ทองใหม่
|
|
« ตอบ #75 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 06:45:21 AM » |
|
กราฟGold 1 ช่อง1 เส้นแดงอยู่เหนือเส้นเขียว---ทิศทางขึ้น ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)และเส้นแนวโน้ม(เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น สีเหลืองทอง?ทิศทางลง สีขาว?กำลังหาทิศใหม่)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นเขียวอยู่เหนือเส้นแดง---ทิศทางลง ผู้เล่นออนไลน์ให้ดูเส้นปะ(เส้นปะสีขาว---เส้นแนวต้านและหนุน)และเส้นแนวโน้ม(เส้นแนวโน้ม---สีฟ้า---ทิศทางขึ้น สีเหลืองทอง?ทิศทางลง สีขาว?กำลังหาทิศใหม่)ประกอบ ตั้งจุดกำไรและขาดทุน เส้นแดงและเขียวประสานเป็นกากะบาด ---กำลังจะเปลี่ยนทิศ ให้ดูเส้นแนวโน้มประกอบ หากเส้นแดงและเขียวกำลังจะประสาน แต่ไม่ทันได้ประสานก็หันหันหัวกลับขึ้นหรือลง แสดงว่ากำลังมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนี่งเกิดขึ้น หากขึ้นทะลุเส้นปะแนวต้าน ให้ดูเส้นปะแนวต้านเส้นต่อไป หากลงทะลุเส้นปะแนวหนุน ให้ดูเส้นแนวหนุนเส้นต่อไป ส่วนจุดกลมเหลืองทอง---ทิศทางลง จุดกลมฟ้า---ทิศทางขึ้น หากกราฟวิ่งในยามปกติ พอเชื่อถือได้ หากกราฟวิ่งขึ้นลงแรงๆ คือยามไม่ปกติ ไม่อาจเชือถือได้ ช่อง2 ให้ดูเส้นสีม่วง ประกอบกับเส้นแนวโน้มในช่อง1 หากหันหัวไปในทิศทางเดียวกัน โอกาสที่จะผิดพลาดก็มีน้อย ส่วนเส้นปะสีเหลืองทองและฟ้า หากขึ้นเหนือเลข80 เข้าสู่เขตซื้อเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ทุกเมื่อ หากลงต่ำกว่าเลข20 เข้าสู่เขตขายเกิน ระวังจะเปลี่ยนทิศได้ตลอดเวลา ช่อง3 ให้ดูทั้ง2เส้น คือเหลืองทองและฟ้า หันหัวไปทิศทางเดียวกันหรือไม่ เท่านั้นยังไม่พอ ให้ดูประกอบทิศทางในช่อง1ว่าเป็นทิศทางเดียวกันหรือไม่ หากทิศทางหันหัวในแนวเดียวกัน ทิศทางนั้นเชื่อถือได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sa
Jr. Member
ออฟไลน์
กระทู้: 264
|
|
« ตอบ #76 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 07:25:15 AM » |
|
สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณทองใหม่ ขยันจังเลยนะคะ ว้นนี้แปะยังยิ้มอยู่รึเปล่าคะเมื่อวานเห็นตาแปะยังยิ้มได้เลยกัดฟันโดดเข้าตอน1125จะมีโอกาสได้ออกในอาทิตย์นี้มั๊นคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #77 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 07:39:19 AM » |
|
สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณทองใหม่ ขยันจังเลยนะคะ ว้นนี้แปะยังยิ้มอยู่รึเปล่าคะเมื่อวานเห็นตาแปะยังยิ้มได้เลยกัดฟันโดดเข้าตอน1125จะมีโอกาสได้ออกในอาทิตย์นี้มั๊นคะ
ตาแป๊ะยังยิ้มอยู่จ้า แล้วจะรีบออกไปไหนจ๊ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #78 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 07:44:08 AM » |
|
ทองคำปิด+40เซนต์ วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553 07:28
แรงซื้อเก็งกำไรหนุนราคาทองคำนิวยอร์กปิดบวก40เซนต์
สัญญาทองคำตลาดโคแม็กซ์ ส่งมอบเดือนก.พ.ปิดที่ 1,118.70 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 40.00 เซนต์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,115.50-1,129.60 ดอลลาร์ ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 17.80 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 33.70 เซนต์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 0.75 เซนต์ ปิดที่ 3.4135 ดอลลาร์/ปอนด์ ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ปิดที่ 1,537.80 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 13.90 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 421.95 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 55.00 เซนต์
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (5 ม.ค.) เนื่องจากแรงซื้อเก็งกำไร หลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนตัวลงอีก นับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sa
Jr. Member
ออฟไลน์
กระทู้: 264
|
|
« ตอบ #79 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 09:15:29 AM » |
|
ขอบคุณค่ะคุณทองใหม่...แป๊ะยิ้มอยู่หนูก็ยิ้มได้ค่ะถ้าแป๊ะจะร้องไห้เมื่อไหร่ก็บอกล่วงหน้าด้วยนะคะ คุณทองใหม่รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #80 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 10:21:49 AM » |
|
จีนหวั่นต่างชาติแห่เก็งกำไรค่าเงินหยวน หลังคาดการณ์ว่าเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้น
Posted on Wednesday, January 06, 2010 ต่างชาติแห่เก็งกำไรหยวนจากคาดการณ์หยวนแข็งค่า
นายจาง เสี่ยวเจียง รองผู้อำนวยการคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) คาดการณ์ว่า จะมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาเก็งกำไรสกุลเงินหยวนในประเทศจีนจำนวนมาก
เนื่องจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าสกุลเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะทำให้ทางการจีนประสบความยากลำบากในการจัดการกับสภาพคล่องที่มีอยู่มากเกินไป
นายจางกล่าวผ่านเว็บไซต์ของ NDRC เมื่อวานนี้ว่า นโยบายการเงินแบบผ่อนปรนของกลุ่มชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ รวมทั้งความอ่อนแอของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวขึ้น จะส่งผลให้เงินหยวนของจีนแข็งค่าขึ้น
พร้อมกับกล่าวว่า อัตราการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นในปี 2552 อาจทำให้จีนกลายเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจต่างประเทศมากขึ้น
ขณะที่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนพุ่งขึ้น 17% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 แตะที่ระดับ 2.27 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงสุดของโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ธนาคารกลางจีนแทรกแซงตลาดด้วยการเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อสกัดการแข็งค่าของเงินหยวน
ทั้งนี้ การที่ค่าเงินในเอเชียแข็งค่าขึ้นมากในปีที่แล้วทำให้ประเทศในเอเชียเสียเปรียบในตลาดการค้าโลก เพราะสกุลเงินที่แข็งค่าทำให้ราคาสินค้าเพื่อการส่งออกมีราคาแพงขึ้น
จีนตรึงค่าเงินหยวนไว้ที่ระดับ 6.83 หยวนต่อดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนก.ค.ปี 2551 เพื่อช่วยให้กลุ่มผู้ส่งออกของจีนสามารถรับมือกับวิกฤตการณ์การเงินโลกได้ ขณะที่นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่าของจีน ยืนกรานว่าจีนจะไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องของนานาชาติที่ต้องการให้จีนปรับขึ้นคาเงินหยวน
นักวิเคราะห์จากเอสเจเอส มาร์เก็ตส์ คาดการณ์ว่า สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะร่วงลง 6% ในไตรมาสแรกปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนแห่ซื้อสินทรัพย์ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยดัชนี Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของ 6 สกุลเงินที่เป็นคู่ค้าของสหรัฐ ร่วงลง 4% ในเดือนธ.ค. ขณะที่สกุลเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียและเงินวอนเกาหลีใต้ ทะยานขึ้นกว่า 15% ในปีที่แล้ว
Dow Jones ติดลบ หลังตลาดบ้านมือสองร่วง ขณะคำสั่งซื้อภาคโรงงานบวก
นักลงทุนตลาดวอลล์สตรีทถือโอกาสขายหุ้นทำกำไร หลังรายงานสภาวะตลาดบ้านสร้างความน่าผิดหวัง โดยในครั้งนี้เป็นการเปิดเผยจำนวนสัญญาจะซื้อจะขายบ้านมือสอง ที่ออกมาร่วงลงมากกว่าตลาดคาดในเดือนพฤศจิกายน ด้วยเหตุผลที่ผู้ซื้ออาจตัดสินใจรอการต่ออายุมาตรการจูงใจทางภาษีจากรัฐสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกในขณะนั้น จนทำให้จำนวนสัญญาดังกล่าวออกมาร่วงลงถึง 16% หลังจากที่เคยเพิ่มขึ้นเกือบ 4% ในเดือนตุลาคม และถือเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 10 เดือนอีกด้วย
และที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นก็คือ แนวโน้มจากนี้ที่ตลาดบ้านอาจยังแวดล้อมด้วยความเสี่ยงต่อไป เมื่อมาตรการจูงใจทางภาษีที่ถูกต่ออายุมาแล้วครั้งหนึ่งจะสิ้นสุดลงในปีนี้ ขณะเดียวกับที่อัตราการว่างงานยังอยู่ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี และยังไม่รวมถึงสถานการณ์ด้านการเงินของผู้บริโภคที่ยังเป็นตัวขัดขวางยอดขายบ้าน หลังจากที่ครั้งหนึ่งเคยมีผู้หวังว่าตลาดบ้านจะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในรอบนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อคืนที่ผ่านมากลับมีอีกหนึ่งรายงานที่โผล่มาช่วยให้นักลงทุนใจชื้นขึ้นได้บ้าง เมื่อกระทรวงพาณิชย์รายงานยอดคำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรม ขยับขึ้นมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ ซึ่งเหตุผลหลักๆ ก็มาจากการเพิ่มของออเดอร์สินค้าที่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในภาคธุรกิจ จนทำให้ยอดบุ๊คกิ้งโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 7 ในรอบ 8 เดือนล่าสุด
นอกจากนี้ ภาพรวมของตลาดรถยนต์ในเดือนธันวาคมส่งสัญญาณว่าธุรกิจเริ่มที่จะทรงตัวได้ หลัง Ford Motor, Toyota Motor และ Honda Motor ต่างรายงานยอดขายที่เพิ่มขึ้น และดีกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ สำหรับมุมมองแนวโน้มอุตสาหกรรมรถสหรัฐฯ ในปีนี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Center for Automotive Research มองว่า ยอดขายทั้งปี 2010 อาจจะเพิ่มขึ้นถึง 19% มาอยู่ที่ 12.4 ล้านคัน จากความต้องการรถใหม่และสภาวะสินเชื่อผู้บริโภคที่กำลังมีทิศทางดีขึ้น เช่นเดียวกับ มุมมองของผู้ผลิตรถเองที่คิดว่าในปีนี้ยอดขายน่าจะกลับมาสดใส เมื่อดูจากความเห็นของบริษัท Chrysler ที่คาดว่ายอดขายของทั้งอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 10.8 ล้านคัน ขณะ Ford คาดว่าตัวเลขจะอยู่ที่ 12.3 ล้านคัน
กลับมาดูที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่แม้ว่าจะมีแรงขายหุ้นทำกำไร แต่หุ้นส่วนใหญ่กลับยังบวกขึ้นได้ในช่วงปิดตลาด ส่งผลให้ S&P 500 สามารถยืนหยัดอยู่ได้แถวระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือน นำโดย หุ้นกลุ่มแบงก์ ที่บวกขึ้นมาเป็นวันที่ 9 ไปจนถึงหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมัน
จับตาหุ้น IPO อาจถ่วงดัชนีหุ้นตลาดเกิดใหม่ร่วงปีนี้
ในขณะที่ทุกอย่างกำลังดูดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจหรือแนวโน้มราคาหุ้น ทางด้านกูรูนักลงทุนชื่อดัง อย่าง Mark Mobius ก็ออกโรงเตือนนักลงทุนในประเทศตลาดเกิดใหม่ว่า หุ้นเข้าเทรดใหม่หรือหุ้น IPO ในกลุ่มประเทศเหล่านี้กำลังจะกลายเป็นตัวดึงดูดเม็ดเงินอย่างมาก แทนที่จะเป็นบริษัทในประเทศอุตสาหกรรมเหมือนอย่างที่เคยเป็น
สถานการณ์นี้ Mobius มองว่า อาจจะทำให้ดัชนีหุ้นของ Emerging markets ร่วงลงได้ถึง 20% เลยทีเดียว
ในอีกด้านหนึ่ง ข้อมูลจากฝ่ายงานที่ดูแลเรื่องหลักทรัพย์ของ Barclays ในนิวยอร์ก ชี้ให้เห็นว่า สภาวะเศรษฐกิจที่เร่งตัวของประเทศจีน อินเดีย และบราซิล ช่วยทำให้ดีล IPO เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุด ด้วยจำนวนการออกขายหุ้นใหม่ถีบตัวขึ้นถึงเกือบ 2 เท่า มาอยู่ที่ 200,000 ล้านเหรียญ ขณะที่ทางด้านประเทศโปแลนด์เพียงที่เดียวก็มีผู้คาดการณ์ว่า บริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจอาจจะออกหุ้นขายที่มีมูลค่าสูงกว่า 10,000 ล้านเหรียญ
และนอกจากเรื่องการออกหุ้นใหม่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแล้ว ปัจจัยกดดันยังอยู่ที่เรื่องมูลค่าหุ้นในตลาดที่ทำการซื้อขายอยู่ ณ ระดับราคาสูงสุด เมื่อเทียบกับผลกำไรของตัวเองหากย้อนหลังไปจนถึงปี 2543 หลังจากที่ดัชนี Emerging market กระโดดขึ้นมาราว 75% นอกจากเรื่องที่บริษัทต่างๆ ในประเทศเหล่านี้ระดมทุนผ่านการออกหุ้นใหม่ที่สูงถึง 77,000 ล้านเหรียญ
ตามข้อมูลของ Bloomberg ที่รวบรวมไว้ แสดงให้เห็นว่า การออกหุ้นใหม่ในประเทศกำลังพัฒนามีมูลค่าที่แซงหน้าประเทศที่พัฒนาแล้วไปถึงกว่า 160% และเป็นครั้งแรกที่ประเทศอุตสาหกรรมดึงดูดเม็ดเงินจากการทำ IPO น้อยกว่า
Mark Mobius ในฐานะผู้บริหารกองทุนยักษ์ใหญ่ Templeton Asset Management บอกว่า ถ้ายิ่งดูขนาดของจำนวนการออกหุ้นใหม่เหล่านี้ ก็ยิ่งน่าเป็นห่วงถึงเรื่องซัพพลายที่กำลังจ่อเข้าตลาดอยู่อย่างมหาศาล แม้ว่าราคาหุ้น IPO บางตัวจะดูสมเหตุสมผลก็ตาม ซึ่งเขาเองก็คาดว่าน่าจะมีปัจจัยที่เป็นอุปสรรคจนฉุดตลาดร่วงลงได้บ้าง
ถ้าดูเฉพาะในส่วนของตลาดจีน ก็มีการประเมินโดยบริษัท Ernst & Young และ Bloomberg ว่า ในปีนี้มูลค่าหุ้น IPO ที่ตลาดเซี่ยงไฮ้อาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า มาอยู่ที่ 380,000 ล้านหยวน หรือราว 56,000 ล้านเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกง ตัวเลขอาจจะอยู่ที่ 370,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือประมาณ 48,000 ล้านเหรียญ ซึ่งถ้าหากรวมกันทั้งสองตลาด ตัวเลขก็จะพุ่งสูงกว่ามูลค่าหุ้น IPO ในสหรัฐฯ ที่มีนักวิเคราะห์ประเมินไว้ว่า น่าจะอยู่แถวๆ 40,000-50,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้
นักลงทุนหวั่น ?สัมพันธ์สหรัฐ-จีน? ฉุดการลงทุนปี 53
ยูเรเซีย กรุ๊ป เผยรายงานปัจจัยเสี่ยงสำหรับนักลงทุนทั่วโลกประจำปี 2553 จำนวน 10 อันดับ ในชื่อ ''Top Risks for 2010'' โดยปัจจัยเสี่ยงอันดับที่ 1 ได้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐ อันดับที่ 2 คือ อิหร่าน อันดับ 3 ได้แก่ ความหลากหลายทางการเงินของยุโรป ขณะที่ญี่ปุ่นติดอันดับที่ 5
รายงานชี้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐติดอันดับ 1 เพราะอัตราว่างงานสหรัฐยังอยู่ในระดับสูงและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนจะยิ่งทวีความตึงเครียดในปีนี้ และสำหรับจีนเองนั้น การเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจกับสหรัฐดูเหมือนว่า ความสัมพันธ์ดังกล่าวจะมีความดึงดูดใจน้อยกว่าช่วง 2-3 ปีที่แล้ว
ในขณะที่การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐจะมีขึ้นในเดือนพ.ย. คาดว่า จะมีการใช้การเมืองกดดันนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น
รวมถึงเรื่องความตึงเครียดด้านนโยบายการลงทุนทั้งในสหรัฐและจีน การวิจารณ์อย่างรุนแรงของจีนเมื่อประธานาธิบดีโอบามาผลักดันเรื่องเพดานการค้าเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภา ความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเรื่องเหล็ก และประเด็นต่างๆที่เกี่ยวกับความปลอดภัยบนระบบอินเทอร์เน็ต
สำหรับประเด็นเรื่องอิหร่านกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ 2 นั้น เพราะในรายงานระบุว่า อิหร่านดูเหมือนสัตว์ที่ถูกต้อนจนมุมและบาดเจ็บมากขึ้น ปีนี้จึงดูเหมือนว่า จะมีการลงมือทำอะไรสักอย่างออกมา
ขณะที่ยุโรปซึ่งรั้งปัจจัยเสี่ยงอันดับที่ 3 นั้น เนื่องจากยังไม่เห็นว่ามีความชัดเจนในเรื่องความแตกต่างระหว่างตลาดเกิดใหม่และตลาดที่อิ่มตัวแล้วในเขตเศรษฐกิจที่ใช้สกุลเงินยูโรในปีนี้
สำหรับอันดับที่ 5 นั้น รายงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นถือเป็นการปรับโฉมหน้าญี่ปุ่น โดยมีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายยูคิโอะ ฮาโตยามะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะอยู่ไม่ครบปีในปีนี้
เนื่องจากนโยบายของรัฐที่ไม่ได้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับความต้องการของธุรกิจขนาดใหญ่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางการเงิน และทำให้เกิดความกังวลว่า ญี่ปุ่นอาจจะต้องเผชิญกับภาวะถดถอยอีกครั้งในปีนี้
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ติดอันดับอีก 6 อันดับ ได้แก่ กฎระเบียบด้านการเงินของสหรัฐ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ บราซิล อินเดียและปากีสถาน ยุโรปตะวันออก และตุรกี
เยอรมนีเผยว่างงานลดลง หลังส่งออกฟื้น
สถานการณ์ในตลาดแรงงานของเยอรมนีปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังรัฐบาลใช้มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจของประเทศให้ฟื้นตัวจากภาวะถดถอย
ขณะที่ยอดส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวสดใส ทำให้ล่าสุดตัวเลขว่างงานของเยอรมนีปรับตัวลดลงเหนือความคาดหมายในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา
กระทรวงแรงงานของเยอรมนีรายงานว่า จำนวนคนตกงานในเดือนธ.ค.ปรับตัวลดลง 3,000 ราย เหลือ 3.42 ล้านราย ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าอาจจะเพิ่มขึ้นราว 5,000 ราย นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ว่างงานยังทำสถิติลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ขณะที่อัตราว่างงานยังทรงตัวที่ระดับ 8.1%
ด้านนักวิเคราะห์ชื่อดังมองว่า ตลาดแรงงานเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรปนั้นเริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้ว จากอานิสงส์ของยอดสั่งซื้อสินค้าที่กระเตื้องขึ้นในภาคอุตสาหกรรมการผลิตบางประเภท
ขณะเดียวกัน เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบที่เพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลยังมีส่วนช่วยกระตุ้นตลาดแรงงานด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ เศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัว 0.7% ในไตรมาส 3 หลังจากที่สามารถหลุดพ้นจากภาวะถดถอยได้ในไตรมาส 2
ขณะที่ยอดส่งออกของเยอรมนีเริ่มขยายตัวในเดือนต.ค. ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว โดยรัฐบาลทั่วโลกต่างอัดฉีดเงินหลายพันล้านดอลลาร์ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจยุโรปเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีนี้
รมว.คลังญี่ปุ่นเสนอตัวลาออก ด้วยปัญหาสุขภาพ
นายฮิโรฮิสะ ฟูจิอิ รัฐมนตรีกระทรวงคลังญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุดในคณะรัฐบาลญี่ปุ่นชุดนี้ ด้วยวัย 77 ปี ขอลาออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลเรื่องสุขภาพ หลังจากที่เขาต้องเข้ารับการตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2552
สาเหตุเพราะโหมงานร่างงบประมาณปี 2553 อย่างหนักจนทำให้เขามีอาการความดันโลหิตสูงและอ่อนเพลียอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองว่า อาจจะทำให้เขาไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมรัฐสภาสมัยหน้าได้ พร้อมกับยืนยันว่า เขาจะปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพหลังจากนี้
รัฐสภาญี่ปุ่นมีกำหนดการประชุมในเดือนนี้ ซึ่งปกติแล้วรมว.คลังจะต้องตอบคำถามจากฝ่ายวุฒิสมาชิกเกี่ยวกับงบประมาณที่ได้มีการนำเสนอ นักวิเคราะห์มองว่า หากนายฟูจิอิไม่สามารถทำหน้าที่ได้เพราะเหตุผลเรื่องสุขภาพ ก็ควรจะมีการเปลี่ยนตัวรมว.คลัง
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า หากนายฟูจิอิลาออกจากตำแหน่ง การจัดทำนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายยูคิโอะ ฮาโตยามะ นายกรัฐมนตรีก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากเขาเป็นผู้มีประสบการณ์ในด้านนี้มานาน และครม.ชุดใหม่นี้ก็มีสมาชิกเพียงไม่กี่คนที่มีประสบการณ์ยาวนานทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ ด้านนายกรัฐมนตรี ฮาโตยามะให้ความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้
ยอดขายรถใหม่ในญี่ปุ่นพุ่ง รับแผนกระตุ้นซื้อรถ
สมาคมผู้ค้ายานยนต์ของญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในญี่ปุ่นประจำเดือนธ.ค. รวมถึงรถยนต์ส่วนบุคคล รถบรรทุก และรถบัส พุ่งขึ้น 36.5% จากปีที่แล้ว แตะที่ 250,474 คัน ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นใช้มาตรการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคซื้อรถยนต์ประหยัดพลังงาน
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป สามารถทำยอดขายได้สูงสุด รวมถึงยอดขายรถยนต์เล็กซัส โดยยอดขายค่ายโตโยต้าพุ่งขึ้น 52.4% แตะที่ 115,467 คัน
ส่วนยอดขายจากค่ายซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ป เป็นเพียงบริษัทเดียวที่มียอดขายร่วงลง 18.7% แตะที่ 3,781 คัน
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตลอดทั้งปี 2552 ยอดขายรถยนต์ในญี่ปุ่นลดลงไป 9.1% แตะที่ 2.92 ล้านคัน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 6 ปี
เกาหลีใต้ ตั้งเป้าดึงเงิน FDI สูงสุดในรอบ 10 ปี
รัฐบาลเกาหลีใต้ ตั้งเป้าที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ให้ได้ 13,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งนับเป็นยอดที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 13% จากปีที่แล้ว ซึ่งมูลค่า FDI นี้ถือว่าเป็นระดับที่สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2543 (เกาหลีใต้ได้รับ FDI วงเงิน 15,300 ล้านดอลลาร์) โดยทางรัฐบาลประกาศว่าจะมุ่งความสนใจไปยังการสร้างงานมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ยอดการส่งออกนั้น ทาง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (EXIM Bank) ของเกาหลีใต้ คาดการณ์ว่า ยอดส่งออกของเกาหลีใต้จะขยายตัวขึ้นกว่า 30% ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวขึ้น และราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (อังคารที่ 5 ม.ค. 2553) ? ยอดสั่งซื้อสินค้าโรงงาน (พ.ย.) เพิ่มขึ้น 1.1% จากเดือนก่อนหน้า ? ดัชนียอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (พ.ย.) อยู่ที่ระดับ 96 จุด ลดลง 16% จากเดือนก่อนหน้า
ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พุธที่ 6 ม.ค. 2553) ? ตัวเลขสต็อกน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ โดย EIA
ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ออกอากาศซ้ำเวลา 11.00 น. ทาง Money Channel
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #81 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 10:50:20 AM » |
|
ประเด็นสำคัญ - ราคาทองลดแรงบวกของช่วงแรกมาปิดขยับขึ้นเล็กน้อย - ดอลล์ร่วงเทียบเยนหลังข้อมูลยอดขายบ้านร่วงเกินคาด - อากาศหนาวหนุนน้ำมันดิบปิดบวก 26 เซนต์ - ยอดขายบ้านที่รอปิดการขายลดลง 16% ในเดือนพ.ย.
ราคาทองที่ตลาดสหรัฐลดแรงบวกของในช่วงแรก มาปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยในวันอังคาร ในขณะที่ดอลลาร์แข็งค่าในการซื้อขายที่ผันผวน หลังการเปิดเผยข้อมูลยอดขายบ้านที่น่าผิดหวังของสหรัฐ ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดทอง ทองได้รับแรงกดดัน หลังจากที่ดอลลาร์แข็งแกร่งขึ้นในช่วงท้ายหลังรายงานในช่วงเช้าที่แสดงว่า ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ลดลง 16 % ในเดือนพ.ย.
การลดลงอย่างมากของยอดขายบ้านที่รอปิดการขาย ซึ่งลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน ได้เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัย และสกัดกั้นการปรับตัวขึ้นของตลาดโดยรวม
รัฐบาลสหรัฐเปิดเผยยอดสั่งซื้อของโรงงานเพิ่มขึ้นมากเกินคาดในเดือนพ.ย.ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตจะยังคงสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเปิดเผยยอดขายบ้านที่รอปิดการขายลดลง 16% ในเดือนพ.ย.เมื่อเทียบกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะลดลงเพียง 2% แต่หุ้นกลุ่มก่อสร้างบ้านส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นและหนุนดัชนีดาวโจนส์กลุ่มก่อสร้างบ้านบวก 1.8%
เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสิ้นไตรมาสแรกของปี 2011 ขณะที่ดีลเลอร์บางรายคาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดดอกเบี้ยในไตรมาส 2 ของปีนี้
กองทุน SPDR Gold trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่าทางกองทุนได้ถือครองทองแท่งระดับ 1,128.745 ตัน ณ วันที่ 5 มกราคม 2553 ลดลง 3.963 ตัน จากวันที่ 4 มกราคม 2553
กลยุทธ์ : ราคาทองคำอาจจะใกล้เป้าหมายระยะสั้นที่แนวประมาณ 1133 US$ อาจจะลดความเสี่ยงลดการถือคลองออกมาก่อน เพราะถ้าราคาทองปรับตัวลงแล้วไม่สามารถยืนเนื่องระดับราคาแนว 1100 US$ จะมีการปรับตัวลงอย่างรุนแรงอีกรอบ ถึง 50 US$ ติดตามมาได้ แนวจุด Stop Lose ที่แนวระดับราคา 1100 US$
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #82 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 10:55:13 AM » |
|
USA:น้ำมัน NYMEX อ่อนตัวลงเช้านี้ หลังสต็อกน้ำมันสหรัฐสูงเกินคาด (6 ม.ค.--รอยเตอร์)
06 ม.ค. 2553
USA:น้ำมัน NYMEX อ่อนตัวลงเช้านี้ หลังสต็อกน้ำมันสหรัฐสูงเกินคาด
สัญญาน้ำมันดิบสหรัฐปรับตัวลงในช่วงเช้านี้ หลังจากปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ เกือบ 15 เดือนเมื่อวานนี้ ภายหลังข้อมูลระบุว่า สต็อกน้ำมันกลั่นของสหรัฐเพิ่มขึ้น มากเกินคาด แม้สต็อกน้ำมัน heating oil ลดลงก็ตาม ณ เวลา 08.57 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนก.พ.ที่ตลาด NYMEX ลดลง 14 เซนต์ อยู่ที่ 81.63 ดอลลาร์/บาร์เรลในการซื้อขายช่วงเช้านี้ ผ่านระบบอิเล็คทรอนิค Globex หลังจากปิดวานนี้เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ ที่ 81.77 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดตั้งแต่ต้นเดือนต.ค.2008 สัญญาน้ำมันเดือนก.พ.พุ่งขึ้นแตะระดับ 82.00 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปี 2009 ที่เคยทำไว้ในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) รายงานหลังปิดตลาดวานนี้ว่า สต็อกน้ำมันกลั่น ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 962,000 บาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 1 ม.ค. เมื่อเทียบกับ การคาดการณ์ในผลสำรวจของรอยเตอร์ที่ว่าจะลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล, สต็อกน้ำมัน heating oil ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล, สต็อก น้ำมันดิบลดลงเกินคาด 2.3 ล้านบาร์เรล แต่สต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 5.6 ล้านบาร์เรล ราคาน้ำมันปิดบวกขึ้นเมื่อวานนี้ ในขณะที่ภาวะอากาศหนาวเย็นในสหรัฐ และยุโรปกระตุ้นความต้องการใช้เชื้อเพลิงทำความร้อน คาดกันว่าอุณหภูมิที่หนาวเย็นจะส่งผลให้อุปสงค์ในการทำความร้อนในสหรัฐ อยู่ในระดับสูงกว่าปกติราว 21 % และอุปสงค์ในน้ำมัน heating oil อาจอยู่สูงกว่า ปกติราว 11 % ในขณะที่อุณหภูมิในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอาจอยู่ในระดับ ใกล้ปกติหรือต่ำกว่าปกติ โดยภาคตะวันเฉียงเหนือของสหรัฐ ถือเป็นตลาดน้ำมัน heating oil ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #83 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 10:56:57 AM » |
|
บาท/ดอลลาร์เช้านี้ทรงตัว แต่ยังมีโอกาสแข็งค่าตามสกุลเงินภูมิภาค (6 ม.ค.--รอยเตอร์ )
06 ม.ค. 2553
บาท/ดอลลาร์เช้านี้ทรงตัว แต่ยังมีโอกาสแข็งค่าตามสกุลเงินภูมิภาค *บาท/ดอลลาร์ภาคเช้าทรงตัวจากวานนี้ ขณะที่ดีลเลอร์ มองว่า บาทยังมี โอกาสแข็งค่าได้ ตามทิศทางของสกุลเงินภูมิภาค *ดอลลาร์ในตลาดนิวยอร์ควานนี้ ปรับตัวลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับเยนในรอบ เกือบ 1 เดือน ขณะที่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายของสหรัฐ ที่ อ่อนแอเกินคาด ได้ลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) อาจ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย *สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ เปิดเผยยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอ ปิดการขาย ร่วงลงเกินคาดในเดือนพ.ย. โดยดัชนียอดทำสัญญาขายบ้านที่ รอปิดการขายร่วง 16% สู่ 96.0 หลังเพิ่มขึ้น 9 เดือนติดต่อกัน *แต่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานพุ่งขึ้น 1.1% ในเดือนพ.ย. โดยเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งบ่งชี้ถึงการฟื้นตัว อย่างต่อเนื่องในภาคการผลิต *ยูโรร่วงลงจากระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ในการ ซื้อขายที่ผันผวน โดยเทรดเดอร์ ระบุว่า การที่ยูโรไม่สามารถฝ่าระดับ 1.4450 ดอลลาร์ได้ กระตุ้นให้นักลงทุนกลับมาซื้อคืนดอลลาร์ *09.11 น. บาท/ดอลลาร์อยู่ที่ 33.12/16 ไม่ต่างจากเมื่อวาน ขณะที่ใน offshore อยู่ที่ 33.13/14 จาก 33.14/17 เมื่อวาน *เยน/ดอลลาร์ อยู่ที่ 91.81/82 จาก 91.70 ในตลาดนิวยอร์คเมื่อวาน *ยูโร/ดอลลาร์ อยู่ที่ 1.4360/64 จาก 1.4364 ในตลาดนิวยอร์คเมื่อวาน "ตอนเปิดตลาดวันนี้ ก็เท่ากับปิดตลาดเมื่อวาน แต่ก็เริ่มลงมา (บาทแข็งค่า) อีกแล้ว ก็คงไปตามภูมิภาค" ดีลเลอร์ กล่าว เขา กล่าวว่า เงินบาทในช่วงเปิดตลาดค่อนข้างทรงตัวจากวานนี้ แต่ยังมี โอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นได้ ตามทิศทางของสกุลเงินภูมิภาค ที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อ เทียบกับดอลลาร์ โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 33.10/25
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #84 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 11:03:58 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #85 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 11:05:02 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #86 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 11:05:50 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #87 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 11:39:04 AM » |
|
กราฟตาแป๊ะซ้ายบน มีการเปลี่ยนแปลงนิดหนี่ง มีคำว่า ตัวหนังสือสีเขียว ? ---ขาย และ ตัวหนังสือสีแดง?----ซื้อ เพิ่มเข้ามา เฉพราะที่เพิ่มเข้ามานิดหน่อยนี้ ผมใช้เวลาศุกร์-เสาร์-อาทิตย์(25--27ธค.52)ทั้ง3วันค้าหาในเวปจีนถึงได้เจอ และเอามาเพิ่มผสมเข้ากับกาฟตาแป๊ะช่องซ้ายบน ยังมิทราบจะแม่นยำแค่ไหน ต้องคอยกาลเวลาบ่งบอกครับกราฟตาแป๊ะซ้ายบน ตัวหนังสือสีเขียว ? ---ขาย ตัวหนังสือสีแดง?----ซื้อ เส้นสีแดงหนา---ขาขึ้น เส้นสีเขียวหนา---ขาลงขวาบน เส้นสีแดง---เสนอซื้มากกว่าเสนอขาย เส้นสีเขียว---เสนอขายมากกว่าเสนอซื้อ ส่วนช่วงกลางที่มีแท่งสีแดงกับเขียวนั้น แท่งแดง---แรงซื้อขึ้น แท่งเขียว---แรงขายลงขวาช่องสอง แท่งเหลืองคู่เส้นแดง---ขาขึ้น แท่งฟ้าคู่เส้นเขียว---ขาลง โดยปกติ ช่องนี้จะเปลี่ยนแนวโน้มช้ากว่าเพื่อน หากเปลี่ยนแนวโน้มเมื่อไหร่ เขาให้ขายออกหรือซื้อเข้าได้ทันที่ ยกเว้นมีปัจจัยพื้นฐานแรงๆแทรกเข้ามา จึงจะทำให้แนวโน้มกลับเปลี่ยนได้โดยกะทันหันซ้ายช่องสอง หน้าเหลืองแป๊ะยิ้ม---ขาขึ้น หน้าแดงแป๊ะร้องไห้---ขาลง แท่งสีเขียว---เพดาน แท่งสีแดง---พื้นดินโดยปกติ ช่องนี้จะส่งสัญญาณว่า กำลังจะเปลี่ยนแนวทางแล้วนะ แต่ยังไม่เต็มร้อย อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหันก็ได้ ต้องดูซ้ายบนและขวาช่อง๒ประกอบด้วย จึงจะให้ความมั่นใจได้ทอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทองใหม่
|
|
« ตอบ #88 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 11:40:55 AM » |
|
ดอลล์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Nata
Newbie
ออฟไลน์
กระทู้: 57
|
|
« ตอบ #89 เมื่อ: มกราคม 06, 2010, 11:54:03 AM » |
|
ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะคุณทองใหม่ รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|