jainu
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2013, 10:37:23 AM » |
|
พระไพศาล วิสาโล ปุจฉา - หนูมีความสงสัยค่ะ หนูเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงดูตั้งแต่เด็กๆ
หนูอยู่กับญาติๆ ที่โตมามีอนาคตดีๆ แบบนี้ก็เพราะบุญคุณญาติที่ท่วมหัวหนูอยู่นี้
หนูจึงไม่มีความรักให้พ่อแม่เลยค่ะ แต่ตอนนี้แม่ของหนูป่วย
หนูจึงดูแลท่านตามกำลังของหนูที่ทำได้ แต่ที่หนูทำนี้ก็เพราะสงสารที่ท่านไม่มีใครดูแล
และคิดเสมอว่ายังไงท่านก็คือแม่ แต่ความรู้สึกบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมแม่ไม่เลี้ยงดูเรา
ที่เรามีวันนี้ไม่ใช่เพราะแม่ เพราะบุญคุณคนอื่นทั้งนั้น
เป็นแม่ก็ควรเลี้ยงลูก แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าท่านคงมีเหตุผลของท่านที่เลี้ยงดูเราไม่ได้
ถึงยังไงหนูก็ยังรู้สึกว่าหนูมีอคติต่อท่านในเรื่องนี้ จนบางครั้งเผลอตะคอกใส่ท่าน
ใช้คำพูดไม่ดีต่อท่าน จนตอนนี้หนูสับสนว่าสิ่งที่ทำอยู่นี่
มันจะเป็นการสร้างบาปมากกว่าการทดแทนบุญคุณค่ะ
ทำไมแม่ไม่เลี้ยงลูกแล้วแม่ไม่บาปบ้าง
ลูกต้องการแม่เหมือนกันตอนเด็กๆเห็นคนอื่นมีแม่ มีพ่อพร้อมหน้าแต่เราไม่มี พระไพศาล วิสาโล - การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นับเป็นโชคอันประเสริฐอย่างยิ่ง
เพียงแค่นี้ก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่คุณจะสำนึกในบุญคุณของพ่อแม่
เพราะถ้าไม่มีท่านหรือถ้าท่านไม่ดูแลคุณให้ดีตั้งแต่อยู่ในท้องตลอด ๙ เดือน
คุณคงไม่มีโอกาสมาเกิดมาเป็นผู้คนอย่างทุกวันนี้
ดังนั้นเมื่อท่านเจ็บป่วยก็ควรดูแลท่าน ยิ่งท่านไม่มีใครอื่นอีก
การดูแลเอาใจใส่ของคุณยิ่งมีความสำคัญต่อท่านเป็นทวีคูณ
การที่ท่านไม่ได้ดูแลคุณตั้งแต่เล็ก ท่านอาจมีเหตุผลหรือข้อจำกัดของท่าน
แต่ถึงแม้ท่านจะมีเหตุผลที่ไม่สมควรในสายตาของคุณ
คุณก็ไม่ควรกระทำต่อท่านในลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าใครจะทำไม่ดีกับคุณ
นั่นเป็นเรื่องของเขา และไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะทำไม่ดีกับเขาเป็นการตอบแทน
อย่าลืมว่าหากเราทำไม่ดีกับใครก็ตาม บาปหรือวิบากนั้นก็ย่อมตกอยู่แก่เราในที่สุด
มองในอีกแง่หนึ่ง หากคุณมีลูก คุณก็อยากให้ลูกดูแลคุณในยามเจ็บป่วย
แต่คุณจะคาดหวังให้ลูกดูแลคุณในยามลำบากได้อย่างไร
หากคุณไม่ดูแลแม่ในยามที่ท่านลำบาก การที่คุณดูแลท่านขณะนี้นับว่าดีแล้ว
ขอให้ดูแลอย่างดีทั้งด้วยกาย วาจา และใจ จริงอยู่การดูแลคนป่วยไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ก็ขอให้อดทน และพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรามาก ๆ
ถ้าเหนื่อยก็พักบ้าง พลาดพลั้งอะไรไป ก็ให้อภัยตัวเองบ้าง แล้วกลับมาตั้งใจทำให้ดีขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: พฤษภาคม 31, 2013, 12:18:39 PM » |
|
พระไพศาล วิสาโล การดำเนินชีวิตไม่ต่างจากการเดินทาง บางครั้งก็ต้องเจอทั้งแดดและฝน หากหนีไม่พ้นหรือไม่มีอะไรบัง การเดินสู้อดดสู้ฝนด้วยใจสงบ หรือยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมดีกว่าการเดินไปบ่นไป จะว่าไปแล้วแดดหรือฝนทำความทุกข์ให้เราน้อยกว่าใจที่หงุดหงิดหรือก่นด่าฟ้าดินเสียอีก ในเมื่อไหนๆ ร่างกายก็ต้องร้อนหรือเปียกอยู่แล้ว จะไปเพิ่มความทุกข์ให้จิตใจทำไม ชีวิตที่มีความสุขจึงไม่ใช่ชีวิตที่ปราศจากทุกข์ แต่คือชีวิตที่รู้จักเกี่ยวข้องกับความทุกข์อย่างถูกต้อง
- พระไพศาล วิสาโล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2013, 06:02:14 PM » |
|
หลวงปู่ชา สุภัทโทอย่าเสียใจ-อย่าใจเสีย
"..จะเสียอะไร ก็ให้เสียไป อย่าให้เสียใจ หรือ อย่าให้ใจเสียคนที่ใจเสีย หรือเสียใจ ก็คือคนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลือ.."
หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2013, 06:05:25 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2013, 06:08:43 PM » |
|
ท่านพ่อลี ธัมมธโร (พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์)" สุขโลกีย์ มันก็ดีแต่ใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ เท่านั้น เหมือนข้าวสุกที่เราตักใส่จานใหม่ๆ ยังร้อนๆ ควันขึ้น ก็น่ารับประทาน แต่พอตักไว้นานจนเย็นชืดก็กินไม่อร่อย ยิ่งทิ้งไว้จนแข็งเป็นข้าวเย็น ก็ยิ่งกลืนไม่ลง พอข้ามวันก็เหม็นบูด ต้องเททิ้ง กินไม่ได้เลย "
ท่านพ่อลี ธัมมธโร (พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์) วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2013, 06:13:37 PM » |
|
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระใจคือสมบัติอันล้ำค่า จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจคือคนไม่สนใจปฏิบัติต่อดวงใจดวงวิเศษในร่างนี้ แม้จะเกิดสักพันร้อยพันชาติ ก็คือ ผู้เกิดพลาดอยู่นั่นเอง
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #37 เมื่อ: มิถุนายน 08, 2013, 06:16:12 PM » |
|
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ"..การทำผิด เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ถ้าค้นพบความผิด แล้วแก้ไข และ ตั้งใจไม่ทำอีก เป็นซ้ำสอง น่ายกย่องนับถือ ยิ่งนัก.."
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: มิถุนายน 16, 2013, 08:43:41 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #39 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2013, 05:56:40 PM » |
|
การทำบุญ ต้องทำเหมือนเป็นยางลบ ไม่ใช่ปากกาหรือดินสอ ต้องลบกิเลส ลดความเห็นแก่ตัว ลดความยึดมั่นว่า ตัวกู-ของกู
-พุทธทาสภิกขุ จากหนังสือ "ทำบุญสามแบบ" พ.ศ.๒๕๑๐
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #40 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2013, 05:58:10 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #41 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2013, 05:58:52 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #42 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2013, 07:57:32 PM » |
|
พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
คนเรา ถ้าสามารถเรียกร้องอะไรได้จากชีวิต เพียงแค่ขอให้กินง่าย ถ่ายคล่อง นอนสบาย เท่านี้ชีวิตก็เป็นสุขแล้ว
พูดอย่างนี้ หลายคนคงต่อว่าในใจว่า..."อะไรกัน ขอเพียงเท่านี้เองเหรอ... " ถ้าขออะไรได้ ใครต่อใครคงขอให้ร่ำรวย เจริญด้วยยศศักดิ์ อำนาจและชื่อเสียง ได้เป็นดาราที่เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากแฟนๆไม่หยุดหย่อน หรือไม่ก็เป็นรัฐมนตรีมีระดับที่สูงทั้งไอคิวและไอเดีย อย่างน้อยๆก็ขอให้มีแฟนสวย เจ้าบ่าวหล่อ อะไรทำนองนั้น(และที่ลืมไม่ได้อย่างเด็ดขาดก็คือขอให้ค่าเงินบาทและราคาหุ้นพุ่งกระฉูด)
การกินง่าย ถ่ายคล่อง นอนสบายดูเหมือนจะเป็นสิ่งพื้น ๆ ประเภทหญ้าปากคอก ไม่มีค่าไม่มีราคา จะใช้หากินหรือเอาไปอวดใครก็ไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโตก็กินง่ายถ่ายคล่องอยู่แล้ว จะไปน่าสนใจอะไร
แต่ของที่เป็นหญ้าปากคอกนี่แหละ สำคัญนักแล ลองกลั้นลมหายใจสักนาทีดู ก็จะรู้ว่าอากาศนั้นมีความหมายเพียงใดต่อชีวิต ถึงจะเป็นเซียนหุ้นฝีมือล้ำเลิศเพียงใด ในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างทุกวันนี้ ย่อมประจักษ์แก่ใจว่า ถ้าคืนไหนสามารถหลับได้เต็มตา ก็นับว่าโชคดีทีเดียว
แม้ในยามเงินตราไหลสะพัด ก็ใช่ว่าการนอนหลับสนิทจะเป็นเรื่องที่ทำกันได้ง่าย ๆ คนเป็นอันมาก ทำงานตักตวงเงินจนเป็นเศรษฐีเงินล้าน แต่พบว่าสิ่งหนึ่งที่สูญเสียไปคือ ความสามารถที่จะนอนหลับสนิท ตอนเป็นเด็ก การหลับนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่พอโตขึ้น ของง่ายก็กลับเป็นเรื่องยากไป
การนอน การกิน การถ่าย ไม่มีราคาค่างวดอะไรก็จริง แต่ก็เพราะไม่มีราคาค่างวดนี่แหละ ถึงได้เป็นปัญหาสำหรับคนยุคนี้นักธุรกิจถึงจะมีเงินร้อยล้านพันล้าน ก็ไม่สามารถเอาเงินซื้อสภาวะกินง่ายถ่ายคล่อง นอนสบายได้ ทุกวันนี้ปัญหาพื้นๆแบบนี้ ไม่ได้เป็นเฉพาะกับเจ้าของเบนซ์คันหรูเท่านั้น แม้กระทั่งเจ้าอีแตีกอีต๋อยก็เจอ "โรคสมัยใหม่"แบบนี้มากขึ้นทุกที
น่าแปลกไหมที่มนุษย์แม้จะส่งคนไปโลกพระจันทร์ แปลงเพศ เปลี่ยนยีนได้ แต่กลับไม่สามารถเอาชนะโรคนอนไม่หลับได้เลย.. .ยานอนหลับที่วางขายกันเกลื่อนนั้น แก้ปัญหาได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว และที่จริงก็เพียงแต่ทำให้หลับ (ที่จริงต้องเรียกว่า "หมดสติ") แต่หาทำให้สบายไม่ ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกงัวเงีย สมองตื้อ ยังไม่ต้องพูดถึงผลข้างเคียงที่ติดตามมา แม้กระนั้น ยานอนหลับก็ยังติดอันดับขายดีทั่วประเทศ(และทั่วโลก)
ที่จริงไม่ใช่แต่ยานอนหลับเท่านั้น ยาถ่ายก็ขายดีเช่นเดียวกัน คนสมัยนี้มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายทั้งนั้น แต่ครั้นจะพึ่งยาถ่ายทุกวี่ทุกวัน สุขภาพก็มีแต่จะแย่ลง สมัยนี้ใครที่ไม่มีปัญหาการถ่าย นับได้ว่ามีโชคอันประเสริฐ เพราะไม่เพียงแต่จะปลอดจากโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร แผลลำไส้ใหญ่เท่านั้น หากยังมีหวังแคล้วคลาดจากโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งลำไส้อีกด้วย
เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าการหลับง่ายถ่ายคล่องนั้นซื้อหาไม่ได้และไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ จะเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้อย่างแท้จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น หมั่นออกกำลังกาย และกินอาหารที่มีเส้นใยมาก ๆ เช่นข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ก็ช่วยได้มาก
แต่การกินง่ายนี่สิ ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก ใช่ว่ามีลิ้นแล้วจะกินอะไรเป็นอร่อยไปหมดก็หาไม่ การกินของง่าย ๆ พื้น ๆ แล้วยังรู้สึกอร่อยนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับจิตใจค่อนข้างมาก ลำพังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางกายอย่างที่ยกตัวอย่างข้างต้นนั้นเห็นจะไม่พอ แม้จะเปลี่ยนมากินผักมาก ๆ ก็ยังอยากปรุงแต่งให้อร่อย มีสีสันรูปลักษณ์น่ากิน แล้วก็ต้องเปลี่ยนเมนูบ่อย ๆ ด้วย เพราะขืนกินสูตรเดียวกันทุกวี่ทุกวันก็แย่เหมือนกัน
ทั้ง ๆ ที่การกินง่ายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่น่าสังเกตว่า เวลาไปถามรัฐมนตรีหรือนักธุรกิจพันล้านมักจะได้คำตอบตรงกันว่า ชอบกินราดหน้าบ้าง ก๋วยเตี๋ยวเป็ดบ้าง ดูใคร ๆ ก็ชอบแสดงตัวว่าชอบกินอะไรง่าย ๆ แต่เวลาประชุมพรรค หรือเลี้ยงฉลองกัน เป็นไฉนจึงชอบจัดตามโรงแรมดัง และสั่งอาหารหรูเริ่ดทุกครั้งไปก็ไม่รู้
การกินง่าย ๆ ให้อร่อยนั้นไม่ได้อยู่ที่ลิ้นมากเท่ากับที่ใจ ถ้าใจไปให้คุณค่ากับอาหารราคาแพงคิดว่าอาหารอร่อยต้องกินตามโรงแรม หรือกินเพราะต้องการแสดงความโก้เก๋อวดบารมีเสียแล้ว กินผีดผัก แกงจืดจะไปมีรสชาติอะไร แม้แต่กล้วยแขกก็ไม่คู่ควรกับลิ้นของตัวเท่ากับเค้กช็อกโกแลต
จะรู้จักรสชาติอาหารพื้น ๆ ได้ ก็ต่อเมื่อถอดหัวโขน เปลื้องเหรียญตรา และปีนลงมาจากหอคอยงาช้าง แต่จะดีกว่านี้ ถ้าหากปรับใจให้ตระหนักว่า ความอร่อยของอาหารนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่ามันกระตุ้นลิ้นได้มากเพียงใด อาหารที่มีรสจัดจ้าน ไม่ว่าหวาน เปรี้ยว เผ็ด ชนิดออกนอกหน้าโจ่งแจ้ง ไม่ใช่อาหารอร่อยเสมอไปรสชาติเรียบ ๆ ก็เป็นเสน่ห์ของอาหารอย่างหนึ่งเหมือนกัน แถมยังเป็นเสน่ห์ที่มีคุณค่ากว่ารสจัดจ้าน เพราะไม่เพียงแต่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น หากยังมีผลกล่อมเกลาจิตใจให้สงบด้วย ความสงบนี่แหละช่วยให้บังเกิดความสุขความรื่นรมย์ในขณะกินอาหาร โดยไม่ต้องมีเสียงเพลงจากนักร้องมาช่วยกล่อมเลยอย่าลืมว่า ความสุขไม่ได้เกิดจากการเร้าจิตกระตุ้นใจเท่านั้น ความสงบก็เป็นบ่อเกิดแห่งความสุขด้วยเช่นกัน ทั้งยังเป็นสุขที่ประณีตและประเสริฐกว่าเสียด้วย
คงเห็นแล้วว่า การรู้จักกินง่าย ๆ จะว่าเป็นเรื่องหญ้าปากคอกก็ได้ (เด็กที่ไหน ๆ กินกล้วยแขกก็รู้สึกอร่อย ตราบใดที่ยังไม่ถูกอิทธิพลโฆษณาแฮมเบอร์เกอร์ครอบงำ) จะว่าไม่ใช่หญ้าปากคอกก็ได้ เพราะต้องอาศัยคุณภาพจิตระดับหนึ่งด้วย ว่าไปแล้ว แม้แต่การนอนง่ายถ่ายคล่องก็เกี่ยวข้องกับจิตใจเช่นกัน ถ้าหงุดหงิดคิดมาก ท้องก็ผูกเป็นเรื่องธรรมดา หากเจ็บช้ำน้ำใจ อึดอัดขัดเคืองใคร ก็พลอยทำให้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายทั้งคืน ถึงหลับได้ก็ฝันฟุ้งจนเหนื่อย ตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกว่านอนไม่พอ ง่วงเหงาหาวนอนทั้งวัน
ถ้าอยากนอนง่ายถ่ายคล่องจริง ๆ ก็ต้องรู้จักปล่อยวางให้เป็นด้วย นั่นหมายความว่าต้องฝึกใจให้คิดเป็นเรื่อง ๆ คิดเป็นที่เป็นทาง ไม่ใช่คิดแบบ "เรี่ยราด" คนที่ปล่อยใจคิดไปเรื่อย ๆ สุดแท้แต่อารมณ์ความรู้สึกจะพาไป ง่ายที่จะเป็นคนครุ่นคิดติดยึดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เก็บเอาเรื่องเล็กน้อยในสำนักงานมาเป็นอารมณ์ติดค้า ง แม้กระทั่งเวลากลับมาบ้าน บางเรื่องแม้จะดูเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถ้าหมกมุ่นครุ่นคิดกับมัน ไม่รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง มันก็จะเข้ามาครอบงำเรา กลายเป็นใหญ่เหนือเรา คราวนี้ถึงอยากจะวาง มันก็ไม่ยอมให้เราวาง มีแต่จะบังคับให้จิตของเรา ครุ่นคิดปรุงแต่งไปตามที่มันกำหนดทั้งวี่ทั้งวัน กระทั่งเวลานอนก็นอนไม่ได้ เพราะสลัดมันไปไม่สำเร็จ ปลิงที่ว่าเหนียวหนึบ ยังสู้ความครุ่นคิดกังวลใจไม่ได้
ลองฝึกใจให้คิดเป็นเรื่อง ๆ ถึงเวลากินใจก็อยู่กับการกิน ถึงเวลาล้างจานใจก็อยู่กับการล้างจาน ถึงเวลาคุยใจก็อยู่กับการคุย ไม่พึงปล่อยใจไปกับเรื่องอื่น คนสมัยนี้มักเข้าใจไปว่าการคิดไปด้วยกินไปด้วยเป็นการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งเวลาหายากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนเก่ง ล้ำหน้าคนอื่น หารู้ไม่ว่านั่นคือการบั่นทอนคุณภาพชีวิตอย่างร้ายแรง นอกจากจะทำให้จิตไม่มีสมาธิกับงานใด ๆ แม้แต่งานเดียวแล้วยังทำให้ขาดสติคิดเรี่ยราดหรือฟุ้งซ่านได้ง่าย กลายเป็นคนเจ้ากังวล จมกับความเครียด ใครที่กินอาหารด้วยจิตแบบนี้ ก็เตรียมยารักษาโรคกระเพาะ ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือยาแก้ท้องผูกไว้ได้เลย มิหนำซ้ำ ถึงจะกินอาหารฮ่องเต้วิเ ศษปานใด ก็ไม่มีวันรู้สึกอร่อยไปได้ ตรงกันข้ามกับคนที่มีจิตใจผ่องใส โปร่งโล่ง กินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น แม้จะเป็นข้าวแกงธรรมดา
การกินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ พื้น ๆ อย่างที่เข้าใจถ้าอยากจะมั่งมีศรีสุขก็อย่าลืมตั้งจิตคิดถึงเรื่องนี้ด้วย อย่าสนใจเพียงแค่ทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น ส่วนคนที่มุ่งดับทุกข์ดับกิเลส ก็อย่าเพิ่งดูแคลนการกินง่ายถ่ายคล่องว่าเป็นเรื่องโลกย์ ๆ เพราะแท้ที่จริงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่แยกไม่ออกจากการฝึกฝนจิตใจหรือการปฏิบัติธรรมเลยทีเดียว ถึงที่สุดแล้ว การกินง่ายถ่ายคล่อง หลับสบายนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้สภาวธรรมที่สำคัญประการหนึ่งทีเดียว จางจื๊อ ปราชญ์จีนโบราณได้พูดถึงผู้บรรลุธรรมขั้นสูงว่า ...
มนุษย์ที่แท้ในสมัยโบราณนั้น... นอนโดยไม่ฝัน ตื่นโดยไม่วิตก กินอาหารง่าย ๆ หายใจลึก ๆ
คนที่ถึงจุดสุดยอดในทางธรรมไม่ใช่คนที่เหาะเหินเดินอากาศหรือหายตัวได้ หากแต่(เป็นคนที่)มีชีวิตอยู่อย่างสามัญ เป็นความสามัญที่ไม่ธรรมดาเลย
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้เงินทองจะร่อยหรอ ข้าวของจะแพง แต่ถ้าหากยังกินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบาย ก็ควรพึงพอใจได้แล้ว
เพราะฉะนั้นวันนี้ เห็นจะไม่มีอะไรเหมาะสมเท่ากับคำอวยพรว่า... ขอให้ทุกท่าน กินง่าย ถ่ายคล่อง หลับสบายทุกวันวาร เทอญ.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #43 เมื่อ: กรกฎาคม 07, 2013, 08:15:54 PM » |
|
shared ปิยสีโลภิกขุ - พระภูวดล ปิยสีโล's photo.
ความทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา แต่เมื่อต้องอยู่ร่วมกัน เราสามารถเลือกได้ว่าจะอยู่อย่างทุกข์ทรมาน หรือจะอยู่ร่วมกันโดยสันติ
ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่รู้ว่าเป็นมะเร็งนั้นทุกข์ใจมาก เพราะเกิดความรังเกียจมะเร็ง แต่เมื่อต้องอยู่กับมะเร็งนานเข้า เธอก็เปลี่ยนความคิด เห็นว่ามะเร็งกลายเป็นเพื่อนของเธอ เพราะถ้าเธออยู่ มะเร็งก็ยังอยู่ แต่ถ้าเธอตาย มะเร็งก็ต้องตายไปด้วย เมื่อคิดได้อย่างนี้ เธออยู่ร่วมกับมะเร็งด้วยความสบายใจมากขึ้น
ทุกข์ที่เกิดจากความเจ็บป่วยนั้น ไม่ได้เกิดที่กายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดกับใจด้วย ถ้าฝึกใจให้นิ่งแล้วมองเข้าไปให้ลึก จะพบว่าเรามีความโกรธเกลียด ไม่พอใจ แฝงเร้นอยู่ ความโกรธเกลียดนี้เป็นแรงผลักดัน ทำให้เราอยากขจัดความทุกข์นี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และความอยากนี้เองที่ทำให้ทุกข์ซับซ้อนขึ้นไปอีก กลายเป็นความทรมานทางใจที่ไม่สิ้นสุด
พระพุทธองค์ทรงสอนว่าทุกข์มีไว้เพื่อศึกษาหรือกำหนดรู้ ไม่ได้มีไว้ให้เรากำจัด เมื่อเราทำผิดหน้าที่ ไม่ตรงตามคำสอน ทุกข์จึงไม่หาย และกลับยิ่งทวีขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ถ้าเรายอมรับทุกข์ สร้างความพอใจที่จะอยู่ร่วมกันโดยสันติ เราก็จะมีโอกาสศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องทุกข์ จนกระทั่งรู้ชัดว่า ต้นตอของทุกข์นั้นมาจากไหน และรู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับต้นตออันนั้น
การจัดการกับต้นตอของทุกข์อย่างถูกต้องนั่นเอง เป็นเหตุให้ทุกข์ดับไป
ดังนั้น เมื่อต้องอยู่ร่วมกับความเจ็บป่วย เราจึงต้องพยายามวางจิตใจให้เป็นกุศล ยอมรับว่าตราบใดที่ยังมีร่างกายนี้อยู่ เราจะต้องอยู่กับความเจ็บไปสักระยะ
ถ้าเราสามารถเฝ้ามองจิตใจของตนในขณะเจ็บป่วยทางกาย แล้วพยายามปล่อยวางความร้อนรนในใจ ที่เกิดจากความไม่พอใจ ความรังเกียจ และความอยากจะให้หายไว ๆ เราจะพบว่าความทุกข์นั้นก็ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด
ถึงกายจะปวดอย่างแสนสาหัส เราก็ไม่ทุกข์ทรมานอย่างสาหัสตามไปด้วย เพราะเรามีวิธีประคองใจให้อยู่ในกุศล นึกคิดในเรื่องดีงามที่เคยกระทำ เจริญเมตตา ส่งความปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลาย และหาอุบายสอนใจตัวเองไม่ให้เกิดความอยากในสิ่งที่ยังเป็นไปไม่ได้
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเรายอมให้ทุกข์สอนเราถึงสัจธรรมของชีวิต เรากลับจะหาประโยชน์ได้จากทุกข์ ยามที่ความเจ็บป่วยทางกายคลายลงไป การเฝ้ามองกระบวนการทำงานของจิตใจในขณะที่เกิดทุกข์ ย่อมทำให้ความเจ็บป่วยทางใจของเราได้รับการเยียวยาไปด้วย
แล้วเราก็จะมีความเข้มแข็งทางใจ สามารถรับมือกับทุกข์ครั้งต่อไปได้ โดยรู้สึกทรมานน้อยลงเรื่อย ๆ
Credit ภาพและจัดหน้า ปิยสีโลภิกขุ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #44 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2013, 08:13:04 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|