Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ทิศทางทองวันที่ 14---18/12/2009  (อ่าน 10861 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ไม่สามารถโหลดไฟล์ภาษา 'Aeva.thai-utf8' ได้
cupid
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 455


« ตอบ #30 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2009, 09:36:06 AM »

 Blue สวัสดีฮะอาจารย์ทองใหม่ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงนะฮะ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลและเนื้อเพลงดีดีฮะ

นู๋ขอเพลงที่ร้องว่า "หนี่เวิน วัวอ่ายนีโย ปัวเชง วัวอ่ายนี่โย้ ฉีเฟ่ย ฯลฯ

นู่ไม่รู้ภาษาจีนแต่ชอบฟังเพลงนี้ที่สุดฮะ อยากรู้ความหมายจังเลย ขอบคุณฮะ  Embarrassed Embarrassed Embarrassed Blue
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #31 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2009, 09:57:04 AM »

นักลงทุนทั่วโลกเล็งกลับมาใช้เงินเยนทำ carry trade แทนดอลลาร์สหรัฐฯ

Posted on Tuesday, December 15, 2009
นักลงทุนทั่วโลกจ่อใช้เงินเยนทำ carry trade

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าเงินเยนจะมาแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินที่นักลงทุนทั่วโลกใช้ระดมทุนผ่านการทำธุรกรรม carry trade ซึ่งเป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นจาก การกู้ยืมเงินในสกุลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด ไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลอื่นๆที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

การที่เยน Carry trade จะกลับมาเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับสหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน

นอกจากนี้ นักลงทุนเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ย Libor ในสหรัฐจะเพิ่มขึ้นภายในเดือนมิ.ย.ปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นรวดเร็วกว่าญี่ปุ่น โดยคาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัว 2.6% ในปีหน้า ซึ่งขยายตัวรวดเร็วกว่าญี่ปุ่นถึง 2 เท่าเนื่องจากญี่ปุ่นยังคงเผชิญกับภาวะเงินฝืด

สถานการณ์ดังกล่าวจะทำให้เทรดเดอร์เมินสกุลเงินดอลลาร์และหันไปใช้สกุลเงินเยนเพื่อซื้อสินทรัพย์ในประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า เช่น ออสเตรเลียและบราซิล

การร่วงลงของต้นทุนการกู้ยืมในสหรัฐในปีนี้ส่งผลให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์เพื่อทำ carry trade เพื่อทำกำไรจากการที่สหรัฐมีอัตราดอกเบี้ยต่ำไปซื้อสกุลเงินของประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า

ทั้งนี้ นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.1% ไปจนถึงปีหน้า และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นจากระดับ 0 - 0.25% ในอนาคต


ตลาดหุ้นบวกรับข่าวดูไบได้เงินช่วยเหลือ พร้อมปัจจัยเทคโอเวอร์ของ Exxon

ข่าว Abu Dhabi ยื่นเงินช่วยเหลือให้กับบริษัท Nakheel PJSC ของดูไบ และแผนการเทคโอเวอร์บริษัทพลังงานครั้งใหญ่ของ Exxon Mobil ก็ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาที่ตลาดหุ้นอีกครั้ง

ความคืบหน้าของสถานการณ์หนี้ดูไบส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นของประเทศไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดของเดือน เช่นเดียวกับฝั่งตลาด Abu Dhabi ที่ ADX General Index พุ่งขึ้นเกือบ 8%

หัวหน้านักวิเคราะห์ของ ING Group ในสิงค์โปร์มองว่า เงินที่นำมาช่วยดูไบนี้อาจเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดผลกระทบลูกโซ่ จากการที่สภาพคล่องตึงตัวในภาคธุรกิจและธนาคาร แต่ถ้าในมุมมองของเศรษฐกิจมหภาคแล้ว นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ส่วนข่าวใหญ่เมื่อคืนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ Exxon Mobil ตกลงใจที่จะเข้าซื้อบริษัท XTO Energy ที่ทำธุรกิจก๊าซธรรมชาติด้วยเม็ดเงิน 31,000 ล้านเหรียญ ตามการคาดการณ์ของบริษัทว่า กฏเกณฑ์ที่จำกัดการปล่อยมลพิษของประเทศจะนำไปสู่ความต้องการเชื้อเพลิงที่เป็นก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น

ดีลการซื้อกิจการนี้เรียกได้ว่ามีมูลค่าสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2006 และเป็นการเทคโอเวอร์ครั้งใหญ่ที่สุดนับจากที่บริษัท Exxon เข้ามาครอบครองกิจการของ Mobil ในปี 1999 โดยดีลล่าสุดได้ตีมูลค่าหุ้นของ XTO Energy ไว้ที่ 51.69 เหรียญต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาปิดครั้งสุดท้ายของ XTO ถึงกว่า 25%

หลังจากการเทคโอเวอร์สิ้นสุดลง Exxon จะกลายเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในอเมริกา ขณะที่ทางผู้บริหารของบริษัทก็บอกว่า ความต้องการเชื้อเพลิงประเภทนี้จะยิ่งสูงขึ้นภายหลังกฏเกณฑ์ในเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนในประเทศสร้างแรงกดดันให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากถ่านหินมาเป็นก๊าซแทน

ราคาหุ้นของ XTO พุ่งขึ้นไปกว่า 15% ขณะที่ Exxon ร่วงลง 4% หลังข่าวบริษัทประกาศแผนซื้อกิจการ ผู้บริหารของ Exxon คาดว่าดีลนี้น่าจะจบลงได้ภายในไตรมาส 2

ผู้เชี่ยวชาญในวงการมองว่า การตัดสินใจของ Exxon นี้ จะทำให้เกิดดีลในลักษณะเดียวกันสำหรับบริษัทพลังงานรายใหญ่อื่นๆ อย่างเช่น Royal Dutch Shell และบริษัท Total เนื่องจากแรงกดดันในเรื่องการหาทางเพิ่มกำลังการผลิตในขณะนี้ โดยเป้าหมายกิจการหลักๆ ที่จะถูกเทคโอเวอร์ก็จะรวมไปถึงบริษัทขุดเจาะและสำรวจพลังงานอิสระรายอื่นๆ


อาบูดาบีอัดฉีดเงินแก่ดูไบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์

รัฐบาลดูไบออกแถลงการณ์วานนี้ว่ารัฐอาบูดาบีจะทำการอัดฉีดเงินให้แก่ดูไบ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือดูไบในการชำระหนี้หุ้นกู้อิสลาม 4,100 ล้านดอลลาร์ที่ครบกำหนดไปในวันเดียวกัน

รัฐบาลดูไบเปิดเผยว่า ดูไบจะใช้เงินที่เหลือเพื่อมาชำระหนี้ให้กับเจ้าหน้าที่และคู่สัญญา เพื่อให้ตอบสนองเรื่องเงินทุนที่ใช้ในการดำเนินการไปจนถึงวันที่ 30 เม.ย. 2553

ทั้งนี้ รัฐบาลดูไบยังจะประกาศกฎหมายในการปรับโครงสร้าง ซึ่งเป็นกรอบที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ได้รับการยอมรับในเรื่องมาตรฐานของความโปร่งใสและการคุ้มครองผู้ปล่อยกู้

ส่วนอาบูดาบี นับเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในสหพันธรัฐ UAE และเป็นรัฐที่ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของประเทศ

ขณะที่ นาคีล ซึ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือของดูไบ เวิลด์ เตรียมเจรจากับกลุ่มผู้ถือพันธบัตรอิสลามที่ออกโดยนาคีลอีกรอบ ซึ่งหุ้นกู้ดังกล่าวมีมูลค่า 52,500 ล้านดอลลาร์และจะครบกำหนดไถ่ถอนในอีก 2 ปีข้างหน้า ด้านนักวิเคราะห์มองว่าปัญหาหนี้สินคงค้างของนาคีลอาจทำให้ทางบริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ดังกล่าวด้วย

ปัญหาหนี้สินของดูไบ เวิลด์ และบริษัทในเครือได้สร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุนทั่วโลก แม้ดูไบ เวิลด์ เข้าเจรจากับธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้มูลค่า 26,000 ล้านดอลลาร์ รวมถึงหนี้สินของบริษัท นาคีล เวิลด์ และลิมิทเลส เวิลด์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือดูไบ เวิลด์

แผนการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทครอบคลุมถึงตราสารหนี้อิสลามมูลค่าราว 3,600 ล้านดอลลาร์ที่ออกโดยนาคีล เวิลด์ บริษัทในเครือซึ่งเป็นผู้พัฒนาคฤหาสถ์หรูหราบนหมู่เกาะเป็นรูปต้นปาล์มที่มีชื่อเสียงของดูไบ เวิลด์ โดยตราสารหนี้อิสลาม หรือที่เรียกว่า "ซูคุค" เป็นตราสารหนี้ที่ออกตามกฎหมายชาเรียของศาสนาอิสลาม

นักวิเคราะห์จากหลายสถาบัน รวมถึงมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส กังวลว่าดูไบอาจสูญเสียสถานะการเป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย และอาจสูญเสียสถานะของศูนย์กลางการค้าและการบริการ อีกทั้งยังดับฝันของดูไบที่ต้องการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านการธนาคารในภูมิภาค


Citigroup ได้ข้อสรุปกับกระทรวงคลังถึงแผนจ่ายคืนหนี้ TARP

ผ่านไปด้วยดีสำหรับการจ่ายคืนหนี้เงินช่วยเหลือตามโครงการ TARP จาก Citigroup ที่ในที่สุดสามารถตกลงตัวเลขกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานรัฐได้ และจบลงที่ธนาคารจะออกขายหุ้นและตราสารหนี้จำนวน 25,000 ล้านเหรียญ โดยในจำนวนนี้จะเป็นการออกขายหุ้นสามัญจำนวน 17,000 ล้านเหรียญ ในเวลาเดียวกัน ทางกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก็จะขายหุ้น Citigroup ที่ตัวเองถือไว้จำนวน 5,000 ล้านเหรียญออกมาด้วย

การบรรลุจุดมุ่งหมายจ่ายคืนหนี้รัฐไปให้หมดนี้ เป็นความพยายามของซีอีโอ นายวิกรม บัณฑิต ที่มุ่งมั่นอยากจะก้าวออกจากโครงการ TARP มาตลอดในช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อต้องการไม่ให้กลายเป็นธนาคารขนาดใหญ่แห่งสุดท้ายที่ยังต้องตกอยู่ภายใต้โครงการช่วยเหลือภาคการเงินที่มีพันธะผูกพันมากมายดังกล่าว และไม่อยากเป็นเหมือนกับผู้ป่วยห้องพิเศษ อย่างเช่น บริษัท American International Group หรือ AIG รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ General Motors ที่กำลังดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากบ่วงเงินช่วยเหลือที่มาจากภาษีประชาชนด้วยเช่นกัน

ทางด้านเพื่อนร่วมอุตสาหกรรม อย่าง Bank of America ก็เพิ่งหลุดออกจากโครงการ TARP ด้วยการคืนเงิน 45,000 ล้านเหรียญไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

มีรายงานข่าวว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้นายบัณฑิต ซีอีโอ วัย 52 ผู้นี้ กวาดสายตามองหาวิธีการจ่ายคืนหนี้เงินช่วยเหลือพิเศษมาโดยตลอด นั่นก็เป็นเพราะพันธนาการที่รัฐกำหนดให้แบงก์ต้องจำกัดการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารของตน ซึ่งหมายถึงการบังคับให้ทรัพยากรบุคคลของบริษัทต้องถูกดูดออกไปยังบรรดาธนาคารคู่แข่งทั้งหลาย

และหากย้อนอดีตกลับไปดูเมื่อปีที่แล้ว Citigroup ได้เงินจากกองทุน TARP นี้มาถึง 45,000 ล้านเหรียญ และมีการแปลงสภาพเงินจำนวน 25,000 ล้านเหรียญ ให้ไปอยู่ในรูปของหุ้นสามัญเมื่อเดือนกันยายน ซึ่งเทียบเท่ากับสัดส่วนหุ้น 34% ในธนาคารที่มีฐานที่มั่นในนิวยอร์กรายนี้

สำหรับธนาคารรายอื่น ก็คือ JPMorgan Chase, Goldman Sachs Group และ Morgan Stanley ต่างจ่ายคืนหนี้ที่ได้มาจากโครงการนี้ไปเมื่อเดือนมิถุนายน ขณะที่ธนาคาร Wells Fargo ที่ติดหนี้โครงการ TARP อยู่ 25,000 ล้านเหรียญ กลับไม่ต้องมีภาระผูกมัดในเรื่องข้อจำกัดการจ่ายเงินผู้บริหารแต่อย่างใด นั่นก็เพราะแบงก์จากซานฟรานซิสโกแห่งนี้ไม่ได้แบมือขอเงินช่วยเหลือจากรัฐเป็นรอบที่สองนั่นเอง


ผู้เชี่ยวชาญคาดตลาดแรงงานสหรัฐเริ่มฟื้นตัวปีหน้า

ทางการสหรัฐคาดตลาดแรงงานในประเทศจะฟื้นตัวดีขึ้นในปีหน้า โดยนายจ้างจะเริ่มจ่ายเงินเดือนมากขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

ความคิดเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับมุมมองของนายอลัน กรีนสแปน อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐที่คาดว่า การจ้างงานจะดีดตัวขึ้นเพราะบริษัทหลายแห่งเริ่มเพิ่มกำลังการผลิตหลังจากที่ปรับลดการจ้างงานลงในช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐกล่าวว่า ในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ อัตราการจ้างงานจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่ขณะนี้มีชาวสหรัฐตกงานสูงถึง 7.2 ล้านตำแหน่งนับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยเมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ตลาดแรงงานในสหรัฐเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น หลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานเดือนพ.ย.ลดลงเพียง 11,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับที่ลดลงน้อยที่สุดในรอบ 23 เดือน

อัตราว่างงานลดลงสู่ระดับ 10% จากระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีที่ 10.2% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐเริ่มคลายความตึงเครียดลงแล้ว

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐจะหารืออย่างจริงจังกับผู้บริหารธนาคารรายใหญ่ 12 แห่งในวันนี้ เพื่อกดดันให้การมีขยายวงเงินกู้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นการจ้างงาน

หลังจากเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ผ่านมา โอบามาได้ประกาศโครงการกระตุ้นการจ้างงาน ซึ่งรวมถึงการเพิ่มงบการใช้จ่ายด้านถนน สะพาน และการให้เงินช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็ก ตลอดจนการลดหย่อนภาษีให้กับผู้ซื้อบ้าน และการใช้พลังงานที่คุ้มค่ามากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายคาดว่า อัตราว่างงานของสหรัฐจะยังคงไต่ระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึง 10.75% ภายในกลางปี 2554


ผู้ว่าแบงค์ชาติฮ่องกงชี้ภาวะฟองสบู่เป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจเอเชีย

นายนอร์แมน ชาน ผู้ว่าการธนาคารกลางฮ่องกงกล่าวแสดงความคิดเห็นในเมือวานนี้ว่า ภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ หรือ asset bubble เป็นภัยคุกคามหมายเลขหนึ่งที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในเอเชีย พร้อมกับแนะนำให้ธนาคารกลางในเอเชียหลีกเลี่ยงการมุ่งเน้นประเด็นเงินเฟ้อมากเกินไป

เว็บไซต์ของธนาคารกลางฮ่องกงรายงานคำกล่าวของนายชานว่า "จากประสบการณ์ของภูมิภาคเอเชียในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์เป็นภัยคุกคามเศรษฐกิจมากกว่าภาวะเงินเฟ้อ

นายชานหมายความว่าเอเชียยังคงมีความจำเป็นต้องกังวลหรือป้องกันภาวะเงินเฟ้อ แต่สิ่งที่เราควรให้ความสนใจก็คือเรื่องภาวะฟองสบู่ด้านสินทรัพย์ที่กำลังก่อตัวขึ้นและความเสียหายอันใหญ่หลวงที่จะตามมา

นายชานยังกล่าวด้วยว่า เม็ดเงินกว่า 640,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 82,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่ไหลเข้าสู่ฮ่องกงตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว ส่งผลให้ราคาบ้านในฮ่องกงพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10

ขณะที่นายโดนัลด์ ซัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกงกล่าวว่า เขารู้สึกกังวลเรื่องเม็ดเงินจำนวนมากที่ไหลเข้าสู่เอเชียที่เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำในสหรัฐ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้เอเชียเผชิญวิกฤตการณ์การเงินระลอกใหม่

ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนต.ค.ของฮ่องกงขยายตัวรวดเร็วที่สุดในรอบ 3 เดือนเนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้นส่งผลให้ผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่าย 22% ในเดือนต.ค.

ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิตของจีนในเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 0.6% ทำสถิติเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน

ราคาบ้านในฮ่องกงพุ่งขึ้น 28% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่รัฐบาลฮ่องกงพยายามสกัดกั้นความร้อนแรงของราคาบ้านด้วยการออกกฎหมายการดาวน์บ้านหรูหราที่เข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งประกาศยกเลิกการประกันเงินกู้จำนองสำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อาการเช่าซื้อ

นายโดนัลด์ ซัง ประธานเขตปกครองพิเศษฮ่องกงได้แสดงความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังก่อตัวขึ้นในฮ่องกง


ที่ประชุมโลกร้อนยังไม่ได้ข้อสรุปเงินช่วยเหลือฯ

ผู้แทนจาก 192 ประเทศที่เข้าร่วมการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่กรุงโคเปนเฮเกน ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปได้

เซลวิน ฮาร์ท ผู้แทนจากบาร์บาดอส ยืนยันว่าถ้าไม่ได้รับเงินช่วยเหลือก็จะไม่มีการทำข้อตกลงใดๆทั้งสิ้น เพราะเงินเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งสอดคล้องกับที่ อีโว เดอ โบเออร์ หัวหน้าด้านสภาพอากาศของสหประชาชาติกล่าวว่า ประเทศกำลังพัฒนาต้องการเงินช่วยเหลืออย่างน้อย 1 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี

การกระชุมที่มีอุปสรรคมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงสัปดาห์แรกทำให้ ทอดด์ สเติร์น ผู้แทนจากสหรัฐ และ ซี เจินหัว ผู้แทนจากจีน ต้องเดินทางไปที่กรุงโคเปนเฮเกนเร็วกว่ากำหนด ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ และนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ของจีน จะเดินทางไปถึงก่อนสิ้นสุดการประชุมในวันที่ 18 ธันวาคม

มาร์กาเรตา วาห์ลสตรอม ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ผู้รับผิดชอบด้านการลดความเสี่ยงภัยพิบัติ กล่าวในที่ประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่กรุงโคเปนเฮเกนว่า ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปีนี้นั้น มากกว่า 90% มีสาเหตุมาจากสภาพอากาศที่รุนแรง

วาห์ลสตรอมเปิดเผยข้อมูลที่ได้จากศูนย์การวิจัยระบาดวิทยาของภัยพิบัติ ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2552 ที่เผยให้เห็นว่า ในบรรดาภัยพิบัติทางธรรมชาติ 245 ครั้งที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปีนี้ พบว่า 224 ครั้งเป็นภัยพิบัติที่มีความเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ หรือคิดเป็น 91.4%

ภัยพิบัติทางธรรมชาติเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อประชากร 55 ล้านคน และทำให้มีผู้เสียชีวิต 7,000 คน อีกทั้งยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ คิดเป็นมูลค่าถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมากที่สุดคือเอเชียและแอฟริกา โดยเอเชียได้รับผลกระทบจากพายุและน้ำท่วมมากเป็นพิเศษ ขณะที่แอฟริกาได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (อังคารที่ 15 ธ.ค. 2552)
? เริ่มประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ FOMC
? ดัชนีราคาผู้ผลิต (พ.ย.) โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ
? ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย (ธ.ค.) โดยสมาคมผู้รับสร้างบ้านแห่งชาติสหรัฐฯ

ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ทาง Money Channel
 
บันทึกการเข้า