ทิศทางทองวันที่ 30/11?4/12/2009

รัฐอาบูดาบีตัดสินใจช่วยดูไบชำระหนี้ แต่จะเลือกเป็นรายกรณี ไม่รับทั้งหมด

Posted on Monday, November 30, 2009
อาบูดาบียื่นมือช่วยการชำระหนี้ของดูไบ

เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐอาบูดาบี 1 ในรัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปิดเผยว่า จะให้ความช่วยเหลือรัฐดูไบซึ่งกำลังมีปัญหาหนี้สิน โดยจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นรายกรณี และจะไม่เข้าไปค้ำประกันหนี้สินทั้งหมด

ทรัพย์สินบางอย่างของรัฐดูไบมีทั้งเป็นของเอกชนและกึ่งทางการ รัฐอาบูดาบีจะเป็นผู้เลือกว่าจะให้ความช่วยเหลือเมื่อไรและแห่งใดบ้าง

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลดูไบ ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงการขอเลื่อนนัดชำระหนี้ของบริษัทดูไบ เวิลด์ จากกำหนดการเดิมถึง 6 เดือนว่า บริษัทได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบและคำนึงถึงปฏิกิริยาตอบสนองจากตลาดเงินไว้แล้ว

ชีค อาหมัด บิน ซาเอ็ด อัล-มัคทูม ประธานคณะกรรมาธิการการคลังแห่งดูไบกล่าวว่า ตนทราบดีว่าการขอผ่อนผันชำระหนี้มูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์นั้นจะส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างไรบ้าง ยอมรับว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่รัฐบาลคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ดูไบ เวิลด์จะได้รับในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของดูไบและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในอนาคต

สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งประโคมข่าวว่า บริษัทดูไบ เวิลด์ ของรัฐบาลดูไบได้ขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้สินราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์ออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และส่งผลต่อชื่อเสียงของดูไบในฐานะที่เป็นแหล่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลดูไบเชื่อว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ จะยังทำให้ดูไบเป็นตลาดที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนในภูมิภาคนี้ต่อไป

นักลงทุนขายหุ้นแบงก์-โภคภัณฑ์ กังวลดูไบเลื่อนจ่ายหนี้

ผลกระทบจากปัญหาการเงินของดูไบก็ฉุดหุ้นและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ จากการเก็งกันว่ามหาเศรษฐีของตะวันออกกลางรายนี้ อาจผิดนัดและไม่จ่ายหนี้ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าการฟื้นตัวของระบบการเงินโลกจะหยุดนิ่งในที่สุด

ขณะที่ฝุ่นยังตลบจากการที่นักลงทุนเทขายหุ้นท่ามกลางสภาวะสุญญากาศ ก็ไม่ได้มีการเปิดเผยตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นจากในกรณีนี้ออกมาให้เห็น แม้ธนาคารกลางของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะประกาศช่วยสนับสนุนทางด้านสภาพคล่องแล้ว และอีกส่วนหนึ่งก็รอคอยว่า จะมีความคืบหน้าอะไรอีกบ้างในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ดี อย่างน้อยก็มีทางด้านนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ อย่าง UBS ที่ออกมาประเมินว่า ดูไบอาจจะมีหนี้อยู่อย่างน้อยๆ 80,000 ? 90,000 ล้านเหรียญ เมื่อดูจากการที่ประเทศ emirate นี้ ได้กู้เงินจำนวน 80,000 ล้านเหรียญไปใช้ในแผนก่อสร้างเพื่อหวังพลิกโฉมให้ประเทศกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาค รวมถึงการเป็นศูนย์กลางทางการเงิน จนเศรษฐกิจบูมสุดๆ ตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะมาถูกวิกฤติการเงินโลกเล่นงานและทำให้สถานการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

ผลจากข่าวดูไบก็ทำให้นักลงทุนต่างเทขายหุ้นกันออกมา โดยเฉพาะในกลุ่มธนาคาร ที่หุ้นใหญ่ๆ ในสหรัฐฯ ปรับตัวลงกันถ้วนหน้า นำโดย Morgan Stanley ที่หุ้นร่วงลง 5% ขณะ Bank of America ปรับตัวลงไปเกือบ 4% ส่วน Goldman Sachs ลดลงไป 3.4%

และนอกจากตลาดหุ้นแล้ว แรงขายยังมีเข้ามาที่สินค้าโภคภัณฑ์ด้วย เริ่มจาก น้ำมันที่ราคาลดลงไปเคลื่อนไหวอยู่แถว 76 เหรียญที่ตลาดนิวยอร์ก ขณะราคาโลหะอื่น อย่างเช่น ทองแดง ราคาปรับลดลงเช่นกัน รวมถึง ผู้ผลิตอลูมินั่มรายใหญ่สุดของสหรัฐฯ บริษัท Alcoa ที่ราคาหุ้นร่วงลงมากกว่า 3%

อย่างไรก็ดี ถ้าไปดูที่ตลาดเงิน แม้นักลงทุนบางส่วนจะขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและหันกลับมาเข้าสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยดีกว่า แต่เงินดอลลาร์กลับยังเคลื่อนไหวอยู่ที่แถวระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปี ซึ่งเหตุผลหลักๆ ก็เป็นเพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ แสดงท่าทีว่า ยังรับได้กับการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้มีเม็ดเงินส่วนหนึ่งออกไปแสวงหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า

ชาวอเมริกันแห่ช็อปแน่นร้านวัน Black Friday แม้ว่างงานยังจ่อนิวไฮ

การใช้จ่ายของผู้คนที่อเมริกากลับดูคึกคัก ผิดไปจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เมื่อวิกฤติการเงินทำเอากำลังซื้อของคนหดหายกันไปตามๆ กัน

หนึ่งวันหลังจากวันขอบคุณพระเจ้า หรือที่ฝรั่งเรียกกันว่า Black Friday เปรียบเสมือนเป็นวันประเดิมฤดูการจับจ่ายช่วงเทศกาลปลายปี ที่ในปีนี้ร้านค้าได้รับความสนใจจากประชาชนหันมาจับจ่ายซื้อหาของกันอย่างเนืองแน่น ขนาดที่สมาคมผู้ค้าปลีกของประเทศออกมาบอกว่า ยอดขายในวัน Black Friday ปีนี้ดูดีมาก

ผลตอบรับในทางบวกนี้เป็นผลมาจากการที่ร้านค้าต่างๆ กระหน่ำใช้กลยุทธ์ลด แลก แจก แถม ตั้งแต่สินค้าทีวี ของเล่น ไปจนถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ จนสามารถดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านมากกว่าเคย ซึ่งข่าวดีถูกยืนยันโดยตัวเลขจากบริษัทวิจัยข้อมูล อย่าง ShopperTrak RCT จากชิคาโก้ ที่เผยว่ายอดขายรวมของทั้งประเทศขยับขึ้น 0.5% มาอยู่ที่ 10,700 ล้านเหรียญ

นาย Bill Martin ซีอีโอของบริษัทผู้รวบรวมข้อมูลรายนี้บอกว่า จริงๆ แล้วมองเห็นยอดขายค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นมาตั้งแต่ช่วงสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ และเมื่อมาเห็นจำนวนลูกค้าเดินเข้าร้านในวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ทำให้เชื่อเลยว่า ตัวเลขของทั้งเดือนพฤศจิกายนจะออกมาสร้างข่าวดีให้กับผู้ประกอบการร้านค้าปลีกอย่างแน่นอน และยังอยู่ในวิสัยตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตที่ระดับ 0.6% ที่มองไว้ก่อนหน้านี้

ปกติแล้วยอดขายของร้านค้าปลีกในช่วงเทศกาลวันหยุดคิดเป็นสัดส่วนถึงสองในสามของกำไรทั้งปีของผู้ประกอบการ โดยหน่วยงานกลาง อย่าง The International Council of Shopping Centers ได้คาดการณ์ว่า ยอดขายของร้านค้าที่เปิดมานานเกินหนึ่งปี น่าจะโตขึ้นได้ 1% ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ขณะที่ในปีที่แล้วยอดขายหดตัวลงถึงเกือบ 6% เรียกว่าเลวร้ายที่สุดในรอบกว่า 40 ปี

ตัวอย่างสินค้าขายดีติดท็อปเท็นในปีนี้ ก็มีตั้งแต่ทีวี High-definition คอมพิวเตอร์แล็บท็อป เสื้อโค้ทกันหนาว ไปจนถึงของเล่นยอดฮิต อย่าง สัตว์เลี้ยงหุ่นยนต์หนูแฮมสเตอร์ที่ชื่อว่า ?ซู ซู? (Zhu Zhu Pets robotic hamsters) ที่ขายดีกันอย่างเทน้ำเทท่า

จีนคาดดีมานด์-ผลผลิตทองในประเทศพุ่ง

สมาคมทองคำของจีนคาดการณ์ว่า ความต้องการและผลผลิตทองคำในประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตทองรายใหญ่สุดของโลก อาจพุ่งทำสถิติสูงสุดในปีนี้ เนื่องจากการใช้ทองเพื่อทำเครื่องประดับเพิ่มสูงขึ้นมาก และผู้ประกอบการเหมืองขยายกำลังการผลิตหลังจากที่ราคาทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

จาง หยางเถา รองเลขาธิการของสมาคม กล่าวในที่ประชุมสมาคมในเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนานว่า จีนอาจต้องการทองคำมากกว่า 450 เมตริกตันในปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 395.6 ตันในปี 2551 และผลผลิตอาจเพิ่มขึ้นแตะ 310 ตัน จากระดับ 282 ตันในปีก่อน พร้อมเผยว่า การผลิตทองของจีนขยายตัว 9.5% ต่อปีในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ จีนแซงหน้าแอฟริกาใต้ขึ้นเป็นผู้ผลิตทองคำรายใหญ่สุดของโลกในปี 2550 และสภาทองคำโลกคาดการณ์เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมาว่า จีนอาจแซงหน้าอินเดียขึ้นเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่สุดของโลกด้วย

บลูมเบิร์กรายงานว่า ราคาทองแท่งปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,195.13 ดอลลาร์ต่ออนซ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ได้หนุนให้ดีมานด์โลหะมีค่าเพิ่มสูงขึ้นในฐานะแหล่งลงทุนทางเลือก

บริษัทญี่ปุ่นจ่อเสียส่วนแบ่งตลาดหลังวิกฤติเยนแข็งค่า

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป และโซนี่ คอร์ป เป็นสองในหลายบริษัทส่งออกของญี่ปุ่นที่อาจมีผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด เนื่องจากเงินเยนแข็งค่ากว่าที่ทางบริษัทคาดการณ์ไว้

ก่อนหน้านี้ โตโยต้า, โซนี่, แคนน่อน และชาร์ป คาดการณ์ไว้ว่า ค่าเงินเยนจะเคลื่อนไหวที่ระดับ 90-95 เยนต่อดอลลาร์ในปีงบประมาณปีนี้ แต่สถานการณ์เงินเยนที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันอาจทำให้บริษัทส่งออกของญี่ปุ่นต้องปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการลง

ขณะที่ผู้ประกอบการบางรายต้องการให้กระทรวงการคลังเข้าแทรกแซงเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยน

ค่าเงินเยนพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ที่ระดับ 84.83 เยนต่อดอลลาร์ในวันศุกร์ที่แล้ว จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเศรษฐกิจที่ตกอยู่ในภาวะเปราะบางอาจทำให้นักลงทุนแห่ซื้อสกุลเงินเยน

เงินเยนที่แข็งค่าจะทำให้บริษัทส่งออกของญี่ปุ่นมีผลประกอบการที่ล้าหลังบริษัทคู่แข่งอย่างเกาหลีใต้ รวมถึงบริษัท ซัมซุง อิเล็กทรอนิก และฮุนได มอเตอร์ โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยไดวาระบุว่า บริษัทผู้ผลิตเครื่องไฟฟ้าในญี่ป่นขาดทุนรวมกันราว 3.18 หมื่นล้านเยน หรือ 370 ดอลลาร์ต่อปี อันเนื่องมาจากเงินเยนที่แข็งค่า

ผู้บริหารของแคนน่อนและโซนี่ กล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาแก้ไขสถานการณ์เงินเยนแข็งค่า

ขณะที่ผู้บริหารโตโยต้ากล่าวว่า หากเงินเยนแข็งค่าขึ้นมายืนที่ระดับ 85 เยน/ดอลลาร์ จะส่งผลให้โตโยต้าขาดทุนการดำเนินงานอีก 9 หมื่นล้านเยนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจทำให้โตโยต้าต้องย้านฐานการผลิตบางส่วนออกไปนอกญี่ปุ่น

โซนี่และพานาโซนิค ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก เตรียมปลดพนักงานกว่า 48,000 ตำแหน่งเนื่องจากบริษัทไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่างซัมซุงของเกาหลีใต้ได้

ขณะที่โตโยต้าและฮอนด้า สองผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นกล่าวว่า บริษัทอาจเพิ่มการผลิตรถยนต์ในต่างประเทศเนื่องจากเงินเยนที่แข็งค่าทำให้บริษัทเสียเปรียบคู่แข่งในต่างประเทศ รวมถึงฮุนไดของเกาหลีใต้

นายกรัฐมนตรียูคิโอะ ฮาโตยามะของญี่ปุ่น สั่งการให้คณะรัฐมนตรีเพิ่มมาตรการต่างๆที่มีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาเงินเยนแข็งค่าอย่างรวดเร็ว และการร่วงลงในตลาดหุ้นโตเกียวเข้าในงบประมาณเสริมปี 2552

ปัญหาสภาพอากาศวาระสำคัญในการประชุมผู้นำจีน-EU

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นวาระสำคัญในการหารือกันระหว่างคณะผู้นำจีน และสหภาพยุโรป (EU) ในการประชุมที่จะจัดขึ้นในเมืองหนานจิงของจีนก่อนจะถึงการประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเดนมาร์กเพียง 1 สัปดาห์

ในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ของจีน จะพบกับนายโฮเซ มานูเอล บาร์โรโซ ประธานคณะกรรมาธิการEU นายกรัฐมนตรีเฟรดริก ไรน์เฟลด์ท ของสวีเดน ซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนปัจจุบันของ EU

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นประเด็นสำคัญในการประชุม ซึ่งในสัปดาห์นี้ จีนเพิ่งประกาศเป็นครั้งแรกว่า ภายในปี 2563 จีนจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ลงให้ได้ร้อยละ 40-45 จากระดับของปี 2548

แม้จะเป็นการส่งสัญญาณว่าจีนวางเป้าหมายการขยายตัวเศรษฐกิจไว้เป็นอันดับแรก แต่ก็ได้รับการขานรับจากนายบาร์โรโซ และนายกรัฐมนตรีไรน์เฟลด์ท ว่าเป็นสัญญาณทางบวก

นอกจากนี้ นายกจีน จะพบกับกลุ่มหัวเจ้าหน้าที่การคลังของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร หรือ ยูโรโซน เพื่อหารือเรื่องมูลค่าเงินหยวน ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาสำคัญของทั้งสองฝ่าย คาดว่าคณะผู้แทน EU จะย้ำข้อเรียกร้องให้จีนประเมินค่าเงินหยวนใหม่อีกครั้ง เนื่องจากยุโรปเกรงว่าการที่เงินยูโรแข็งค่าขึ้นจะส่งผลเสียต่อการส่งออกของ EU สู่จีน

การประชุมในเมืองหนานจิงครั้งนี้ มีขึ้นเพียง 1 วันก่อนที่นายแอร์มาน ฟาน รอมเปย จะเข้ารับตำแหน่งประธานEU คนแรก และนางแคทเธอรีน แอชตัน ที่จะเข้าทำงานในตำแหน่งหัวหน้านโยบายต่างประเทศคนใหม่ของEU ดังนั้น คาดว่าจะต้องมีการประชุมกลุ่มฺผู้นำจีน และ EU ขึ้นอีก

และเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีมานโมฮัน ซิงห์ ของอินเดีย กล่าวเป็นครั้งแรกวว่า อินเดียจะยอมผูกมัดกับข้อตกลงการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่มีเงื่อนไขให้มีผู้ร่วมแบกรับภาระดังกล่าวอย่างเป็นธรรม

อย่างไรก็ดี ผู้นำอินเดียไม่ได้ระบุชัดเจนถึงตัวเลขเป้าหมายการลดปล่อยก๊าซที่อาจเสนอว่าจะเป็นการตัดลดทั้งหมด เช่น ยุโรป และญี่ปุ่น หรือลดตามสัดส่วน เช่น จีน

อินเดีย ซึ่งมีประชากรเกือบ 1,200 ล้านคน เป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รายใหญ่เพียงประเทศเดียวที่ยังไม่ประกาศตัวเลขเป้าหมายในการจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel

	ผู้เขียน	หัวข้อ: ทิศทางทองวันที่ 30/11?4/12/2009 (อ่าน 13620 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้