Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27 ... 51   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ทิศทางทองสวัสดีปีใหม่2010  (อ่าน 58116 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #360 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 07:17:11 AM »

กราฟใหม่2010(เรามาช่วยกันใช้กาลเวลาพิสูจน์ว่า กราฟตัวนี้จะมีความขลังเท่ากราฟตาแป๊ะไหม)
1.   ซ้ายบนหน้าเทาขาวและหนังสือสีขาว??ถอนตัว(ขาย)   หน้าแดงและหนังสือสีเหลือง??บุก(ซื้อ)
2.   กลางบน หนังสือสีเขียว??ขาย หนังสือสีแดง??ซื้อ ส่วนตัวหนังสือสีเหลืองHuh??เส้นหยุดขาดทุน(สำหรับผู้ที่เล่นออนไลน์สั่งป้องกันล่วงหน้าได้เท่านั้น)
3.   ขวาบน  ตัวหนังสือสีเขียว (?)?ขาย  ตัวหนังสือสีเหลือง(?)?ซื้อ (กราฟช่องนี้ ให้สัญญาณทั้งซื้อและขายออกจะไวกว่ากราฟช่องอื่นๆ มีทั้งข้อดีและเสีย บางครั้งก็ตรงตามสัญญาณที่ให้ในทันทีเลย บางคั้งก็อาจเลื่อนออกไปอีกตั้งหลายวันจึงจะตรงตามสัญญาณที่ปรากฏ สัญญาณของกราฟช่องนี้ ให้เพื่อนๆตัดสินใจเอาเองด้วยความระมัดระวังตามใจชอบนะครับ ขอเตือนเป็นพิเศษ)
4.   ซ้ายล่าง สีแดง???เพดาน(จะอยู่ช่วงบน)   สีแดง???ซื้อ(จะอยู่ช่วงล่าง)          สีเขียว Huh??หนีเร็ว หากเครื่องหมาย ?ปรากฏแค่/ยังไม่สมบูรณ์เต็มตัว?เตรียมตัวหนี(จะปรากฏพร้อม   Huh?เพดาน(จะอยู่ช่วงบน)   )และตัวหนังสือสีเขียว?Huh?เจอต่ำซื้อ
5.   กลางล่าง   หน้าเทาขาว?ขาย        หน้าแดง?ซื้อ
6.   ขวาล่าง    เครื่องหมายสีขาว??ขาย           เครื่องหมายสีชมภู ? ?ซื้อ


อย่าว่าแต่คนเลยครับ ขนาดกราฟก็ยังขัดแย้งกันได้ เพื่อนๆคงเห็นนะครับ การขัดแย้งกันจากกราฟตัวนี้ อย่าบอกนา ว่าไม่เห็น ไม่เห็นหรืออ่านไม่ออก พราะไม่ตั้งใจอ่านคำกำกับกราฟมากกว่า รู้นะ ตาวิเศษเห็นมด ฮาฮา
บันทึกการเข้า
nadia
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 372


« ตอบ #361 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 07:21:16 AM »

ขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า
sa
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 264


« ตอบ #362 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 09:53:14 AM »

ขอบคุณค่ะคุณทองใหม่   ซ้ายบนบอกขาย  ขวาบนบอกซื้อ  แต่กราฟดูเหมือนจะลงได้อีก  แล้วกราฟตาแป๊ะล่ะคะร้องไห้รึยัง....จะเริ่มทะยอยซื้อเลยดีไหมคะ
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #363 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 10:30:10 AM »

ขอบคุณค่ะคุณทองใหม่   ซ้ายบนบอกขาย  ขวาบนบอกซื้อ กลางล่างบอกขาย ขวาล่างบอกขาย แต่กราฟดูเหมือนจะลงได้อีก  แล้วกราฟตาแป๊ะล่ะคะร้องไห้รึยัง....จะเริ่มทะยอยซื้อเลยดีไหมคะ
!047อาจารย์  ผมจะเข้าซื้อเพื่อดึงดอยให้ต่ำอีกนิดขอความเห็นอาจารย์หน่อยครับ  ผมรอน๊าาาา !_09 !_09 !21 !21
ทองเพิ่งลง หน้าตาแป๊ะเพิ่งเปลี่ยนหน้าเป็นร้องไห้(เดี๋ยวเที่ยงโพสกราฟตาแป๊ะให้ดู) ว่ากันตามกราฟ โอกาสที่ทองจะลงอีกมีมากกว่าที่จะขึ้นในช่วงนี้ หากเชื่อกราฟก็คอยให้ทองลงมากกว่านี้ก่อนแล้วค่อยทยอยซื้อเพิ่ม หากคิดที่จะเล่นแบบวัดดวงก็ซื้อได้เลยครับ ฮาฮา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 21, 2010, 10:38:56 AM โดย ทองใหม่ » บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #364 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 10:41:24 AM »

IMF คาดปีนี้ศรษฐกิจโลกขยายตัว 3% เตือนระวังการเคลื่อนไหวของเงิน

Posted on Thursday, January 21, 2010
IMF คาดปีนี้ศรษฐกิจโลกขยายตัว 3% เตือนระวังการเคลื่อนไหวของเงิน

นายโดมินิค สเตราส์ คาห์น ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3% และเศรษฐกิจเอเชียจะขยายตัว 7% ในปีนี้

พร้อมกันนี้ ยังได้เตือนเรื่องกระแสเงินทุนที่ทะลักเข้ามายังเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียบางประเทศ แม้ว่า IMF จะมองว่า ยังไม่มีความเสี่ยงเรื่องภาวะฟองสบู่สินทรัพย์ก็ตาม

โดยผู้อำนวยการ IMF กล่าวว่า "ธนาคารกลางควรให้ความสนใจกับการจัดการเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ประเทศในขณะนี้ เม็ดเงินเหล่านี้กำลังส่งผลกระทบต่อระบบอัตราแลกเปลี่ยน ดีมานด์ภายในประเทศ และเสถียรภาพทางการเงิน นอกจากนี้ ยังเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ ผมจึงแนะนำให้หลายประเทศปรับขึ้นค่าเงินของตนเอง โดยเฉพาะประเทศที่มีค่าเงินต่ำเกินจริง"

พร้อมให้ความเห็นสำหรับสกุลเงินหยวนของจีนว่า ยังต่ำเกินจริง พร้อมกับแนะนำให้จีนผ่อนปรนนโยบายเพื่อให้การซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนเป็นอิสระมากขึ้น เนื่องจากเงินหยวนเป็นหนึ่งในสกุลเงินสากล และจะมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก

นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ IMF กล่าวว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การขยายตัวส่วนใหญ่จะมาจากการใหการสนับสนุนภาคสาธารณะ และดีมานด์ภาคเอกชนเองยังอ่อนตัว สำหรับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตนั้น ยอมรับว่า การหาช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับยกเลิกนโยบายเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่ลำบากมาก เพราะการยกเลิกนโยบายช้าเกินไปก็จะทำให้สูญเสียทรัพยากร แต่ถ้ายกเลิกนโยบายเร็วเกินไปเศรษฐกิจก็อาจจะเสี่ยงที่จะถดถอยมากกว่าเดิม

ขณะที่ IMF ชี้ปัญหาขาดดุลงบประมาณของกรีซเป็นปัญหาใหญ่ แต่เชื่อไม่กระทบระบบเศรษฐกิจยุโรป โดยผู้อำนวยการ IMF กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า ยุโรปจะสามารถต้านทานภาวะผันผวนจากการที่กรีซถูกลดอันดับเครดิตได้ ซึ่งการเปิดเผยของผู้อำนวยการ IMF มีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากรัฐมนตรีคลังยุโรปได้ออกมาแสดงความกังวลว่าปัญหายอดขาดดุลงบประมาณของกรีซอาจลุกลามเข้าไปส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของยุโรป

ทั้งนี้ รัฐมนตรีคลังของหลายประเทศในยุโรปเรียกร้องให้รัฐบาลกรีซเร่งลดยอดขาดดุลงบประมาณ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเงินของกรีซกำลังเข้าขั้นวิกฤตและอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อประเทศอื่นๆในยุโรป

นายวอเตอร์ บอส รัฐมนตรีคลังของเนเธอร์แลนด์กล่าวว่า กรีซจำเป็นต้องตระหนักถึงสถานการณ์ที่รุนแรงอันเป็นผลมาจากยอดขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้น และกรีซต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องนี้ก่อนที่จะลุกลามเข้าไปสร้างความเสียต่อระบบเศรษฐกิจของยุโรปทั้งระบบ ขณะที่นายฌอง-คล้อด จังเกอร์ รัฐมนตรีคลังของลักเซมเบิร์กกล่าวว่า รัฐบาลกรีซต้องเร่งสร้างเสถียรภาพและการขยายตัวอย่างยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งหนึ่งในแนวทางที่สำคัญคือการปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณ


กังวลคุมเข้มสินเชื่อจีน ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนน่าผิดหวัง ทำนักลงทุนถอดใจ

ผลพวงจากการประกาศตัวเลขผลประกอบการของ IBM เมื่อวานนี้ ไปจนถึงรายได้ที่น่าผิดหวังของบริษัทที่ทำธุรกิจรถไฟรายใหญ่ในอเมริกา อย่าง CSX Corp เป็นแรงกดดันให้ตลาดหุ้นปิดร่วงลงเมื่อคืนที่ผ่านมา เช่นเดียวกับ Morgan Stanley ที่เปิดเผยผลการดำเนินงานออกมาแล้วเช่นกัน ด้วยรายได้การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลง นอกจากนั้น หุ้นน้ำมันรวมถึงทองคำ ก็ปิดติดลบตามราคาในตลาดล่วงหน้า

นักลงทุนถือโอกาสขายหุ้นทำกำไร ขณะที่บรรยากาศซื้อขายหุ้นส่วนหนึ่งถูกกดดันมาตั้งแต่ตลาดเอเชียเมื่อวานนี้ เมื่อมีข่าวว่าทางการจีนบอกให้ธนาคารในประเทศจำกัดการปล่อยกู้ โดยตัวเลขที่หน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจแบงก์ตั้งเป้าให้การขยายตัวของสินเชื่อถูกจำกัดไว้ อยู่ที่ 7.5 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 1.1 ล้านล้านเหรียญในปีนี้ ซึ่งการที่บางธนาคารถูกสั่งให้กดตัวเลขสินเชื่อลงก็เป็นเพราะ ความที่ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขที่รัฐได้กำหนดไว้ได้ ซึ่งรวมถึงเรื่องของการคงระดับเงินทุนให้สูงเพียงพอ

การออกมาตอกย้ำในเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้บริหารหน่วยงานกำกับธุรกิจธนาคารเห็นรายงานการปล่อยสินเชื่อในประเทศ ที่ยังออกมาอยู่ในระดับสูงเพียงแค่ในช่วง 10 วันทำการแรกของปีเท่านั้น

ย้อนกลับมาที่ปัจจัยผลการดำเนินงาน ที่นักลงทุนคาดว่าจะเป็นเครื่องชี้ชะตาตลาดหุ้นในระยะสั้นนี้ โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่เคยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤติการเงินโลก ล่าสุดเป็นคราวของแบงก์ที่ทำธุรกิจโบรกเกอร์หลักทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง Morgan Stanley ที่เปิดเผยรายได้จากการดำเนินงานออกมาที่ 413 ล้านเหรียญ หรือ 14 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ที่คาดไว้ที่ 42 เซนต์ต่อหุ้น
ในเวลาเดียวกัน ก็ยังมีรายงานด้วยว่า Morgan Stanley ได้ทำการจัดสรรเงินในสัดส่วน 62% ของรายได้เพื่อจ่ายให้กับพนักงานในปีแล้ว ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนที่สูงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ และอาจกำลังนำไปสู่ประเด็นถกเถียงเมื่อธนาคารเปิดเผยถึงการเพิ่มจำนวนพนักงานที่รวดเร็วกว่าความสามารถในการหารายได้


ตลาดแรงงานอังกฤษส่งสัญญาณฟื้น แม้ยังเสี่ยงภาคธุรกิจขยายตัวช้า

สำนักงานสถิติของอังกฤษเปิดเผยถึงตัวเลขการขอใช้สิทธิสวัสดิการว่างงานที่ลดลงอย่างรวดเร็วในเดือนที่แล้ว ซึ่งก็ทำให้หลายคนมั่นใจมากขึ้นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มที่จะประคองตัวขึ้นมายืนได้จริงๆ แล้ว

ตัวเลขการขอใช้สวัสดิการของแรงงานชาวอังกฤษเดือนธันวาคมลดลง 15,200 ราย มาอยู่ที่ 1.61 ล้านราย เมื่อเทียบกับที่นักเศรษฐศาสตร์เคยคาดไว้ว่าตัวเลขน่าจะลดลงเพียงแค่ราวๆ 4,000 รายเท่านั้น

หัวหน้าทีมวิเคราะห์เศรษฐกิจจาก Deutsche Bank ในลอนดอนมองว่า การฟื้นตัวของประเทศยังคงเดินหน้าต่อ และก็น่ายินดีที่สภาวะการว่างงานไม่ได้แย่ลงเหมือนอย่างที่เคยคิดไว้ แม้คำถามที่คาใจอยู่ก็คือ ข่าวดีแบบนี้จะมีต่อเนื่องไปได้อีกนานแค่ไหน

ถ้าหันไปดูข้อมูลที่คำนวณภายใต้มาตรฐานของ International Labour Organization จะพบว่า จำนวนผู้ว่างงานของอังกฤษลดลง 7,000 ราย ในช่วงเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน มาอยู่ที่ 2.46 ล้านคน ซึ่งเรียกว่าเป็นการลดลงรายไตรมาสครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2008

รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Gordon Brown อาจเบาใจลงได้บ้าง ภายหลังจากที่อัตราการว่างงานขยับขึ้นช้ากว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เดิม เมื่อมีหลายบริษัทตัดสินใจคงการจ้างงานไว้ แม้จะระงับแผนการเพิ่มค่าจ้าง รวมถึงตัดสินใจปรับลดจำนวนชั่วโมงแรงงานลง ทั้งหมดก็ด้วยความหวังที่จะคงระดับการจ้างงานที่จำเป็นไว้ เพื่อเตรียมพร้อมในเวลาที่เศรษฐกิจสามารถกลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง

และที่ระดับอัตราการว่างงานแถวๆ 8% นั้น ตัวเลขของอังกฤษก็ยังเรียกว่าต่ำกว่าของสหรัฐฯ และเพื่อนร่วมภูมิภาคยุโรปอีกหลายประเทศ แม้จะมีนักเศรษฐศาสตร์บางคนที่เคยเก็งว่าอัตราการว่างงานของประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำแห่งนี้มีโอกาสที่จะพุ่งขึ้นได้อีก แต่ก็คงไม่ถึงระดับ 10%

สถิติสูงสุดในช่วงหลังสงครามโลก อัตราการว่างงานของอังกฤษเคยขึ้นไปแตะระดับ 11.9% ในปี 1984 ซึ่งจากวิกฤติเศรษฐกิจคราวนี้ก็คงไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากถึงขนาดนั้น

มีความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจที่มองว่า การฟื้นตัวในประเทศอาจดำเนินไปอย่างช้าๆ ในขณะที่บรรดาบริษัทต่างๆ อาจจะใช้วิธีการเพิ่มจำนวนชั่วโมงการทำงานของแรงงานก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นตามมาในระยะต่อไป


นักวิเคราะห์คาดราคาสินแร่เหล็กพุ่งขึ้น 35-50% ปีนี้

เมอร์ริล ลินช์ และโกลด์แมน แซคส์ เจบีเวอร์ พร้อมใจปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาสินแร่เหล็กในปีนี้ โดยคาดว่าราคาสินแร่เหล็กจะปรับตัวขึ้น 35-50% จากเดิมที่ได้มีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 10-20%

โกลด์แมน แซคส์ เจบีเวอร์ คาดการณ์ว่า ราคาสินแร่เหล็กในปีนี้ จะสูงขึ้นอีก 35% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า จะเพิ่มขึ้น 20% ขณะที่เมอร์ริลลินช์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคามากที่สุดถึง 15-50%

นักวิเคราะห์ระบุว่า ปัจจัยเรื่องอุปทานและอุปสงค์พื้นฐานจัดเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ขณะที่ราคาสปอต ณ ปัจจุบัน ยังมีความสำคัญน้อยกว่า โดยราคาสปอตของสินแร่เหล็กที่จีนนำเข้าจากอินเดียนั้น ปรับตัวสูงขึ้นมากนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2552

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ราคาอ้างอิง CIF ที่ท่าเรือเทียนจินปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 135 ดอลลาร์ต่อตันในปัจจุบัน ซึ่งสูงขึ้น 2 เท่าจากระดับ 59.1 ดอลลาร์ต่อตันในช่วงเดือนมี.ค. 2552 โดยสินแร่เหล็กที่จีนผลิตเอง ตลอดจนการคาดการณ์ผลผลิตเหล็กในอนาคตของจีน สหรัฐ และยุโรป ถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ของวาณิชธนกิจหลายแห่ง

หม่า จงผู นักวิเคราะห์อาวุโสของ Umetal.com กล่าวว่า สินแร่เหล็กได้กลายมาเป็นเป้าหมายในการเก็งกำไรในตลาดทุนต่างประเทศ รายงานของวาณิชธนกิจรายใหญ่ๆมีผลต่อการเจรจาต่อรองเรื่องสินแร่เหล็กทุกๆปี

เมื่อเดือนพ.ค. 2552 นั้น มอร์แกน สแตนลีย์ โกลด์แมนแซคส์ และบาร์เคลย์ส ต่างเปิดบริการระบบการซื้อขายเก็งกำไรสินแร่เหล็กด้วยการทำธุรกรรมเงินสด


จีนกำหนดเป้าหมายการปล่อยกู้ปี 53 ที่ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์

นายหลิง หมิงกัง ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการธนาคารจีน เปิดเผยว่า ทางการจีนได้ตั้งเป้าหมายในการปล่อยกู้ในประเทศไว้ที่ประมาณ 7.5 ล้านล้านหยวน หรือ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยทางการจะยังคงควบคุมระดับการขยายตัวและปริมาณสินเชื่อในปีนี้

นายหมิงกังกล่าวว่า ในช่วงต้นเดือนม.ค.นั้น จะเห็นได้ว่ายอดการปล่อยเงินกู้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีผลกระทบมาจากปีที่แล้ว ซึ่งแนวโน้มการปล่อยกู้เช่นนี้จะคลี่คลายลง เนื่องจากได้มีการตอบสนองดีมานด์ไปแล้ว โดยอุปทานสินเชื่อในจีนเมื่อปี 2552 มีมูลประมาณ 9.5 ล้านล้านหยวน หรือ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์

ขณะที่ยอดการปล่อยกู้โดยเฉลี่ยรายเดือนอยู่ที่ 1.52 ล้านล้านหยวน หรือ 222,000 ล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก แต่ร่วงลงทีละน้อยจนมาอยู่ระดับปกติในไตรมาสต่อๆมา

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประธานคณะกรรมการกล่าวต่อไปว่า สินเชื่อมีบทบาทอย่างมากในการสนับสนุนการลงทุนเชิงโครงสร้าง การปล่อยสินเชื่ออย่างรวดเร็วช่วยสร้างความมั่นใจในตลาด และผ่อนปรนภาวะตึงตัวของสภาพคล่อง และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

สำหรับการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น นายหลิวกล่าวว่า การถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ถือเป็นปัจจัยท้าทายที่สำคัญสำหรับจีน เพราะรัฐบาลไม่ได้ใช้เงินเพื่อช่วยเหลือธุรกิจไฟแนนซ์ แต่สถานการณ์ท้าทายที่แท้จริงสำหรับจีนและประเทศต่างๆในเอเชียคือ วิธีการปรับโครงสร้างในแต่ละประเท


จีนจะนำเข้าน้ำมันต่อเนื่องในปีนี้

ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานชี้ว่า จีนจะยังคงนำเข้าพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ เนื่องจากได้รับปัจจัยผลักดันจากดีมานด์ที่พุ่งสูงขึ้นหลังจากที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าการนำเข้าพลังงานของจีนจะขยายตัว 5% ในปีนี้ และสัดส่วนการนำเข้าต่อการใช้งานอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 54% จากระดับ 52% เมื่อปี 2552

หลิน โปเฉียง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจพลังงานจีนประจำมหาวิทยาลัยเซียะเหมิน กล่าวว่า การผลิตภายในประเทศนั้นอยู่ที่ระดับสูงสุดแล้ว

แม้ว่าบริษัทภายในประเทศจะเร่งการขยายธุรกิจในต่างประเทศ แต่แหล่งทรัพยากรที่มีอยู่นั้นยังคงอยู่ในระดับที่จำกัด

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ข้อมูลศุลกากรชี้ว่า ในปี 2552 จีนได้นำเข้าน้ำมัน 204 ล้านตัน ขณะที่ผลผลิตของจีนมีจำนวนทั้งสิ้น 190 ล้านตัน

ขณะที่รายงานจากสถาบันสังคมศาสตร์จีนระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่จีนจะต้องนำเข้าน้ำมันเพื่อตอบสนองการบริโภคในประเทศที่ระดับ 64.5% ภายในปี 2563 โดยมีสาเหตุหลักมาจากช่องว่างระหว่างการบริโภคในประเทศและผลผลิต

ด้านนักวิเคราะห์ชี้ว่า จีนควรจะกระจายการลงทุนในแหล่งนำเข้าน้ำมัน เพื่อรับประกันว่า อุปทานจะมีอยู่อย่างยั่งยืนมากขึ้น โดยตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียแปซิฟิคนั้นถือเป็นประเทศส่งออกน้ำมันรายหลักให้กับจีน


ธนาคารกลางจีนสั่งเพิ่มเพดานกันสำรอง 0.5%

ธนาคารกลางจีนสั่งให้ธนาคารอย่างน้อย 2 แห่งเพิ่มเพดานกันสำรอง 0.5% เป็นความพยายามอย่างเห็นได้ชัดในการควบคุมการปล่อยกู้ในเดือนนี้

ล่าสุด ธนาคารกลางสั่งให้ธนาคารซิติก (ซึ่งเป็น ธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 7 ) และ ธ.ไชน่า เอเวอร์ไบรท์ แบงก์ ต้องกันสำรองเพิ่ม 0.5%

การที่ธนาคารเหล่านี้จำเป็นต้องกันสำรองเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ทางธนาคารจะมีเงินสดน้อยลงในการปล่อยสินเชื่อในตลาด

ในสัปดาห์แรกของปีนี้ ยอดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพุ่งขึ้น 6 แสนล้านหยวน (หรือ 87,888 ล้านดอลลาร์) เป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้ ธ.กลางจีนต้อง take action เพื่อลดความร้อนแรง

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า ยังจะมีธนาคาร 1 ใน 4 ของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของจีน ก็อาจจะต้องเพิ่มเพดานการกันสำรองในเร็วๆ นี้

ข่าวดังกล่าวกระทบต่อตลาดหุ้นค่อนข้างแรง เพราะทำให้ ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเซียงไฮ้ ร่วงลงถึง 3% ต่ดความวิตกต่อการระงับการปล่อยสินเชื่อ


รัฐบาลญี่ปุ่นคงระดับการประเมินเศรษฐกิจ

รัฐบาลญี่ปุ่นได้คงระดับการประเมินเศรษฐกิจโดยรวมไว้ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ชี้เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้น พร้อมกับเตือนว่า ภาวะเงินฝืดและสถานการณ์การจ้างงานที่ยังไม่ดีขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่พึ่งจะเริ่มต้นขึ้น

รายงานเศรษฐกิจรายเดือนของรัฐบาลฉบับล่าสุดชี้ว่า แม้ว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น แต่สถานการณ์ก็ยังไม่เอื้ออำนวย อีกทั้งยังมีปัจจัยที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งเรื่องอัตราว่างงานที่ยังอยู่ในระดับสูง

นอกจากนี้ รัฐบาลได้ทบทวนปรับเพิ่มการประเมินโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งมีสัญญาณของการฟื้นตัวขึ้น

สำหรับองค์ประกอบด้านเศรษฐกิจอื่น ๆ นั้น รัฐบาลยังได้คงระดับการประเมินไว้ และชี้ว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมกำลังฟื้นตัว และกำไรภาคเอกชนที่ตกลงนั้นก็คลี่คลายลง ส่วนการลงทุนในภาคธุรกิจเริ่มฟื้นตัว


ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (พุธที่ 20 ม.ค. 2553)
? ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน (ธ.ค.) 557,000 ยูนิต
? อัตราการขออนุญาตก่อสร้าง (ธ.ค.) 653,000 ยูนิต
? ดัชนีราคาผู้ผลิต หรือ PPI (ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้า

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พฤหัสบดีที่ 21 ม.ค. 2553)
? ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ
? ตัวเลขสต็อกน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ โดย EIA
? ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (ธ.ค.) โดย Conference Board

ติดตาม Money Wake up ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 6.00 น. ออกอากาศซ้ำเวลา 11.00 น. ทาง Money Channel
 
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #365 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 10:44:13 AM »

ราคาทองคำวูบ 27 เหรียญ เงินดอลลาร์แข็ง-วิตกจีนคุมปล่อยเงินกู้

Posted on Thursday, January 21, 2010
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนัก เพราะถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น และจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวจีนคุมเข้มการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ โดยนักลงทุนมองว่าการที่จีนใช้มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก และอาจทำให้ความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงทองคำ ลดน้อยลงด้วย

ทั้งนี้ คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการธนาคารจีนได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์บางส่วนจำกัดการปล่อยเงินกู้ พร้อมกับประกาศเป้าหมายการปล่อยกู้ภายในประเทศเอาไว้ที่ 7.5 ล้านล้านหยวน หรือ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะยังคงควบคุมระดับการขยายตัวและปริมาณสินเชื่อในปีนี้

กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก ถือครองทองคำที่ระดับ 1,111.922 ตัน ณ วันที่ 19 ม.ค. ลดลง 0.08% จากวันที่ 18 ม.ค

- ทองคำ ส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ ปิดที่ 1,112.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (-27.40 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์)
- เงิน ส่งมอบเดือนมีนาคม ปิดที่ 17.88 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ (-0.92 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์)
 
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #366 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 10:48:19 AM »

21 ม.ค. 2553

บาท/ดอลลาร์เช้านี้อ่อนค่า ขณะวิตกจีนคุมเข้มสินเเชื่อ

  *บาท/ดอลลาร์ภาคเช้าอ่อนค่าจากท้ายตลาดเมื่อวาน หลังดอลลาร์
         แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินหลายสกุล ขณะที่จุดสนใจของตลาดในวันนี้
         อยู่ที่ตัวเลขเศรษฐกิจจีน และการคุมเข้มด้านสินเชื่อของจีน
        *ดอลลาร์ปรับตัวแข็งแกร่งใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนครึ่ง 
         เมื่อเทียบกับตะกร้าเงินในตลาดเอเชียช่วงเช้านี้ หลังยูโรร่วงลง 
         แต่สกุลเงินที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ อาจได้แรงหนุนจากการเปิดเผย
         ข้อมูลเศรษฐกิจของจีนในวันนี้ 
        *จีนเป็นที่จับตามองในสัปดาห์นี้ ขณะที่ความวิตกว่าจีนจะคุมเข้มนโยบาย
         สินเชื่อและการเงิน ทำให้นักลงทุนขายสกุลเงินที่อิงตามการขยายตัวทาง
         เศรษฐกิจ อาทิ ดอลลาร์ออสเตรเลีย และดอลลาร์นิวซีแลนด์
        *จีนเปิดเผยจีดีพีไตรมาส 4 ในวันนี้ โดยเพิ่มขึ้น 10.7% เมื่อเทียบปีต่อปี
         ขณะที่นักวิเคราะห์ที่ได้รับการสำรวจโดยรอยเตอร์คาดว่า จะขยายตัว 
         10.9% ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 8.9% ในไตรมาส 3   
        *จีนยังรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคในธ.ค.เพิ่มขึ้น 1.9%, การผลิตภาค
         อุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 18.5% และยอดค้าปลีกโต 17.5%
        *ข้อมูลที่สดใส อาจช่วยหนุนสกุลเงินที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ แต่
         ความวิตกที่ว่า จีนจะคุมเข้มสินเชื่อเพื่อป้องกันภาวะฟองสบู่นั้น
         อาจจำกัดแรงบวก
        *ส่วนยูโรร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์
         ในวันพุธ ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับความสามารถของกรีซในการลด
         ยอดขาดดุล และวิตกว่าจีนกำลังพยายามชะลอการปล่อยกู้ของภาคธนาคาร
        *09.15 น.บาท/ดอลลาร์ อยู่ที่ 32.93/96 จาก 32.88/93 เมื่อวันพุธ
         ขณะที่ในตลาด offshore อยู่ที่ 32.94/96 จาก 32.91/96 เมื่อวันพุธ
        *เยน/ดอลลาร์ อยู่ที่ 91.41/45 จาก 91.21 ในตลาดนิวยอร์คเมื่อคืน
        *ยูโร/ดอลลาร์ อยู่ที่ 1.4095/98 จาก 1.4102 ในตลาดนิวยอร์คเมื่อคืน
 
        "ดอลลาร์ในช่วงนี้ยังอยู่ในทิศทางแข็งค่าขึ้น แต่จากการที่เศรษฐกิจของไทย
        พึ่งการส่งออกมาก ทำให้เมื่อดอลลาร์แข็งขึ้นมา จะมีแรงขายรออยู่จำนวนมาก" 
        ดีลเลอร์กล่าว  ดีลเลอร์คาดว่า ในวันนี้บาท/ดอลลาร์น่าจะอยู่ในกรอบ 32.90-33.00
 
        แหล่งที่มา : รอยเตอร์
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #367 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 10:50:59 AM »

21 ม.ค. 2553


สรุปภาวะตลาดเมื่อวาน
    ราคาโกลด์ฟิวเจอร์สปรับตัวผันผวน ในขณะที่ราคาทองคำสปอตปรับตัวลดลงรุนแรงตามดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจากความกังวลต่อเนื่องเกี่ยวกับนโยบายของจีนเป็นไปตามมุมมองของเรา ทองคำแท่งสมาคมฯปิดที่ 17,600/700 บาท เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อย


ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อเนื่องถึงวันนี้
    แนวโน้มที่จีนจะดำเนินนโยบายการเงินแบบรัดกุมมากขึ้นได้สร้างความกังวลไปทั่วโลก ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่นักลงทุนกลัวความเสี่ยงมากขึ้นเป็นการกดดันราคาทองคำต่อเนื่องได้เช่นกัน [Reuters, Econoday, Bloomberg, TCAF Research]
    ผลประกอบการรายบริษัทในสหรัฐฯออกมาไม่ค่อยดีโดยทั้งไอบีเอ็ม และมอร์แกนสแตนลีย์ต่างรายงานยอดขายลดลงกว่าเดิม เป็นการสร้างความกังวลเรื่องเศรษฐกิจให้กับนักลงทุนต่อเนื่องอีก ผลักดันให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้อีกต่อหนึ่ง [Bloomberg, TCAF Research]
   จีนรายงานการเติบโตของเศรษฐกิจสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างมากเมื่อเช้านี้ แสดงถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อที่รายงานก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงและปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน เป็นการซ้ำเติมความกังวลเรื่องฟองสบู่ในจีนอีกนักลงทุนจึงยังไม่กล้าลงทุนเพิ่มเติม ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอีกเล็กน้อยพร้อมกับราคาทองคำที่ยังได้รับแรงกดดันต่อเนื่องอีก [TCAF Research]


แนวโน้มทองคำวันนี้
   ข่าวร้ายต่อเศรษฐกิจยังมีอยู่ต่อเนื่องน่าจะกดดันราคาทองคำและสินทรัพย์เสี่ยงได้อีกในขณะที่นักลงทุนยังจับตามองผลสำรวจผู้ประกอบการในยุโรป และรอความหวังจากข่าวดีในตลาดสหรัฐฯจากรายงานเศรษฐกิจและผลประกอบการรายบริษัท เราจึงมองว่า "ราคาทองคำน่าจะค่อยๆแกว่งตัวลงช้าๆ และปรับตัวผันผวนข้ามคืน" เราจึงแนะนำให้ "ค่อยสะสม SHORT ช่วงเช้า และปิดในช่วงเย็น"


มุมมองทองคำ
    แนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวน่าจะมีความสำคัญที่สุดในช่วงนี้ ในขณะที่มาตรการต่างๆของมหาอำนาจก็น่าจับตามองไม่แพ้กันเนื่องจากอาจส่งผลต่อการรับความเสี่ยงของนักลงทุนและส่งผลต่อสถานะของทองคำได้

บันทึกการเข้า
oyo
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1760


« ตอบ #368 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 10:54:15 AM »

ขอบคุณครับคุณทองใหม่ Smiley
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #369 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 10:54:31 AM »

ประเด็นสำคัญ
   - ราคาทองปิดใกล้จุดต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์หลังดอลล์พุ่ง
   - ยูโรร่วงต่ำสุดในรอบ 5 เดือนเทียบดอลล์
   - ราคาน้ำมันดิบร่วงลงขณะดอลล์พุ่งขึ้น
   - การเลือกตั้งวุฒิสมาชิกในรัฐแมสซสชูเซสที่มีความสำคัญมาก

     ราคาทองที่ตลาดสหรัฐแตะระดับต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ในวันพุธ โดยปิดต่ำลงกว่า 2% ในขณะที่การพุ่งขึ้นของดอลลาร์และการคุมเข้มการให้เงินกู้ของธนาคารจีนลดความน่าดึงดูดใจของทองในฐานะเครื่องมือประกันความเสี่ยงต่อทั้งเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของสกุลเงิน สัญญาทองส่งมอบเดือนก.พ.เคลื่อนตัวในช่วง 1,141.70-1,106.80 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. ในขณะที่มีปริมาณการซื้อขายราว 244,582 สัญญา

      เทรดเดอร์กล่าวว่า ข่าวที่ว่าจีนเพิ่มเพดานการกันสำรองของธนาคาร ยับยั้งทัศนะในแง่บวกเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ซึ่งลดความน่าดึงดูดใจของทองในฐานะเครื่องมือประกันความเสี่ยงเงินเฟ้อ

      นักวิเคราะห์กล่าวว่า ชัยชนะของพรรครีพับลิกันสำหรับที่นั่งวุฒิสมาชิกที่ว่างลงได้ช่วยหนุนดอลลาร์ขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนครึ่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญๆ จากมุมมองที่ว่า อาจจะมีการกดดันให้สภาคองเกรสควบคุมการขาดดุล เนื่องจากมีแนวโน้มว่าพรรครีพลับบลิกันจะได้รับเลือกมาคานอำนาจประธานาธิบดีโอบามา ซึ่งจะส่งผลให้มีการตัดลดงบประมาณการใช้จ่ายลง และจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น

      รายงานข่าวที่ว่าธนาคารของจีนได้ถูกสั่งให้ควบคุมการปล่อยกู้นั้นได้ถ่วงสกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ดอลลาร์ออสเตรเลียซึ่งร่วงลง 1.8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ นักวิเคราะห์กล่าวว่า นโยบายที่คุมเข้มมากขึ้นอาจจะชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และส่งผลกระทบต่อความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์และสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ

      กองทุน SPDR Gold trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก เปิดเผยว่าทางกองทุนได้ถือครองทองแท่งระดับ 1,111.922 ตัน ณ วันที่ 20 มกราคม 2553 ลดลง 0.914 ตัน จากวันที่ 15 มกราคม 2553

     กลยุทธ์ : หลังการหลุดแนวรับ Stop Loss สำคัญที่ระดับราคา 1123 US$ ซึ่งเป็นแนวที่สำคัญมาก ให้รออีก 2-3 วันทำการเพราะยังมีแรงลงต่อเนื่องเกิดขึ้นได้อีก
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #370 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 10:59:24 AM »

ฮาฮา อ่านให้เต็มอิ่มไปเลยครับ ล้วนมีประโยชน์ต่อการลงทุนของเพื่อนๆ อิ่มแล้วยัง? ไม่อิ่มเดี๋ยวหามาเติมให้อีก ฮาฮา
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #371 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 12:02:50 PM »

กราฟตาแป๊ะซ้ายบน มีการเปลี่ยนแปลงนิดหนี่ง มีคำว่า ตัวหนังสือสีเขียว ? ---ขาย และ ตัวหนังสือสีแดง?----ซื้อ  เพิ่มเข้ามา เฉพราะที่เพิ่มเข้ามานิดหน่อยนี้ ผมใช้เวลาศุกร์-เสาร์-อาทิตย์(25--27ธค.52)ทั้ง3วันค้าหาในเวปจีนถึงได้เจอ และเอามาเพิ่มผสมเข้ากับกาฟตาแป๊ะช่องซ้ายบน ยังมิทราบจะแม่นยำแค่ไหน ต้องคอยกาลเวลาบ่งบอกครับ
กราฟตาแป๊ะซ้ายบน ตัวหนังสือสีเขียว ? ---ขาย  ตัวหนังสือสีแดง?----ซื้อ  เส้นสีแดงหนา---ขาขึ้น เส้นสีเขียวหนา---ขาลงขวาบน  เส้นสีแดง---เสนอซื้มากกว่าเสนอขาย เส้นสีเขียว---เสนอขายมากกว่าเสนอซื้อ  ส่วนช่วงกลางที่มีแท่งสีแดงกับเขียวนั้น แท่งแดง---แรงซื้อขึ้น   แท่งเขียว---แรงขายลง
ขวาช่องสอง  แท่งเหลืองคู่เส้นแดง---ขาขึ้น   แท่งฟ้าคู่เส้นเขียว---ขาลง โดยปกติ ช่องนี้จะเปลี่ยนแนวโน้มช้ากว่าเพื่อน หากเปลี่ยนแนวโน้มเมื่อไหร่ เขาให้ขายออกหรือซื้อเข้าได้ทันที่ ยกเว้นมีปัจจัยพื้นฐานแรงๆแทรกเข้ามา จึงจะทำให้แนวโน้มกลับเปลี่ยนได้โดยกะทันหัน
ซ้ายช่องสอง หน้าเหลืองแป๊ะยิ้ม---ขาขึ้น หน้าแดงแป๊ะร้องไห้---ขาลง  แท่งสีเขียว---เพดาน   แท่งสีแดง---พื้นดินโดยปกติ ช่องนี้จะส่งสัญญาณว่า กำลังจะเปลี่ยนแนวทางแล้วนะ แต่ยังไม่เต็มร้อย อาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยกะทันหันก็ได้ ต้องดูซ้ายบนและขวาช่อง๒ประกอบด้วย จึงจะให้ความมั่นใจได้
ทอง
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #372 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 12:04:32 PM »

ดัชนีเงินเมกา
บันทึกการเข้า
ทองใหม่
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1062


« ตอบ #373 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 12:06:26 PM »

น้ำมัน
บันทึกการเข้า
Cindy
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 347



« ตอบ #374 เมื่อ: มกราคม 21, 2010, 02:02:54 PM »

ขอบคุณค่ะอาจารย์ รอดูราคาพรุ่งนี้อีกวัน ค่อยเข้าโกลด์ค่ะ วันนี้ดูมันไม่นิ่ง พุ่งขึ้นไปให้ตาแป๊ะยิ้มอีกแล้ว Grin
บันทึกการเข้า
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27 ... 51   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: