|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #106 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 07:28:01 AM » |
|
ส่งการบ้าน การบ้านวันนี้ค่อนข้างยากจัง ตีโจทย์ข้อล่าง ๆ ไม่แตกฉานเลยค่ะ
เลือกทิศทาง---เส้นบนหันหัวลง เส้นล่างหันหัวขี้น ปากถุงแคบลง ถึงช่วงนี้ ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว
จงโฟกัสที่เส้นกลาง หากเส้นกลางเริ่มขยบหัวหัวขึ้นหรือลง ทิศทางอาจขึ้นหรือลงตามเส้นกลางแนวโน้มนั้น
เส้นแดงอยู่เหนือเส้นเขียว---ทิศทางขึ้น เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น
ดูเส้นสีม่วง หันหัวลง ประกอบกับเส้นแนวโน้มในช่อง1 หากหันหัวไปในทิศทางเดียวกัน โอกาสที่จะผิดพลาดก็มีน้อย
ครับ ทั้งกราฟปากถุงและกราฟตัวใหม่ ทิศทางล้วนยังไม่แน่นอน แต่ก็ยังอยู่ในทิศทางขึ้นอ่อนๆอยู่ครับ ต้องคอยดูการเปลี่ยนแปลงในกาลต่อไปครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #107 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 08:27:28 AM » |
|
!023 รบกวนขอความเห็นหน่อยคับ คุนทองใหม่ว่า ดูไบ ถังแตกนี่.. น่าจะส่งผลแบบไหนกะทองคับ
!54 ตามสถิติ ถ้าจำไม่ผิดตอนมีข่าวธนาคารเจ๊ง.. ทองขึ้นรึป่าวคับ?
ส่งผลแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ครับ ทำให้ดัชนีเงินเมกาแข็งค่าขึ้นหน่อย และทองคำเมื่อวานนี้ก็ขึ้นไปที่1195 แต่เนื่องด้วยเกรงใจดัชนีเงินเมกาที่ดีดขึ้น เลยลงมาที่118กว่าครับ ธนาคารเจ๊ง ทองขึ้นเพราะเป็นแหล่งลี้ภัย แต่ก็ต้องดูว่าธนาคารอะไร มีความหมายต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร.............
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jeera
|
|
« ตอบ #108 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 08:35:07 AM » |
|
สวัสดีค่ะพี่ทองใหม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
Someone love one Some one love two But I love one That One is...U (^?^)-?
|
|
|
sue662
|
|
« ตอบ #109 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 09:11:34 AM » |
|
อรุณสวัสดิ์ คุณทองใหม่ค่ะ แอบดีใจทองลงมา แต่นิดเดียวเอง เรียนถามค่ะ ราคาทองแม้จะหลุดอวกาศ แต่มันจะต้องมาเข้าตามทฤษฎี อยู่ดีมั๊ยคะ ไม่งั้นเค้าจะมีคลื่น ฟีโบต่างๆ ตั้งนานได้อย่างไรมั๊ยคะ ขอบพระคุณค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #110 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 09:28:43 AM » |
|
อรุณสวัสดิ์ คุณทองใหม่ค่ะ แอบดีใจทองลงมา แต่นิดเดียวเอง เรียนถามค่ะ ราคาทองแม้จะหลุดอวกาศ แต่มันจะต้องมาเข้าตามทฤษฎี อยู่ดีมั๊ยคะ ไม่งั้นเค้าจะมีคลื่น ฟีโบต่างๆ ตั้งนานได้อย่างไรมั๊ยคะ ขอบพระคุณค่ะ
ตามหลักมันก็ต้องเป็นอย่างนั้นครับ ช่วงนี้ที่ทองขึ้น สาเหตุใหญ่มาจากธนาคารกลางนานาประเทศคิดซื้อทองและบางส่วนก็ซื้อแล้ว มาเป็นทุนสำรองแทนเงินเมกา จึงทำให้ทองลงยากขึ้นง่าย ........ปวดหัวสำหรับคนที่ไม่มีทองและคนที่เล่นทองขาลงครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #111 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 10:03:59 AM » |
|
มูดีส์และ S&P ลดเครดิต ?ดูไบ? สู่สถานะ "junk" หรือ "ขยะ" หลังขอเลื่อนชำระหนี้
Posted on Friday, November 27, 2009 นักลงทุนเทขายหุ้น จากความกังวลดูไบเลื่อนจ่ายหนี้
ผลพวงจากการเลื่อนชำระหนี้ของกลุ่มทุนดูไบทำให้เกิดแรงขายในตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนนี้ ขณะที่ตลาดสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า ส่วนหุ้นแบงก์และผู้ผลิตรถในเอเชียก็เจอแรงฉุดจากปัจจัยความกังวลในเรื่องการเพิ่มทุนและค่าเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปี เมื่อเทียบกับเงินเยน
ทางด้านราคาน้ำมันปรับตัวลง 1.7 เหรียญ มาอยู่ที่ประมาณ 76 เหรียญต่อบาร์เรล ที่ตลาดนิวยอร์ก หลังกระทรวงพลังงานเผยตัวเลขสต็อกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มมาอยู่ที่ 337 ล้านบาร์เรล และทำให้คาดกันว่าตัวเลขสำรองน้ำมันดังกล่าวน่าจะเพียงพอรองรับกับความต้องการที่จะมีในตลอดหน้าหนาวนี้
ความพยายามจากทางดูไบในการแก้ปัญหาหนี้ของ Dubai World ในฐานะที่เป็นบริษัทลงทุนของรัฐ และแบกหนี้อยู่กว่า 59,000 ล้านเหรียญ ขณะนี้มีรายงานข่าวว่ากำลังหาทางประวิงเวลาเพื่อเลื่อนการชำระหนี้ออกไป ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่ไม่ใช่แค่เพียงกับดูไบเท่านั้น แต่รวมไปถึงฐานะการเงินของกลุ่มประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซียโดยรวม และถือเป็นความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่เหมือนกับเช่นในกรณีของอาร์เจนตินา เมื่อปี 2544
สำหรับปัจจัยค่าเงินเยนที่วิ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี เมื่อเทียบกับดอลลาร์ เกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดเก็งกันว่าทางการญี่ปุ่นจะยังสามารถรับมือกับการแข็งค่าของเงินเยนได้อีก แม้รัฐมนตรีกระทรวงการคลังจะออกมาบอกว่า รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการจัดการกับความผิดปกติสำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินก็ตาม
นักกลยุทธ์ตลาดเงินของ SocGen (Societe Generale) ในฝรั่งเศสก็มองว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่น่าจะเข้ามาแทรกแซงในตลาด หากค่าเงินไม่เร่งตัวลงมาต่ำกว่าระดับ 85 เยนต่อดอลลาร์ แม้ในขณะนี้บรรดาเทรดเดอร์พยายามที่จะทดสอบให้ถึงระดับดังกล่าว
อย่างไรก็ดี แม้เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเยน แต่ถ้าหากเทียบกับเงินสกุลหลักๆ อื่นแล้ว ดอลลาร์กลับสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ โดยเฉพาะภายหลังจากข่าวแผนการเลื่อนชำระหนี้ของดูไบ ซึ่งทำให้เงินไหลกลับเข้ามายังดอลลาร์อีกครั้ง ในฐานะที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ
จีนตั้งเป้าลดปริมาณปล่อยคาร์บอน ต้อนรับประชุมโลกร้อน
ล่าสุด ประเทศผู้ปล่อยมลพิษรายใหญ่ที่สุดของโลก อย่าง จีน ก็ออกมาประกาศตั้งเป้าชะลอการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ซึ่งถือเป็นการ ?วอร์มอัพ?ก่อนที่จะมีการประชุมผู้นำโลกเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่กรุงโคเปนเฮเกนในอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ข้างหน้า
การประกาศของยักษ์ใหญ่แดนมังกรนี้ ตามมาเพียงหนึ่งวันหลังจากที่ทางสหรัฐฯ เสนอลดการปล่อยมลพิษราว 17% ในช่วงสิบปีข้างหน้า โดยคณะรัฐมนตรีของจีน หรือ State Council ได้ออกแถลงการณ์ที่กรุงปักกิ่งเมื่อวานนี้ว่า ประเทศจะลดปริมาณคาร์บอนต่อหน่วยจีดีพีลง 40 ? 45% ภายในปี 2563 เมื่อเทียบกับปี 2548
ด้านนักรณรงค์กลุ่ม Greenpeace China รายหนึ่งมองว่า แม้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกจะเข้าขั้นวิกฤติ และจีนก็น่าจะมีมาตรการที่เข้มข้นกว่านี้ แต่ก็มองว่าการประกาศของรัฐบาลล่าสุดถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญของโลกอุตสาหกรรมยุคใหม่
เป้าหมายของการลดมลพิษที่ตั้งกันออกมาล่าสุด ก็ทำให้ประเทศที่มีเศรษฐกิจขยายตัวเร็วที่สุดในโลกรายนี้ มีจุดยืนและเหตุผลสำหรับการเข้าเจรจาในการประชุมที่กรุงโคเปนเฮเกน ที่จะเริ่มกันในวันที่ 7 ธันวาคม 2552 ซึ่งทั้ง นายกรัฐมนตรี เหวิน เจี่ย เป่า และประธานาธิบดี บารัค โอบามา คือหนึ่งในผู้นำของ 66 ประเทศทั่วโลกเป็นอย่างน้อย ที่มีจุดประสงค์ต้องการบรรลุข้อตกลงในกรอบสนธิสัญญารอบสุดท้าย ที่จะมาทดแทน ?พิธีสารเกียวโต? หรือ Kyoto Protocol ปี 2540 ที่จะหมดอายุลงในปี 2555
การเจรจาที่นำไปสู่การประชุมครั้งสำคัญนี้ มีอุปสรรคเมื่อเหล่าประเทศอุตสาหกรรมและประเทศกำลังพัฒนาตกลงกันไม่ได้ในประเด็นอย่างเช่น เป้าหมายการลดมลพิษ และคำถามที่ว่าประเทศร่ำรวยควรจะต้องให้ความช่วยเหลือเป็นเม็ดเงินสักเท่าไหร่แก่ประเทศยากจนเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายนี้ ขณะที่จีนและอินเดียบอกว่า ประเทศอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องตกลงที่จะลดปริมาณคาร์บอนลง 40% นับจากปี 1990 มาจนถึงปี 2020 ถ้าหากหวังว่าชาติที่ยากจนจะตอบตกลงกับเป้าหมายการลดมลพิษในระยะยาว
ก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งวัน นาง Carol Browner ที่ปรึกษาของประธานาธิบดี โอบามา ทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม บอกว่า สหรัฐฯ จะเสนอลดการปล่อยปริมาณคาร์บอนลงในช่วงประมาณ 17% จากปี 2005 ถึงปี 2020 และนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศผู้นำโลกประกาศเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน
ธนาคารในอังกฤษเผชิญข้อกำหนดเรื่องโบนัสเข้มงวดที่สุดในโลก
เดวิด วอล์คเกอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสของมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า ธนาคารในอังกฤษอาจต้องเผชิญกับข้อกำหนดการมอบเงินโบนัสที่เข้มงวดที่สุดในโลก หากข้อเสนอที่เขายื่นต่อ U.K. corporate governance ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมดูแลบรรษัทภิบาลในอังกฤษ ได้รับการยอมรับ โดยหนึ่งในข้อเสนอของวอล์คเกอร์คือ ธนาคารต่างๆควรเลื่อนการให้โบนัสออกไปสูงสุด 5 ปี และทางธนาคารมีสิทธิเรียกเงินโบนัสคืน ซึ่งเขายืนยันว่าหากไม่มีข้อกำหนดที่เข้มงวดเช่นนี้ ธนาคารต่างๆ ก็จะไม่ยอมทำตาม
อย่างไรก็ตาม เอชเอสบีซี โฮลดิงส์ ธนาคารรายใหญ่ที่สุดของยุโรป ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว โดยเห็นว่าควรใช้ข้อกำหนดอื่นที่เป็นไปตามกฎหมายการกำหนดผลประโยชน์ตอบแทน (Remuneration Code) ขององค์กรกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินอังกฤษ (FSA)
ทั้งนี้ รัฐบาลอังกฤษกำลังพยายามหาทางลดความโกรธเคืองของประชาชน หลังจากที่ผู้บริหารธนาคารต่างๆ ได้รับเงินโบนัสจำนวนมาก ทั้งที่รัฐบาลนำเงินภาษีของประชาชนมากถึง 1 ล้านล้านปอนด์ (1.67 ล้านล้านดอลลาร์) ไปให้ความช่วยเหลือธนาคารเหล่านั้นหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
มูดีส์คาดหนี้สาธารณะทั่วโลกพุ่ง 45% ในช่วง 3 ปี
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ประเมินว่า หนี้สาธารณะของรัฐบาลต่างๆทั่วโลกจะทะยานขึ้น 45% หรือ 15.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างปี 2550 - 2553 และปริมาณหนี้สินรวมทั่วโลกจะพุ่งเกิน 49 ล้านล้านดอลลาร์ในปีหน้า
นักวิเคราะห์ของมูดีส์ระบุในรายงานว่า หนี้สาธารณะของประเทศสมาชิกกลุ่มจี 7 หรือประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ อันประกอบไปด้วย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี อังกฤษ แคนาดา และสหรัฐอเมริกา จะคิดเป็นมากกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนหนี้สินที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก เนื่องจากดุลเงินสดของรัฐบาลประเทศต่างๆเหล่านี้ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักจากวิกฤติการเงินโลก
ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจชั้นนำของโลกหลายแห่ง อาทิ ญี่ปุ่น เยอรมนี และสหรัฐ สามารถหลุดพ้นจากภาวะถดถอยได้แล้วในไตรมาสสองและสามที่ผ่านมา แต่ผู้สังเกตการณ์หลายรายเตือนว่า ประเทศเหล่านี้ยังเผชิญความเสี่ยงในการที่จะขยายตัวอย่างยั่งยืน ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากหนี้สินที่พอกพูนขึ้นจากการที่รัฐบาลได้ทุ่มงบประมาณมูลค่ามหาศาลเพื่อรับมือวิกฤติเศรษฐกิจ
มูดีส์ระบุด้วยว่า เนื่องจากภาระหนี้สินจำนวนมหาศาลที่รัฐบาลต้องแบกรับ สัดส่วนของหนี้ทั่วโลกต่อผลผลิตทางเศรษฐกิจจึงคาดว่าน่าจะสูงถึง 80% ในปี 2553 จากระดับ 63% ในปี 2551
สถาบันจัดอันดับฯ ลดเครดิต ?ดูไบ? หลังเลื่อนชำระหนี้
มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบ ลงสู่สถานะ "junk" หรือ "ขยะ" หลังจากที่รัฐบาลดูไบออกแถลงการณ์ระบุว่า บริษัทซึ่งมีหนี้สินรวม 59,000 ล้านดอลลาร์ กำลังขอเลื่อนการชำระหนี้จำนวน 3,500 ล้านดอลลาร์ซึ่งครบกำหนดในเดือนธ.ค.ที่จะถึงนี้ ออกไปเป็นเดือนพ.ค.ปีหน้า อีกทั้งยังได้ว่าจ้างให้ ดีลอยท์ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการสอบบัญชีระดับโลก ให้มาช่วยเป็นที่ปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างการเงินของบริษัทด้วย
การขอเลื่อนนัดชำระหนี้ดังกล่าวส่งผลให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกตัดสินใจลดเครดิตบริษัทของรัฐบาลดูไบทั้ง 6 แห่งทันที ซึ่งบางแห่งถูดลดเครดิตสู่สถานะ "junk" เช่นกัน โดย มูดีส์ S&P ให้เหตุผลในการหั่นอันดับเครดิตดูไบ เวิลด์ว่า แผนการปรับโครงสร้างของดูไบ เวิลด์ อาจเข้าข่ายการผิดนัดชำระหนี้ตามเกณฑ์ของสถาบัน
ทั้งนี้ "Junk" เป็นคำที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือใช้ในการอธิบายสถานะของตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ต่ำกว่าระดับการลงทุน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลดูไบในครั้งนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนจำนวนมากเนื่องจาก เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพิ่งมีข่าวให้นักลงทุนได้สบายใจว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่ดูไบจะสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด
ขณะที่ นักวิเคราะห์บางรายกล่าวว่า รัฐบาลดูไบกำลังชดใช้ค่าตอบแทน เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจของดูไบมุ่งเน้นไปที่เงินลงทุนจากต่างประเทศและโครงการก่อสร้างยักษ์ใหญ่ที่หรูหราอลังการ ส่งผลให้เศรษฐกิจของดูไบ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 นครรัฐปกครองตัวเองของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขยายตัวอย่างรวดเร็วตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจดูไบเริ่มดิ่งลงนับตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2551 และส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในดูไบร่วงลงอย่างรุนแรง อันเป็นผลมาจากวิกฤตสินเชื่อและภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
รมว.คลังญี่ปุ่นเร่งหาทางออกการแข็งค่าของเงินเยน
ฮิโรฮิสะ ฟูจิอิ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นแนะรัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเงินเยน หลังจากที่เงินเยนแข็งค่าขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีแล้ว โดยย้ำว่าเขาต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เมื่อวานนี้ เงินเยนแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 86.64 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี
การแข็งค่าขึ้นอย่างฉับพลันนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรของกลุ่มผู้ส่งออก และยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ขณะที่กลุ่มผู้ส่งออกของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ได้ยึดเอาอัตราแลกเปลี่ยนที่ประมาณ 90-95 เยนต่อดอลลาร์ ในการคาดการณ์ผลประกอบการปีงบประมาณปัจจุบัน
ด้าน CEO ของนิสสัน มอเตอร์ กล่าวว่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลให้อุตสาหกรรมผลิตรถในประเทศญี่ปุ่นตกอยู่ในความเสี่ยง
บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ได้ลดจำนวนพนักงานและการผลิตลงมาก เพื่อที่จะดึงบริษัทให้หลุดพ้นจากภาวะขาดทุน แต่เจ้าหน้าที่ของบริษัทเตือนว่า การปรับโครงสร้างแต่เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้บริษัทเอกชนเหล่านี้มีความสามารถในการแข่งขัน หากเงินเยนยังแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โชจิ มูเนโอกะ ประธานสมาพันธ์เหล็กและเหล็กกล้า กล่าวว่า เงินเยนที่ระดับปัจจุบันถือเป็นปัญหามาก เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นกว่าเดิมอาจจะเป็นปัจจัยที่จุดชนวนให้เกิดภาวะถดถอยมากขึ้นไปอีก และขอให้รัฐบาลใช้มาตรการเชิงรุกมากกว่านี้ พร้อมกับชี้ว่า การแทรกแซงตลาดเป็นเรื่องที่จำเป็น เพื่อสกัดไม่ให้เงินดอลลาร์ร่วงไปกว่านี้
ล่าสุด รัฐมนตรีคลังกำลังรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อตัดสินใจว่า รัฐบาลจำเป็นต้องใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อแก้ปัญหาเงินเยนแข็งค่าขึ้นหรือไม่
จีนเผยฐานผู้ใช้บริการมือถือ 3G แตะ 7 ล้านราย
กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน เปิดเผยว่า ฐานผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ 3G ช่วงสิ้นเดือนก.ย.ที่ผ่านมา มีอยู่ 7 ล้านราย ส่วนอุปกรณ์ 3G ที่ผลิตในจีนก็สูงกว่า 75% ของตลาด 3G ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
หลี่ หลี่ รองผู้อำนวยการแผนกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของกระทรวงฯ กล่าวในการประชุม Next Generation Broadband Wireless Mobile Communications Development Forum ว่า จำนวนผู้ใช้บริการมือถือสูงกว่า 700 ล้านราย ขณะที่ระบบการสื่อสารไร้สาย 3G นั้นเป็นเป้าหมายระยะยาวที่สำคัญในอุตสาหกรรม
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ไชน่า โมบายล์ ได้รายงานตัวเลขผู้ให้บริการ TD-SCDMA อยู่ที่ 2.31 ล้านราย ส่วนผู้ใช้บริการ WCDMA ของไชน่า ยูนิคอม อยู่ที่ 1.02 ล้านราย ซึ่งนับรวมถึงผู้ใช้บริการการ์ดอินเตอร์เฟสเครือข่ายไร้สาย 215,000 ราย ส่วนฐานผู้ใช้บริการไวร์เลสของไชน่า เทเลคอม อยู่ที่ 49.92 ล้านราย
จาง ซินเจียง ผู้ตรวจการของสำนักงานบริหารโทรคมนาคม กล่าวว่า เครือข่าย 3G ของไชน่า เทเลคอม ครอบคลุมเมืองต่างๆ 324 เมือง ส่วนของไชน่า ยูนิคอม ครอบคลุม 285 เมือง และไชน่า โมบายล์ จะครอบคลุม 238 เมืองในการก่อสร้างเครือข่ายขั้นที่ 3
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #112 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 10:15:20 AM » |
|
Daily Update 27-11-52
27 พ.ย. 2552
Gold Market Commentary
ประเด็นสำคัญ -ตลาดหุ้นนิวยอร์ค : ตลาดน้ำมันนิวยอร์ค : -ตลาดโลหะมีค่านิวยอร์ค : ตลาดเงินนิวยอร์ค : -ตลาดปิดทำการในวันที่ 26 พ.ย.เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า สัญญาทองคำ COMEX ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกที่สิงคโปร์ พุ่งขึ้นทำนิวไฮในวันนี้ ซึ่งเป็นการทำนิวไฮครั้งที่ 3 ในรอบสัปดาห์นี้ โดยสัญญาทองคำเคลื่อนตัวเข้าใกล้ระดับ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในช่วงที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงอย่างหนัก และจากข่าวที่ว่าธนาคารกลางศรีลังกาเข้าซื้อทองคำจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) การร่วงลงอย่างต่อเนื่องของค่าเงินดอลลาร์เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนแห่ซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง โดยดัชนี US Dollar Index ดิ่งลง 1.1% หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้แสดงความวิตกกังวลต่อสกุลเงินดอลลาร์ที่ร่วงลงอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ พร้อมกับยืนยันว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนแห่ซื้อสกุลเงินที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า รวมถึงยูโรและดอลลาร์ออสเตรเลีย ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงหนักสุดในรอบ 8 เดือนเมื่อคืนนี้ (26 พ.ย.) หลังจากมีรายงานว่าบริษัท ดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบ มีแผนเลื่อนการชำระหนี้จำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่สุดในรอบ 8 ปี ขณะที่มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของดูไบ เวิลด์ การเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นมากเกินคาดในเดือนต.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐได้รับการปรับเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ย.แต่ยังคงลดลงจากเดือนต.ค. กองทุน SPDR Gold trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่าทางกองทุนได้ถือครองทองแท่งระดับ 1,127.860 ตัน ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2552 เพิ่มขึ้น 24.341 ตัน หรือ 2.205 % จากวันที่ 30 ตุลาคม 52 กลยุทธ์ : เล่นตามกระแสเงินที่ไหลเข้าทองให้แนวหยุดขาดทุนไว้ที่แนวระดับราคา 1,170 US$ เพราะถ้าราคาปรับลงมาถึงแนวนี้ได้อาจจะเริ่มมีการเปลี่ยนแนวโน้มเป็นทิศทางลงได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #113 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 10:54:07 AM » |
|
กราฟตาแป๊ะซ้ายบน หน้าสีแดง---ลงปรับฐานช่วงสั้นๆ อาจเป็นวัน-สองวัน หน้าสีเทา---ดีดขึ้นช่วงสั้นๆ อาจเป็นวัน-สองวัน เส้นสีแดงหนา---ขาขึ้น เส้นสีเขียวหนา---ขาลงขวาบน เส้นสีแดง---เสนอซื้มากกว่าเสนอขาย เส้นสีเขียว---เสนอขายมากกว่าเสนอซื้อ ส่วนช่วงกลางที่มีแท่งสีแดงกับเขียวนั้น แท่งแดง---แรงซื้อขึ้น แท่งเขียว---แรงขายลงขวาช่องสอง แท่งเหลืองคู่เส้นแดง---ขาขึ้น แท่งฟ้าคู่เส้นเขียว---ขาลง โดยปกติ ช่องนี้จะเปลี่ยนแนวโน้มช้ากว่าเพื่อน หากเปลี่ยนแนวโน้มเมื่อไหร่ เขาให้ขายออกหรือซื้อเข้าได้ทันที่ ยกเว้นมีปัจจัยพื้นฐานแรงๆแทรกเข้ามา จึงจะทำให้แนวโน้มกลับเปลี่ยนได้โดยกะทันหันซ้ายช่องสอง หน้าเหลืองแป๊ะยิ้ม---ขาขึ้น หน้าแดงแป๊ะร้องไห้---ขาลง แท่งสีเขียว---เพดาน แท่งสีแดง---พื้นดินโดยปกติ ช่องนี้จะส่งสัญญาณว่า กำลังจะเปลี่ยนแนวทางแล้วนะ แต่ยังไม่เต็มร้อย อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหันก็ได้ ต้องดูซ้ายบนและขวาช่อง๒ประกอบด้วย จึงจะให้ความมั่นใจได้ทอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #114 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 10:59:18 AM » |
|
ดัชนีเงินเมกา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #115 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 11:02:36 AM » |
|
น้ำมัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #117 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 12:49:00 PM » |
|
สวัสดีครับคุณทองใหม่ ตอนนี้ที่ดูไบมีปัญหามันจะย้ายโมเมนตัมจากทองคำมาที่เงินดอลลาร์ไหมครับ ต้องดูที่ตลาดครับ ตลาดจะเป็นผู้บอกได้ดีที่สุดจ้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
brabus
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #118 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2009, 02:21:50 PM » |
|
ขอบคุณค่ะ พี่ทองใหม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|