกับดูแล เพื่อที่นักลงทุนจะได้มีความสบายใจในการลงทุนในตลาดภูมิภาคเอเชีย ซึ่ง ADB พร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว
รองประธานฝ่ายการเงินกล่าวต่อไปว่า ตลาดทุนที่คึกคักเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับการกระจายการลงทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนในระยะยาวและการรักษาระดับการขยายตัวให้อยู่ในระดับสูงต่อไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลา แต่ ADB คาดหวังว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้
แบงก์จีนเตรียมเพิ่มทุน หลังรัฐออกกฎเข้ม
ธนาคาพาณิชย์ 5 แห่งในจีน ประกอบด้วย 1.Industrial & Commercial Bank of China // 2.China Construction Bank // 3.Bank of China // 4.Agricultural Bank of China // 5. Bank of Communications ต่างวางแผนที่จะเพิ่มทุน หลังจากคณะกรรมการกำกับดูแลธนาคารจีนได้ปรับกฎเกณฑ์ใหม่ให้มีความเข้มงวดขึ้น เพื่อให้ธนาคารมีความสามารถในการรองรับด้านการเงิน
ธนาคารทั้ง 5 แห่ง ได้ปล่อยสินเชื่อในรอบ 9 เดือน ตั้งแต่ต้นปี คิดเป็นเงิน 4.7 ล้านล้านหยวน (688,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) แม้ว่าสถาบันปล่อยเงินกู้ทั่วโลกจะควบคุมการออกสินเชื่อเพื่อปรับตัวเลขดุลบัญชีธนาคารให้ดีขึ้น จากอัตราการขยายตัวด้านการปล่อยสินเชื่อของจีนทำให้เงินทุนของธนาคารหดหายไปอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้ธนาคารมีหนทางจำกัดในการแก้ปัญหาในกรณีที่มูลค่าของสินทรัพย์ปรับตัวลดลง
ธนาคารเหล่านี้ได้คาดการณ์ตัวเลขขาดทุนในปี 2553 เมื่อพิจารณาจากตัวเลขคาดการณ์เงินกู้และเป้าหมายสัดส่วนเงินทุนต่อปี
แบงค์ ออฟ ไชน่า ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่อันดับ 3 ของจีนเผยอยู่ในระหว่างการศึกษาเรื่องแนวทางการเพิ่มเงินทุน เพื่อสร้างความมั่นใจว่า การขยายตัวจะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ธนาคารอาจจำเป็นต้องระดมทุนประมาณ 1 แสนล้านหยวน หรือ 14,600 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ใหม่ของคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการธนาคารจีน
ขณะที่คณะกรรมการกำกับดูแลธนาคารจีนได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวที่ว่า คณะกรรมการได้ผลักดันให้ธนาคารขนาดใหญ่เพิ่มอัตราความพอเพียงของเงินทุนเป็น 13% ในปีหน้า ขณะที่ธนาคารต่างๆจำเป็นต้องจัดทำแผนระยะยาวในเรื่องการเพิ่มเงินทุน ส่วนธนาคารที่มีอัตราเงินทุนต่ำจะต้องเผชิญกับกฎเข้มในด้านการดำเนินการ
อัตราความพอเพียงของเงินทุนของแบงค์ออฟไชน่าร่วงลงมาอยู่ที่ 11.63% เมื่อวันที่ 30 ก.ย.เป็นต้นมา จากระดับสิ้นปีที่แล้วที่ 13.43% หลังจากที่ยอดปล่อยกู้ล็อตใหม่เพิ่มขึ้นแตะ 1.4 ล้านล้านหยวนในช่วง 9 เดือนแรก ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในบรรดาธนาคารในประเทศด้วยกันเอง
องค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) คาดการณ์ว่า ทางการจีนอาจควบคุมการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อบรรเทาแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและเพื่อป้องกันภาวะฟองสบู่ในสินทรัพย์ ขณะที่บีเอ็นพี พาริบาส์คาดว่า ธนาคารพาณิชย์ของจีนอาจมียอดการปล่อยสินเชื่อสูงถึง 7 ล้านล้านหยวนในปี 2553
ออสเตรเลียเล็งช่วยธุรกิจถ่านหิน-ไฟฟ้า
รัฐบาลออสเตรเลียได้เสนอแนวทางในการสนับสนุนกลุ่มผู้ผลิตถ่านหินและไฟฟ้าของประเทศ เพื่อที่แผนการซื้อขายปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะได้รับเสียงสนับสนุนจากฝ่ายค้าน
การให้ความช่วยเหลือแก่ธุรกิจและบริษัทที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับผลกระทบจากการนำโครงการซื้อขายปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาใช้จะอยู่ที่ประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือ 6,400 ล้านดอลลาร์
นายเควิน รัดด์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าวในการแถลงข่าวเรื่องการประกาศข้อตกลงนี้ว่า ออสเตรเลียจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศก่อนใครและหนักสุด ดังนั้นความรับผิดชอบในเรื่องนี้คือ การลงคะแนนเสียงเพื่อให้มีการดำเนินการและแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
บลูมเบิร์กรายงานว่า ข้อเสนอดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการเจรจาต่อรองระหว่างรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งนับรวมถึงพรรคลิเบอรัลและเนชั่นแนล
อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ยังต้องมีการหารือกันอีกว่าจะให้การสนับสนุนเพื่อปรับเปลี่ยนเนื้อหาใดๆรวมทั้งตัวข้อเสนอหรือไม่
วุฒิสภาออสเตรเลียไม่ได้ให้เสียงสนับสนุนกฎหมายเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศดั้งเดิมที่นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอไปเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกถ่านหินรายใหญ่สุดของโลกนั้น ได้เสนอให้มีการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 5% เหลือ 15% จากระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2543 ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
นักกฎหมายบางคนได้หาทางที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่านี้ ขณะที่นักกฎหมายบางกลุ่มกล่าวว่า แผนการดังกล่าวสร้างความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจของออสเตรเลีย โดยปราศจากการรับประกันว่ากฎมายจะช่วยบรรเทาปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างไร ซึ่งนายกฯออสเตรเลียจำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก 7 รายเพื่อผ่านความเห็นชอบกฎหมายดังกล่าวในวุฒิสภา
ทรูเอ็นเนอร์จี พีทีวาย ซัพพลายเออร์พลังงานเปิดเผยว่า กฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์นั้นถือเป็นหายนะสำหรับเศรษฐกิจในรัฐวิคตอเรีย และอาจจะทำให้อุตสาหกรรมไฟฟ้าย่ำแย่ลง
ทั้งนี้ นายกฯออสเตรเลียต้องการให้มีการอนุมัติแผนการณ์ดังกล่าวก่อนหน้าการประชุมว่าด้วยสภาพอากาศของสหประชาชาติ ที่กรุงโคเปนเฮเกน ของเดนมาร์กในเดือนหน้า ซึ่งจะมีการออกกฎหมายออกมาเพื่อกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2554
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (อังคารที่ 24 พ.ย. 2552) ? GDP (Q3/09) ขยายตัว 2.8% จากไตรมาสก่อนหน้า ? ดัชนีราคาบ้าน (ก.ย.) อยู่ที่ระดับ 146.51 จุด ? ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.) อยู่ที่ระดับ 49.5 จุด
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พุธที่ 25 พ.ย. 2552) ? ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (ต.ค.) โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ? รายได้-รายจ่ายส่วนบุคคล (ต.ค.) โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ? ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.) โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ? ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ? ยอดขายบ้านใหม่ (ต.ค.) โดยกระทรวงพาณิชย์ ? ตัวเลขสต็อกน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ โดย EIA
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #53 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2009, 10:01:46 AM » |
|
กราฟตาแป๊ะซ้ายบน หน้าสีแดง---ลงปรับฐานช่วงสั้นๆ อาจเป็นวัน-สองวัน หน้าสีเทา---ดีดขึ้นช่วงสั้นๆ อาจเป็นวัน-สองวัน เส้นสีแดงหนา---ขาขึ้น เส้นสีเขียวหนา---ขาลงขวาบน เส้นสีแดง---เสนอซื้มากกว่าเสนอขาย เส้นสีเขียว---เสนอขายมากกว่าเสนอซื้อ ส่วนช่วงกลางที่มีแท่งสีแดงกับเขียวนั้น แท่งแดง---แรงซื้อขึ้น แท่งเขียว---แรงขายลงขวาช่องสอง แท่งเหลืองคู่เส้นแดง---ขาขึ้น แท่งฟ้าคู่เส้นเขียว---ขาลง โดยปกติ ช่องนี้จะเปลี่ยนแนวโน้มช้ากว่าเพื่อน หากเปลี่ยนแนวโน้มเมื่อไหร่ เขาให้ขายออกหรือซื้อเข้าได้ทันที่ ยกเว้นมีปัจจัยพื้นฐานแรงๆแทรกเข้ามา จึงจะทำให้แนวโน้มกลับเปลี่ยนได้โดยกะทันหันซ้ายช่องสอง หน้าเหลืองแป๊ะยิ้ม---ขาขึ้น หน้าแดงแป๊ะร้องไห้---ขาลง แท่งสีเขียว---เพดาน แท่งสีแดง---พื้นดินโดยปกติ ช่องนี้จะส่งสัญญาณว่า กำลังจะเปลี่ยนแนวทางแล้วนะ แต่ยังไม่เต็มร้อย อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหันก็ได้ ต้องดูซ้ายบนและขวาช่อง๒ประกอบด้วย จึงจะให้ความมั่นใจได้ทอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #54 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2009, 10:03:24 AM » |
|
ดัชนีเงินเมกา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #55 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2009, 10:06:32 AM » |
|
น้ำมัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #56 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2009, 10:33:27 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #57 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2009, 10:35:01 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #58 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2009, 10:39:08 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #59 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2009, 10:39:59 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|