soda
|
|
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2010, 06:13:13 PM » |
|
มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ 1. นั่งสมาธิ อย่างน้อยวันละ 15 นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้) อานิสงส์ --- เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรือง ไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล
2. สวดมนต์ ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน อานิสงส์ --- เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า เงินทองไหล มาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา , พระคาถาชินบัญชร , พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง
3. ถวายยารักษาโรค ให้วัด , ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์ อานิสงส์ --- ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา สุขภาพกายจิตแข็งแรง อา ยุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา
4. ทำบุญตักบาตร ทุกเช้า อานิสงส์ --- ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน อานิสงส์ --- เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถยศ สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน
6. สร้างพระถวายวัด อานิสงส์ --- ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ ของพุทธศาสนาตลอดไป
7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์ หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป อานิสงส์ --- ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที ่ ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตร และเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อ ๆ ไป ได้เกิดมาอยู่ใน ร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา จิตเป็นกุศล
8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย อานิสงส์ --- ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะม ีผู้คอยช่วยเหลือ ไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง
9. ปล่อยปลา ที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ อานิสงส์--- ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวร ที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส เป็นอิสระ
10. ให้ทุนการศึกษา , บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอนหนังสือ อานิสงส์ --- ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อ ๆ ไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม
11... ให้เงินขอทาน , ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม) อานิสงส์ --- ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน
12. รักษาศีล 5 หรือศีล 8 อานิสงส์ --- ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่ างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา
อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์ 1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย 2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น 3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เ***้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้ 4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย 5. มีอายุมั่นขวัญยืน 6.. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง 7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ด ีงามเป็นสิริมงคล 8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน 9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพ พาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ 10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ
อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้
1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ 2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ 3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม 4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย 5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ 6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ ( เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน 7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป 8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช 9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง 10. สิ่งที่สร้า งจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติ ของผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ
อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์ (บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ , อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร) 1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา 2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย 3.. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย 4.. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป 5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา 6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต 7. เป ็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา 8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ 9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย 10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการให้คนได้บวช
ทั้ง หมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับ จงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับ ท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำ ติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 06, 2012, 08:52:40 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 08:43:00 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: มกราคม 22, 2012, 12:08:49 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
googleadmin
เด็กฝึกหัดลงทุน
Newbie
ออฟไลน์
กระทู้: 5
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: มกราคม 22, 2012, 10:18:44 PM » |
|
บางทีมัวสนใจสิ่งรอบข้างมากเกินจนลืมสนใจจิตใจตัวเอง พยายามทำบุญ ทำสมาธิ กำหนดลมหายใจให้มีสติอยู่ทุกอริยาบท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: มีนาคม 27, 2012, 07:51:04 PM » |
|
เมื่อไหร่ได้มา อย่าลืมให้ไปเมื่อไหร่ได้มา อย่าลืมให้ไปเมื่อไหร่ได้มา อย่าลืมให้ไป จะทำให้ชีวิตและหัวใจของเธอสมดุล
ถ้าเราได้บ่อยๆ แล้วไม่แบ่งปันให้ใคร เราก็จะเป็นคนเห็นแก่ได้ ไม่รู้จักพอโดยไม่รู้ตัว
ทำให้เกิดทุกข์ในใจ การให้และแบ่งปัน จะทำให้กิเลสของเราลดลง
ช่วยรักษาสมดุลทางใจได้ดีทางหนึ่ง เรียกว่าให้เพื่อใจเราเอง
นานมาแล้ว เคยมีคนสอนฉันว่า ทุก 2% ของรายได้
ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน หรือเงินพิเศษก็ตาม ควรแบ่งปันให้คนอื่น
เพราะถ้าเราเอาแต่ได้ บุญเก่าเราจะหมดเร็ว ก็เล่นเอาแต่ใช้ ไม่เติมลงไป
มีน้อยก็ให้น้อย ดีกว่าไม่ให้เลย ถ้าเรามัวแต่รับ มัวแต่กอบโกย
เราจะเกิดความโลภโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับยิ่งได้ยิ่งสนุกจนลืมตัว
ที่จริง… มันไม่เกี่ยวกับเรื่องบุญหรือบาปหรอก แต่ให้เพื่อใจเรา…
เพื่อละลดกิเลสที่ทำให้เกิดทุกข์ และตัวเขาก็ได้ประโยชน์
มีความสุขทั้งสองฝ่าย เพียงแค่ส่วนเล็กน้อยของรายได้
ถ้าเรารู้จักแบ่งปันคนอื่น มันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราถึงกับล่มจมหรอก
แล้วเงินส่วนนั้น ต่อให้เรางกเก็บไว้ มันก็ไม่ได้ทำให้เราร่ำรวยขึ้นมาอีกด้วย
ก็แบ่งๆ ให้คนอื่น… ที่เขาลำบากกว่าเราบ้างเถอะ…———————————————————————- การ์ตูน. “ยืนอย่างเชื่อมั่น”. กรุงเทพฯ: ใยไหม, 2546. หน้า 131-135.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: เมษายน 01, 2012, 03:36:17 PM » |
|
อยากมีความสุข…จงทำตัวเหมือนน้ำหลากหลายปัญหาที่เข้ามาใน ชีวิตหากเราจะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างง่ายได้ก็ต้องรู้จักการปรับตัวให้สอด คล้องกับสภาพแวดล้อมนะคะ ดุจดั่งสายน้ำ และเรื่องที่นำมาฝากกันในวันนี้ก็คือ อยากมีความสุข…จงทำตัวเหมือนน้ำ ไปติดตามกันเลยค่ะ
1.รู้จักประมาณตัว
>>>> น้ำ ไม่ว่าจะอยู่ในภาชนะรูปแบบใด หรือแหล่งน้ำธรรมชาติลักษณะไหน ก็สามารถกลมกลืนมีรูปร่างตามนั้น
>>>>คน หากรู้จักปรับตัวให้เข้ากับที่อยู่หรือสิ่งแวดล้อมที่ห่อหุ้มชีวิต อยู่บ้านใหญ่ก็อยู่ได้ อยู่บ้านเล็กก็ปรับตัวได้เหมาะสม เช่นภาษิต นกน้อยทำรังแต่พอตัว ไม่ใช่มีมากใช้มากมีน้อยใช้น้อยก็อาจทุกข์ร้อนได้ 2.รู้จักถ่อมตน-เคารพคนอื่น
>>>> น้ำ จะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ น้ำตกเกิดเพราะบนยอดเขามีน้ำอยู่มาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ผิวดินหรือใต้ดิน น้ำก็ย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ
>>>> คน เปรียบดั่งคนที่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ติดยึดกับหัวโขนที่สวมอยู่ หากแต่สามารถปรับได้ตามกาลเทศะ รู้จักเคารพ ให้เกียรติ มีเมตตาไม่ดูถูก ไม่รังเกียจ
3.รู้จักยืดหยุ่น
>>>> น้ำ อ่อนนุ่มแต่มีปะทะมหาศาลยามที่อยู่เฉยๆไม่ทำร้ายใคร แต่ยามน้ำไหลบ่าก็สามารถทำลายแม้กระทั่งขุนเขามหึมาได้
>>>> คน ต้องรู้จักอดกลั้น อดทน และข้ามผ่านช่วงเวลาที่ไม่น่าพอใจไปได้ ด้วยการรู้จักยืดหยุ่น รู้จักเขารู้จักเราเพื่อก้าว เมื่อได้ชัยชนะให้เกียรติคู่ต่อสู้แข็งมาอ่อนกลับชนะจากภายในสู่ภายนอก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: เมษายน 16, 2012, 10:05:09 PM » |
|
ขนมชื่อว่า "ไม่มี" ชื่อนิทานเรื่องนี้อาจจะทำ ให้ผู้อ่านหลายคนเข้าใจผิดคิดถึงเรื่องของความขัดสนยากจน ถึงแม้เรื่องนี้จะขึ้นด้วยเรื่องของคนจน แต่ก็ลงท้ายด้วยความเป็นผู้มีทุกสิ่งทุกอย่าง โดยที่ไม่รู้ความหมายของคำว่า "ไม่มี" ถ้าลองติดตามอ่านดู ก็จะทราบว่าเขาคนนั้นทำอย่างไร ถึงได้เป็นผู้ที่มีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง
เรื่องมีอยู่ว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว มีครอบครัวของชายยากจนคนหนึ่งชื่อว่า "อันนภาระ" เขาอาศัยสุมนเศรษฐีอยู่โดยทำหน้าที่เป็นคนขนหญ้าเลี้ยงวัว เขาต้องตรากตรำทำงานหนักมาก วันหนึ่งอันนภาระได้ถวายบิณฑบาตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เฉพาะตัว โดยไม่ได้สั่งสอนผู้อื่นและอยู่เพียงลำพัง) นามว่า "อุปริฏฐะ" แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า "ด้วยทานอันบริสุทธิ์ที่ข้าพเจ้าทำด้วยจิตอันเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธานี้ คำว่าไม่มีอย่าได้เกิดแก่ข้าพเจ้าอีกเลยในทุกภพทุกชาติไป"
ด้วย อำนาจแห่งทาน ตั้งแต่นั้นในชาติต่อๆ มาเขาก็ได้เป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่งประจำพระนคร และได้สร้างบุญถวายแด่พระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก ตราบจนสิ้นชีวิต
มา ถึงสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "โคดม" อันนภาระก็ได้เกิดเป็นพระกุมารแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระนามว่า "เจ้าชายอนุรุทธะ" เป็นพระโอรสของพระเจ้าอาของศาสดา ในวัยเด็กถ้ามีการแข่งขันตีคลีกันจะมีกติกาว่า ใครแพ้จะต้องเป็นผู้เลี้ยงขนม เจ้าชายอนุรุทธะทรงมีฝีมือค่อนข้างแย่กว่าเพื่อนคนอื่นๆ พระมารดาจึงต้องส่งคนรับใช้ให้นำขนมมาเตรียมไว้ให้เสมอ คราวหนึ่งเจ้าชายอนุรุทธะทรงแพ้ตีคลีหลายครั้งจนขนมหมด พระมารดาจึงส่งข่าวมาว่า "ตอนนี้ ขนมไม่มีแล้ว"
เจ้าชายอนุรุทธะ ไม่เคยได้ยินคำว่า "ไม่มี" มาก่อนเลย จึงเข้าพระทัยว่าพระมารดาจะส่งขนมที่ชื่อว่า "ไม่มี" มาให้ จึงเร่งคนรับใช้ให้ไปเอามา ครั้นพระมารดาเห็นคนรับใช้กลับมารับขนมอีก จึงคิดว่านางปรนเปรอและตามใจลูกมากเกินไปจนไม่รู้จักคำว่าไม่มี พระมารดาจึงต้องสอนลูกรักให้รู้จักและได้เข้าใจว่า "ไม่มี" เสียที ดังนั้น พระนางจึงได้ส่งถาดเปล่าๆ ปิดคลุมด้วยถาดทองอีกใบหนึ่ง แล้วจะไปให้เจ้าชายอนุรุทธะ
ขณะนั้น เหล่าเทวดาทั้งหลายซึ่งรู้ว่าเจ้าชายอนุรุทธะเคยตั้งความปรารถนาเอาไว้ว่า "เราไม่พึงฟังคำว่าไม่มี" ต่าง ร้อนใจคิดว่าถ้าหากตนนิ่งเฉยเสีย ศีรษะของท่าน (เทวดา) จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จึงเนรมิตรขนมทิพย์เป็นจำนวนมากบรรจุลงในถาดทองคำที่คนรับใช้ถือไปถวายเจ้า ชายอนุรุทธะ เมื่อพระองค์เปิดฝาครอบออก กลิ่นขนมทิพย์หอมฟุ้งไปทั่วพระนคร ครั้นเสวยขนมทิพย์แล้วก็ติดใจในรสชาติและกลิ่นหอม คิดว่าเพราะเหตุใดพระมารดาจึงไม่เคยส่งขนมอร่อยๆ เหล่านี้ให้เสวยมาก่อนเลย หรือว่าเมื่อก่อนนี้จะไม่ทรงรักพระองค์
เจ้าชายอนุรุทธะคิดดัง นั้น จึงรีบกลับไปเฝ้ามารดา เพื่อทูลถามเรื่องขนมพร้อมทั้งตั้งเงื่อนไขว่า ต่อไปนี้จะเสวยแต่ขนม "ไม่มี" เท่านั้น พระมารดาไม่ทราบเรื่องมาก่อน จึงแปลกพระทัยมาก แต่เมื่อทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากคนรับใช้แล้วจึงคิดว่า ลูกของตนเป็นผู้มีบุญมากมาเกิดเป็นแน่แท้ เทวดาถึงได้เนรมิตรขนมทิพย์ให้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เวลาที่เจ้า ชายอนุรุทธะต้องการเสวยขนม "ไม่มี" พระมารดาจะทรงล้างถาดทองคำแล้วปิดด้วยถาดทองคำอีกใบหนึ่งแล้วส่งไปให้ โดยหวังว่า เทวดาทั้งหลายจะเนรมิตรขนม "ไม่มี" ให้ แล้งทุกๆ ครั้งก็เป็นเช่นนั้น
นายอันนภาระได้ให้ ทานด้วยจิตที่มีศรัทธาเต็มเปี่ยม วัตถุทานที่เขาใช้ก็หามาได้ด้วยความบริสุทธิ์ และผู้รับทานยังเป็นผู้ประเสริฐยิ่งในโลก เขาจึงสมหวังดังคำอธิฐาน จึงอยากให้ท่านทั้งหลายสมหวังมีทุกๆ อย่างบริบูรณ์อย่างนายอันนภาระหรือเจ้าชายอนุรุทธะด้วย
แต่ พรนี้จะสัมฤทธิผล ก็ต่อเมื่อ ท่านทั้งหลายตั้งปณิธานเหมือนที่นายอันนภาระตั้งใจทำบุญช่วยเหลือ และสงเคราะห์ตามความเหมาะสมกับฐานะ มีความเมตตา มีน้ำใจต่อกัน และพร้อมที่จะให้อภัยกันเสมอ ทุกคนก็มีสิทธิ์ทำได้กันทั้งนั้น แม้จะไม่มีเงินทองก็ใช้มิตรภาพ เพราะบางครั้งคุณค่าแห่งมิตรภาพมันยิ่งใหญ่กว่าเงินทองหรือสิ่งของมีค่าใดๆ เสียอีกที่มา dhammajak
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: กันยายน 01, 2012, 08:49:05 PM » |
|
สิ่งที่จิตระลึกถึงก่อยตายมี ๓ ชนิด คือ ๑. กรรม ภาพกรรมดีกรรมชั่วที่เคยทำในอดีตมักหวนกลับมาปรากฏให้เห็นทั้งๆ ที่เราลืมไปนานแล้ว เช่นใครเคยฆ่าคนตาย ภาพเหตุการณ์เกี่ยวกับฆาตกรรมจะกลับมาปรากฏในจิต ถ้าเคยช่วยชีวิตคนไว้ภาพตอนนั้นจะมาปรากฏ นี้แสดงว่านึกถึงกรรมหรือกระบวนการทำความดีหรือความชั่ว ดังพระบาลีว่าในสมัยนั้น กรรมทั้งหลายที่ตนทำไว้ก่อนนั้น ย่อมเกาะติดในจิตของบุคคลผู้ใกล้ตายนั้น
๒. กรรมนิมิตร บางคนเคยเห็นภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของการทำกรรม เช่นบางคนเห็นมีดที่ตนเคยใช้ฆ่าวัว บางคนนึกถึงภาพโบสถ์วิหารที่ตนเคยสร้าง เราระลึกถึงนิมิตของกรรมใด ก็จะไปเกิดใหม่ตามพลังของกรรมนั้น
๓. คตินิมิตร
บางคนไม่นึกถึงกรรมในอดีต แต่กลับนึกถึงภาพของที่ที่จะไปเกิดในชาติหน้านั้น คือเห็นคตินิมิต หมายถึงภาพเกี่ยวกับที่ที่จะไปเกิด เช่นใครที่จะไปเกิดในสวรรค์ คนนั้นจะนึกเห็นวิมาน ใครจะไปเกิดเป็นประเภทสัตว์กินหญ้า จะนึกเห็นทุ่งหญ้าเขียวขจี ภาพเหล่านี้เป็นนิมิตที่บอกล่วงหน้าว่าเราจะไปเกิดในภพภูมิใด คงเหมือนกับภาพที่บางคนฝันเห็นล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุการณ์จริงๆ (สุบิน)
รวมความว่าในวาระสุดท้ายของชีวิต จิตของเราระลึกถึงกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิตประเภทใด เราจะไปเกิดในภพภูมิอันสอดคล้องกับกรรม กรรมนิมิตหรือคตินิมิตประเภทนั้น ดังนั้นบางคนวางแผนลักไก่คือชั่วชีวิตเขาทำบาปมากกว่าบุญ เขาจึงกะจะนึกถึงกรรมดีนิดหน่อยนั้นก่อนตาย ถ้านึกถึงพระด้วยตนเองไม่ได้ ก็สั่งลูกช่วยเตือนความจำ คนเรามักจะเตือนคนใกล้ดับจิตให้นึกถึงพระเอาไว้ แต่ใครทำบาปไว้มากคงไม่อาจหลอกตัวเองก่อนตายได้ ดังมีเรื่องเล่าว่า เสี่ยคนหนึ่งเป็นพ่อค้าขายข้าวเปลือก ชอบโกงชาวบ้านด้วยวิธีตวงข้าวเปลือกไม่เต็มถัง พอเสี่ยคนนี้ใกล้ตาย ลูกสาวก็กระซิบให้เตี่ยนึกถึงพระด้วยการบริกรรมว่า สัมมา อะระหังๆ แต่เตี่ยบริกรรมตามว่า สัมมา กี่ถังๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2012, 12:00:28 PM » |
|
ศรัทธาความเชื่ออย่างพุทธมามกะ ฉันปฏิญาณว่า ฉันมีความเชื่ออย่างพุทธมามกะ ซึ่งอาจจะแตกต่าง จากความเชื่อของชนเหล่าอื่น ความเชื่อของพุทธมามกะ นั้นคือ
๑) พุทธมามกะ เชื่อโดยตรงต่อเหตุผล
และด้วยความเป็นผู้อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล ข้อนี้ย่อมทำให้ความเชื่อของฉันมี พอเหมาะพอสม ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และเคียงคู่กันไปกับปัญญา
พุทธมามกะ ถือกันเป็นแบบฉบับว่า การเชื่องมงาย เป็นสิ่งที่น่าอับอายอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจุดรวมแห่งความนับถือของพุทธมามกะนั้น เป็นผู้ที่รู้และดำเนินไปตามหลักแห่งการใช้เหตุผล จึงเป็นผู้กำจัดความงมงายของโลก
๒) พุทธมามกะ เชื่อว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ได้บ่มพระองค์เอง มาเป็นเวลาเพียงพอ จนสามารถลุถึงด้วยพระองค์เอง และทรงชี้ทางให้มนุษย์ มีความสะอาด ความสว่างและความสงบเย็น ได้จริง
เมื่อได้ พิจารณาดูประวัติแห่งคำสอน และการกระทำของพระองค์แล้ว คนทุกคน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่นับถือพระองค์ ก็ย่อมเห็นได้ทันทีว่า พระองค์เป็นผู้ที่สมบูรณ์ ด้วยความสะอาด ความสว่าง และความสงบถึงที่สุด จนสามารถสอนผู้อื่นในเรื่องนี้ ธรรมะ ที่พระองค์ได้ทรงบรรลุนั่นเอง ทำพระองค์ให้ได้นามว่า พระพุทธเจ้า
๓) พุทธมามกะ เชื่อว่า พระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุและนำมาสอนนั้น คือความจริงอันตายตัวของสิ่งทั้งปวง อันมีอำนาจที่จะบันดาลสิ่งทั้งปวงให้เป็นไปตามกฏนั้น และโดยเฉพาะที่มีค่าต่อมนุษย์มากที่สุด ก็คือ กฏความจริง ที่รู้แล้ว สามารถทำผู้นั้นให้ปฏิบัติถูกในสิ่งทั้งปวง และพ้นทุกข์สิ้นเชิง พระธรรมนี้มีอยู่สำหรับให้มนุษย์เรียนรู้และทำตามจนได้รับผลจากการกระทำ เป็นความพ้นทุกข์สิ้นเชิง ทั้งทางกาย และทางใจ
๔) พุทธมามกะ เชื่อว่า พระสงฆ์ คือบรรดามนุษย์ที่มีโชคดี มีโอกาสก่อนใครในการได้รู้ ได้ปฏิบัติ และได้รับผลของการปฏิบัติในพระธรรม ถึงขนาดที่พ้นจากทุกข์ยิ่งกว่าคนธรรมดา ด้วยความแนะนำของพระพุทธเจ้า
พระสงฆ์ จึงเป็น ผู้ที่ควรได้รับการนับถือ และถือเอาเป็นตัวอย่างและเป็นที่บำเพ็ญบุญของผู้ที่ประสงค์จะได้บุญ ใครๆ ก็อาจเป็นพระสงฆ์ที่แท้จริงได้ ไม่ว่า ชายหญิง บรรพชิต หรือฆราวาส เด็ก หรือผู้ใหญ่ มั่งมี หรือ ยากจน คนเป็นพระสงฆ์ได้ด้วยการประพฤติและการบรรลุธรรมที่มีอยู่ในตัวเขา ไม่ใช่เพราะการเข้าพิธี หรือ การเสกเป่า ต่างๆ
๕) พุทธมามกะ เชื่อว่า โลกนี้ไม่มีบุคคลใดสร้าง หรือ คอยบังคับให้เป็นไป
หากแต่เป็นสิ่งที่หมุนเวียนไปเอง ตามกฏของสังขารธรรม คือ กฏธรรมชาติ อันประจำอยู่ในส่วนต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลก มันเป็นกฏธรรมดา หากแต่ว่า มีบางสิ่งบางอย่าง ลึกลับซับซ้อน ประณีต และมหัศจรรย์พอที่จะทำให้คน บางพวกหลงไปว่า มีผู้วิเศษคนใดคนหนึ่ง เป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆ
เมื่อมนุษย์เรามีความรู้เท่าทัน ความเป็นไปของสิ่งเหล่านี้ได้มากเพียงใด ก็สามารถปรับปรุงตนเองให้ได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นหรืออยู่กันได้ด้วยความผาสุกมากเพียงนั้น ไม่ต้องมีคัมภีร์ ซึ่งอ้างว่าส่งมาจากสวรรค์ คงมีแต่คัมภีร์ ที่คนผู้เข้าถึงธรรมะแล้ว รู้เห็นได้อย่างไร ก็บอกไปอย่างนั้น จนผู้อื่นสามารถเข้าถึงธรรมะได้ อย่างเดียวกันก็พอแล้ว เราเรียกคนเหล่านั้นว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
๖) พุทธมามกะ เชื่อว่า มนุษย์แต่ละคนล้วนมีกรรม หรือการกระทำของตนเอง เป็นเครื่องอำนายความสุข และความทุกข์ แล้วแต่ว่าเขาได้ทำไว้อย่างไร
ในขณะที่แล้วมา ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง เป็นเครื่องปรุงแต่งตัวเอง บังคับความเป็นไปของตัวเองโดยเด็ดขาด จนกล่าวได้ว่าเรามีกรรมนั่นแหละเป็นตัวเราเอง ถ้าเขาอยากมีหรืออยากอยู่ในโลกที่งดงาม เขาก็ต้องทำกรรมดีโดยส่วนเดียว ถ้าเขาเบื่อต่อการเป็นอยู่ในโลกทุกๆ แบบ เขาก็มีวิธีทำให้จิตใจของเขาสูงพอที่จะไม่ทำอะไรๆ ให้เป็นกรรม อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมาได้ และอยู่เหนือกรรม โดยประการทั้งปวง ผู้ที่ทำกรรมชั่วไว้ จักต้องได้รับโทษ หรือมีการทำคืนที่สมควรแก่กันเสียก่อน จึงจะพ้นจากกรรมชั่วนั้น เว้นเสียแต่ เขาได้ทำกรรมดีไว้มากอีกทางหนึ่ง ถึงกับช่วยให้เขามีจิดใจสูง พ้นอำนาจของกรรมไปเสียก่อน ที่มันจะให้ผลได้
๗) พุทธมามกะ เชื่อว่า ตัวแท้ของศาสนานั้น คือ ตัวการกระทำที่ถูกต้องตามกฏแห่งความจริง จนได้รับผลของการกระทำเป็นความสะอาด ความสว่าง และความสงบจริงๆ หาใช่เป็นเพียงคัมภีร์ หรือคำสั่งสอน หรือการสวดร้องท่องบ่น วิงวอน บวงสรวงไม่
พุทธมามกะ มีศาสนาของตนๆ อยู่ที่ กาย วาจา ใจ อันสะอาดของตนเอง ความสะอาด ความสว่าง และ ความสงบ นี้ คือ ความหมาย อันแท้จริงของคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งที่แท้ ทั้งสามองค์ เป็นองค์เดียวกัน พุทธมามกะ จึงทำใจของตน ให้ปักดิ่ง ลงที่ความสะอาด ความสว่าง และความสงบ เท่านั้น ทั้งหมดนี้ คือ ความเชื่อ ๗ ประการ ของพุทธมามกะ
พุทธทาสภิกขุ ๒๖ สิงหาคม ๒๔๙๘ ที่มา buddhadasa.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2012, 12:01:52 PM » |
|
“อสทิสทาน” (ทานที่ไม่มีใครทำได้เหมือน) .......สมัยหนึ่ง พระศาสดาประทับอยู่ที่เชตวนาราม เมืองสาวัตถี พระเจ้า ปเสนทิโกศลทูลอาราธนาพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ แล้วถวายอาคันตุกทานอย่างประณีต ทรงประกาศให้ชาวนครมาดูทานของพระองค์
วันรุ่งขึ้น ชาวนครทูลอาราธนาพระศาสดาและภิกษุสงฆ์ไปเสวย และฉันอาหารของพวกตน แล้วทูลให้พระราชาเสด็จไปทอดพระเนตรทานของตน
พระราชาทอดพระเนตรเห็นทานอันมโหฬารของชาวนครแล้ว ทรงถวายทานอีก ทำให้ยิ่งกว่าที่ชาวนครทำ ชาวเมืองก็ไม่ยอมแพ้ รวมกำลังกันถวายทานให้ยิ่งกว่าที่ พระราชาถวาย
รวมความว่าทำบุญแข่งกัน
ในที่สุดพระราชาสู้ไม่ได้ เพราะประชาชนมีมากด้วยกัน จึงบรรทมเป็นทุกข์อยู่ พลางทรงดำริว่า ทำอย่างไรจึงจะถวายทานให้ชนะชาวนครได้ พระนางมัลลิกา อัครมเหสีเสด็จเข้าไปเฝ้า ทรงทราบถึงความโทมนัสของพระราชาแล้วทูลอาสาจะจัดทานถวายเอง และจะให้ชนะชาวนครให้ได้
พระนางขอให้พระราชารับสั่งให้คนจัดดังต่อไปนี้
ให้ทำมณฑปสำหรับภิกษุ 500 รูปภายในวงเวียนมณฑปนั้น ทำด้วยไม้สาละและไม้ขานาง ภิกษุที่เกินจำนวน 500 นั่งนอกวงเวียน ให้ทำเศวตฉัตร 500 คัน จัดหาช้าง 500 เชือก สำหรับถือเศวตฉัตรกั้นภิกษุ 500 รูปเหล่านั้น ขอให้ทำเรือทองคำ 8 ลำ หรือ 10 ลำไว้กลางมณฑป ให้เจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ นั่งบดของหอมอยู่ระหว่างภิกษุทุก ๆ 2 รูป (คือเจ้าหญิงองค์หนึ่งต่อภิกษุ 2 รูป) และเจ้าหญิงองค์หนึ่งๆ ยืนพัดภิกษุ 2 รูป เจ้าหญิงนอกนี้ มีหน้าที่นำของหอมที่บดแล้วมาใส่ในเรือ
ให้จัดเจ้าหญิงเป็นพวก ๆ บางพวกถือกำดอกบัวเขียวไปเคล้าของหอมที่ใส่ไว้ในเรือทองคำแล้วนำไปถวายภิกษุ ให้ภิกษุรับเอาไออบ
เรื่องที่จัดเจ้าหญิงให้มาร่วมในการถวายทานนี้ก็ด้วยทรงดำริว่า ชาวนครไม่มี เจ้าหญิงเป็นเครื่องประกอบในทาน เป็นอันได้ชนะชาวนครไปได้เรื่องหนึ่ง เศวตฉัตรของชาวนครก็ไม่มี ช้างจำนวนมากเช่นนั้นก็ไม่มี
พระราชารับสั่งให้ทำตามที่พระนางมัลลิกาทรงแนะนำ
ปัญหามาติดอยู่ที่เรื่องช้างคือช้างไม่พอ ความจริงพระราชามีช้างเป็นจำนวนพัน แต่ช้างที่เชื่องพอจะนำมาถือเศวตฉัตรได้มีเพียง 499 เชือก ขาดไปเชือกหนึ่ง นอกจาก 499 เชือกแล้วเป็นช้างดุร้ายทั้งนั้น
พระราชาทรงปรึกษาพระนางมัลลิกาเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระนางมัลลิกาถวายความเห็นว่า ขอให้เอาช้างเชือกที่ดุร้ายนั้นไปถือเศวตฉัตรให้พระคุณเจ้าองคุลิมาล
พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษทำเช่นนั้น เมื่อช้างที่ดุร้ายเข้าใกล้พระองคุลิมาล มันสอดหางเข้าไปในระหว่างขาของมัน ปรบหูทั้งสองยืนหลับตานิ่งอยู่
มหาชนต่างมองดูช้างดุที่ยืนหลับตาอยู่ใกล้พระเถระและชมว่า พระคุณเจ้า องคุลิมาลมีอานุภาพถึงปานนี้
พระราชาทรงอังคาส (เลี้ยง) ภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขด้วยอาหารอันประณีต และด้วยพระหฤทัยอันอิ่มเอิบ ถวายบังคมพระศาสดาแล้วทูลว่า "สิ่งทั้งปวงในโรงทานนี้ ทั้งที่เป็นกัปปิยภัณฑ์ (สิ่งที่สมควรแก่สมณะ) และอกัปปิยะภัณฑ์ (สิ่งที่ไม่สมควรแก่สมณะ) หม่อมฉันขอถวายพระองค์ทั้งสิ้น"
ในทานนี้ พระราชาทรงสละทรัพย์ 14 โกฏิหมดในวันเดียว ของ 4 อย่างคือ เศวตฉัตร 1 บัลลังก์สำหรับนั่ง 1 เชิงบาตร 1 ตั่งสำหรับเช็ดเท้า 1 ที่พระราชาถวายพระศาสดานั้นเป็นของสูงค่าจนไม่อาจคำนวณได้
ทานดังกล่าวมานี้ ไม่มีใครสามารถทำได้อีก (ในสมัยแห่งพระพุทธเจ้าองค์เดียว) เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกทานอย่างนี้ว่า อสทิสทาน คือทานที่ไม่มีใครทำได้เหมือน
ท่านกล่าว ว่า อทิสทานนี้มีแก่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่พระองค์ละครั้งเท่านั้น สตรีย่อมเป็นผู้จัดแจงทานนี้ เพื่อพระศาสดาและภิกษุสงฆ์
.......เมื่อพระราชาทรงบำเพ็ญอสิทิสทานอยู่นี้ มหาอำมาตย์คนหนึ่งชื่อ กาฬะ รู้สึกเสียดายพระราชทรัพย์เหลือประมาณเขาคิดว่า " นี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมแห่ง ราชตระกูล ทรัพย์ถึง 14 โกฏิ หมดในวันเดียว ภิกษุทั้งหลายบริโภคอาหารที่พระราชาถวายด้วยศรัทธาแล้วก็นอนหลับ มิได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ ราชตระกูลฉิบหายเสียแล้ว "
ส่วนอำมาตย์อีกคนหนึ่งชื่อ ชุณหะ คิดว่า " อา! ทานของพระราชายิ่งใหญ่ น่าเลื่อมใสจริง ทานอย่างนี้ผู้ที่ไม่เป็นราชาไม่อาจทำได้ พระราชาย่อมต้องทรงแบ่งส่วนบุญให้แก่สัตว์ทั้งหลาย เราขออนุโมทนาบุญนั้น "
เมื่อพระศาสดาเสวยเสร็จ พระราชาทรงรับบาตร เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา พระศาสดาทรงดำริว่า
"ทานของพระราชาครั้งนี้เป็นประดุจห้วงน้ำใหญ่ มหาชนมีจิตเลื่อมใสหรือไม่หนอ ทรงทราบวารจิต คือความคิดของอำมาตย์ทั้งสองแล้วทรงทราบว่า ถ้าจะทรงทำการอนุโมทนาให้สมควรแก่ทานของพระราชา ในครั้งนี้ ศีรษะของกาฬอำมาตย์จะต้องแตกเป็น 7 เสี่ยง ส่วนชุณหอำมาตย์จักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล"
ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ในกาฬอำมาตย์นั้น จึงตรัสพระคาถาเพียง 4 บาทเท่านั้น อนุโมทนาทานของพระราชาแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะเสด็จไปสู่วัดเชตวัน
ภิกษุทั้งหลายถามพระองคุลิมาลว่า "ไม่กลัวหรือที่ช้างดุร้ายอย่างนั้นยืนถือเศวตฉัตรให้"
พระองคุลิมาลตอบว่าไม่กลัว ภิกษุทั้งหลายจึงไปกราบทูลพระศาสดาว่า พระองคุลิมาลพยากรณ์อรหัตผล อวดตนว่าเป็นอรหันต์ ไม่กลัวช้างดุร้ายเห็นปานนั้น พระศาสดาตรัสรับรองว่า พระองคุลิมาลไม่กลัวจริง
ส่วนพระราชาปเสนทิ ทรงน้อยพระทัยว่า ได้ถวายทานอันมโหฬารปานนั้น แต่พระศาสดาทรงอนุโมทนาเพียง 4 บาท พระคาถาเท่านั้น น่าจะมีอะไรที่ไม่สมควรในทานอยู่บ้าง พระศาสดาคงจะทรงขุ่นเคืองพระทัยเป็นแน่แท้
พระราชารีบเสด็จไปสู่วิหารเชตวัน ทูลถามพระศาสดาในเรื่องนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า พระราชาได้ทรงกระทำชอบทุกอย่าง ทานนั้นได้นามว่า "อสทิสทาน" แต่ที่ทรงอนุโมทนาน้อย ก็เพราะหวังอนุเคราะห์กาฬอำมาตย์ ตรัสเล่าความคิดของอำมาตย์ทั้งสองให้พระราชาทรงทราบ
พระราชาทรงกริ้วกาฬอำมาตย์ตรัสว่า "เราให้ทานมากจริง แต่เราให้ของๆ เรา มิได้เบียดเบียนอะไรท่านเลยไฉนท่านจึงเดือดร้อนปานนั้น"
ดังนี้แล้วทรงเนรเทศกาฬอำมาตย์ออกจากแคว้น ตรัสเรียกชุณหอำมาตย์เข้าเฝ้า ตรัสถามว่า จริงหรือที่มีความคิดอนุโมทนาทานที่พระองค์ทรงกระทำแล้ว เมื่อ ชุณหอำมาตย์ทูลรับว่าจริง ทรงชอบใจและเลื่อมใสจึงทรงมอบราชสมบัติให้เขาครอง 7 วัน และให้ถวายทานได้ตามประสงค์ โดยทำนองที่พระองค์เคยทรงถวายมาแล้ว
พระราชาเสด็จไปสู่สำนักพระศาสดาอีกทูลว่า "พระองค์ทรงดูการกระทำของคนพาลเถิด เขาเหยียดหยามทานที่ข้าพระองค์ถวายแล้วถึงปานนี้ (ทรงหมายถึงกาฬอำมาตย์)"
พระศาสดาตรัสว่า
"คนตระหนี่ไปเทวโลกไม่ได้ คนพาลไม่สรรเสริญทาน ส่วนนักปราชญ์อนุโมทนาทานอยู่ จึงเป็นผู้มีความสุขในโลกหน้า เพราะการอนุโมทนานั้น"
ที่มา http://www.dhammajak.net/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2012, 12:03:01 PM » |
|
ขจัดสารพิษในจิตใจ ขจัดสารพิษในจิตใจ
เดี๋ยวนี้ผู้คน นิยมทำ ...ดีท็อกซ์... กัน ดีท็อกซ์เป็นภาษาอังกฤษแปลว่า ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย เช่น การสวนทวาร เดี๋ยวนี้คนนิยมมาก สวนทวารด้วยน้ำก็มี สวนด้วยกาแฟก็มี ไม่น่าเชื่อว่าจะแพร่หลายไปได้ คนที่มีการศึกษาใช้วิธีการนี้กันเยอะ บางคนเสียเงินเป็นหมื่นไปเข้าโปรแกรมดีท็อกซ์ มีการขจัดสารพิษวิธีหนึ่งที่เชื่อว่าได้ผลมาก ก็คือ การอดอาหาร เหตุผลก็คือ เมื่อร่างกายไม่มีอาหารเข้าไป ระบบย่อยอาหารก็ได้พักผ่อน เพราะไม่มีอะไรจะให้ย่อย ทีนี้ระบบย่อยอาหารก็จะเปลี่ยนหน้าที่ ไปทำการขับสารพิษที่สะสมในร่างกายออกมา มันสลับกัน ถ้ารับอาหารเข้าไป มันจะทำหน้าที่ย่อย ย่อยแล้วก็ดูดเอาสารอาหารไปเลี้ยงร่างกาย แต่พอไม่มีอาหารเข้ามามันจะทำหน้าที่ตรงข้าม คือ ขับเอาสารพิษออกจากร่างกาย
ใครที่ได้อดอาหารจะเห็นเลยว่า สารพิษมันออกมามากมาย บางทีออกมาทางลิ้น จนลิ้นเป็นฝ้า บางทีออกมาตามผิวหนัง จนส่งกลิ่นเหม็น หรือทำให้ผิวหนังเป็นปุ่มเหมือนกับเป็นสิว บางทีก็ออกมาทางอุจจาระปัสสาวะ คนที่อดอาหารล้างพิษจะเจอแบบนี้ การล้างพิษบางทีแค่ไม่ต้องกินอะไร ร่างกายก็จะทำงานของมันเอง
ถามว่านอกจากสารพิษในร่างกายและในสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีที่อื่นอีกไหม อาตมาว่ามีนะ นั่นก็คือ สารพิษในจิตใจ สารพิษในจิตใจก็น่ากลัวเหมือนกัน สารพิษในร่างกายมากับอาหาร สารพิษในจิตใจก็มาจากอาหารเหมือนกัน คือ อาหารใจ ซึ่งก็คือ ความคิดหรืออารมณ์นั่นแหละ อาหารที่เรากินถ้าย่อยไม่หมดจะกลายเป็นสารพิษ อันนี้เราคงรู้กันดี สารพิษเหล่านี้จะสะสมอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ในลำไส้ใหญ่ หรือในตับ ส่วนความคิดหรืออารมณ์ก็เช่นกัน ถ้าเราเสพเข้าไปแล้วไม่รู้จักขจัดออกไป มันก็หมักหมมนะ กลายเป็นสารพิษในจิตใจของเรา
ความโกรธ ความหงุดหงิด ความกังวล ถ้าเกิดขึ้นแล้วต่อมามันหายไป ใจกลับสงบ เจอแบบนี้อย่าเพิ่งคิดว่าจบแล้ว ส่วนใหญ่มันยังไม่จบหรอก อารมณ์เหล่านี้ทิ้งอนุสัยเอาไว้ อนุสัยเป็นเหมือนเศษหรือตะกอนอารมณ์ที่ตกค้าง โกรธก็ดี เกลียดก็ดี อิจฉาริษยาก็ดี โลภก็ดี พวกนี้มันทิ้งตะกอนอารมณ์เอาไว้ ถ้าสะสมมากๆ เราก็จะโกรธง่าย เกลียดง่าย อิจฉาง่าย โลภง่าย แต่ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่อนุสัยหรือตะกอนอารมณ์ตะกอนกิเลสอย่างเดียว เพราะว่าอารมณ์ที่เราเสพหรือรับเข้ามา ส่วนใหญ่เราไม่ปล่อยให้จบแค่นั้น แต่ยังไปปรุงต่อเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาว อันนี้แหละจะกลายเป็นสารพิษที่น่ากลัวมาก เหมือนกับเราไปเติมเชื้อเติมฟืนให้กองไฟ ไฟเลยไม่ยอมมอด กลับลามใหญ่เลย
ถ้ามอดเป็นเศษถ่าน เราก็เรียกว่า อนุสัย มันพร้อมที่จะช่วยให้ไฟลุกขึ้นใหม่ ยิ่งมีมากก็ยิ่งลุกง่าย แต่ว่าถ้าไม่ปล่อยให้มันมอด กลับไปเติมฟืนเติมเชื้อเข้าไปอีก กองไฟก็จะใหญ่ขึ้นๆๆและร้อนขึ้นๆๆ เหมือนไฟป่าอยู่ห่าง ๑๐ เมตรก็ยังรู้สึกร้อน ใครที่มีไฟโทสะเผาใจ แม้ลูกหลานที่อยู่รอบตัว ก็ยังรู้สึกร้อนตามไปด้วย นับประสาอะไรกับเราซึ่งมีไฟโทสะเผาลุกอยู่ในใจจะไม่ร้อนยิ่งกว่า ร้อนจนอยู่ไม่สุข กินไม่ได้นอนไม่หลับ อาจทำให้ป่วยเป็นโรคความดัน โรคหัวใจ โรคประสาท หรืออาจอยากไปทำร้ายคนอื่น อันนี้แหละอาตมาเรียกว่าสารพิษในจิตใจซึ่งอันตรายมาก
ถามว่าจะจัดการอย่างไร ประการแรกสุดก็คือ เสพให้น้อยลง เหมือนกับการจัดการกับสารพิษในร่างกาย บางวันเราต้องงดบ้าง อาทิตย์หนึ่งงดสักหนึ่งวัน หรืองดเป็นบางมื้อ ปีหนึ่งอาจงดสัก ๗ วัน ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักเลือกกินอาหาร อาหารขยะควรงดหรือไม่ก็กินให้น้อยลง พูดง่ายๆ คือ ต้องรู้จักลดและละบ้าง สารพิษในจิตใจก็เหมือนกัน จัดการได้ด้วยการเสพอารมณ์ให้น้อยหรืองดเสียบ้าง หมายความว่า ลดการออกไปเสพสิ่งเร้าจิตกระตุ้นใจให้น้อยลง ไม่ว่าแสง สี เสียง หรือสิ่งเสพ ก็ควรเพลาการบริโภคลงบ้าง ทุกวันนี้ผู้คนใช้เวลาไปกับการเสพสิ่งบริโภค ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจเยอะมาก อยู่ว่างๆ ก็ทนไม่ได้ ต้องออกไปเที่ยวห้างฯ ไปดูหนัง เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ หรือไม่ก็ไปร่วมวงซุบซิบนินทากับเพื่อน วันๆ หนึ่งจึงเสพอารมณ์เยอะเหลือเกิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขยะ คือ ไม่มีประโยชน์
นอกจากลดการออกไปเสพสิ่งเร้าแล้ว การออกไปรับรู้เรื่องราวที่รบกวนจิตใจ ที่กระตุ้นให้เกิดความกังวล โทสะ และโลภะ ก็ควรจะลดลง ควรใช้ตาดูหูฟังรับรู้สิ่งดี ๆ ที่ไม่กระตุ้นกิเลส พูดง่ายๆ คือ รู้จักเลือกรับสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่ปิดหูปิดตานะ ปิดหูปิดตาไม่ใช่วิธีการที่ดี เราต้องรู้จักใช้ตาดูหูฟังในสิ่งที่ดี อะไรที่กระตุ้นโลภะ โทสะ โมหะ หรือสร้างสารพิษในจิตใจ เช่น ภาพยนตร์หรือละครน้ำเน่า สื่อลามก หรือรายการทางวิทยุโทรทัศน์ที่กระตุ้นความโกรธเกลียด เราควรลดหรือเลิกเสพ เหมือนกับที่เราสอนลูกว่าอย่าไปกินขนมขยะนะ เพราะมันมีสารพิษ หรือไม่ก็กินให้น้อย ไม่เช่นนั้นร่างกายจะเจ็บป่วย
บางช่วงบางขณะก็ควรจะงดเสพงดรับสิ่งเหล่านี้ไปเลย เช่น มาอยู่วัด หรือหลีกเร้นมาอยู่ป่า เพื่อให้ใจว่างเว้นจากการเสพรับอารมณ์ต่างๆ บ้าง ใจจะได้พักผ่อนเต็มที่ ก็เหมือนกับที่เราควรอดอาหารบ้างอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อให้กระเพาะอาหารได้พักบ้าง พอใจได้พักแล้ว การจัดการกับตะกอนอารมณ์หรือสารพิษในจิตใจก็ทำได้ง่ายขึ้น
นอกจากการเลือกรับเลือกเสพ หรือการงดรับอารมณ์แล้ว เรายังควรเรียนรู้วิธีดึงจิตกู้ใจออกจากอารมณ์ด้วย นี่คือ การขจัดสารพิษออกไปจากใจ ช่วงนี้แหละที่ต้องอาศัยสติ ต้องอาศัยปัญญาเข้ามาจัดการ หลบมาอยู่ที่วิเวกไม่พอ ต้องฝึกสติให้มาทำหน้าที่ขจัดสารพิษออกไปจากจิตใจของเรา นอกจากจะไม่รับเพิ่มแล้ว ยังต้องเอาขจัดสิ่งที่สะสมอยู่ในใจออกไปด้วย อันนี้เป็นหน้าที่ของสติและปัญญาโดยตรง สติช่วยให้เรารู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น รู้แล้วก็ปล่อยวางได้ ไม่เก็บเอามาปรุงแต่งจนลุกลามใหญ่โต อารมณ์เหล่านี้หากสติเข้าไปรู้ทัน เมื่อมันหายไป มันจะไม่ทิ้งตะกอนหรืออนุสัยเอาไว้ ไม่เหมือนกับการห้ามความคิดหรือกดข่มอารมณ์ นอกจากมันจะไม่หายง่าย ๆ แล้ว มั นยังทิ้งตะกอนอารมณ์ที่พร้อมจะปะทุขึ้นใหม่ได้ง่ายขึ้น
ไม่ว่าสารพิษในสิ่งแวดล้อม สารพิษในร่างกาย สารพิษในจิตใจ ล้วนเป็นอันตรายทั้งนั้น เราจึงต้องรู้จักหาวิธีขจัดสารพิษออกไปจากสิ่งแวดล้อม ร่างกายและจิตใจให้ได้ สำหรับสารพิษอย่างหลัง จะขจัดได้ก็ต้องเริ่มจากการหมั่นมองตนอยู่เสมอ
สารโกมล พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ขจัดสารพิษในจิตใจ
พระไพศาล วิสาโล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2012, 07:57:44 PM » |
|
อานิสงส์ของการสวดมนต์ ๑๕ ข้อ การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจริงแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์คือผลความดี ดังนี้
๑. ทำให้มีสุขภาพดี การสวดมนต์ด้วยการออกเสียง ช่วยให้ปอดได้ทำงาน เลือดลมเดินสะดวก ร่างกายก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
๒. คลายความเครียด ในขณะสวดมนต์จิตจะจดจ่อกับบทสวด สมองจะปลอดโปร่ง ไม่คิดในเรื่องที่ทำให้เครียด จึงทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย
๓. เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระไตรรัตน์ บทสวดมนต์แต่ละบทเป็นการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เมื่อสวดมนต์ไปก็เท่ากับว่าได้เพิ่มพูนศรัทธาความเชื่อเลื่อมใสในพระรัตนตรัยให้มั่นคงยิ่งขึ้น
๔. ขันติบารมีย่อมเพิ่มพูน ขณะที่สวดมนต์ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงเพื่อเอาชนะความปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย รวมทั้งอารมณ์ฝ่ายต่ำที่จะเข้ามากระทบจิตใจทำให้เกิดความเกียจคร้าน ดังนั้น ยิ่งสวดบ่อยๆ ความอดทนก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น
๕. จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขณะที่สวดมนต์จิตจะจดจ่ออยู่กับบทสวดไม่วอกแวกวุ่นวายไปในที่อื่น จึงมีความสงบเกิดสมาธิมั่นคง สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส งดงาม แม้เพียงระยะเวลาน้อยนิด ก็เป็นบุญกุศลประมาณค่าไม่ได้
๖. เพิ่มพูนบุญบารมี ขณะที่สวดมนต์จิตใจจะสะอาด ปราศจากกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นต้น จึงเป็นบ่อเกิดแห่งบุญบารมี เมื่อสั่งสมมากเข้าก็จะเป็นทุนสนับสนุนให้บรรลุผลตามที่ต้องการได้
๗. จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา การแผ่เมตตาเป็นการมอบความรักความปรารถนาดีให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อลดละความเห็นแก่ตัว เป็นอุบายกำจัดความโกรธให้เบาบางลงไป พบแต่ความสุขสงบ
๘. เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต การสวดมนต์เป็นการทำความดีทั้งทางกายคือการสละเวลามาทำ ทางวาจาคือการกล่าวคำสวดที่ถูกต้อง และทางใจคือการตั้งใจทำด้วยความมั่นคง ย่อมเกิดสิริมงคลแก่ผู้สวดภาวนาทุกประการ
๙. เทวดาคุ้มครองรักษา ผู้ที่สวดมนต์เป็นประจำย่อมเป็นที่รักของเทวดา จะทำอะไรก็ตามหรือแม้แต่จะเดินทางไปที่ไหนๆ ก็ปลอดภัยจากอันตราย ประสบความสำเร็จเหมือนมีเทวดาให้พร
๑๐. สติมาปัญญาเกิด การสวดมนต์เป็นการสั่งสมคุณความดี ทำให้มีสติและมีจิตสำนึกที่ดีในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะถ้าสวดพร้อมกับคำแปลก็จะเกิดสติปัญญานำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตได้
๑๑. มีผิวพรรณผ่องใสจิตใจชื่นบาน การสวดมนต์ด้วยการเปล่งเสียงเป็นการกระตุ้นเซลล์ผิวหนัง จะทำให้มีผิวพรรณผ่องใสใจเป็นสุข เพราะขณะที่สวดมนต์จิตจะตั้งมั่นในบุญกุศล ไม่คิดไปในเรื่องอื่นที่ทำให้ใจเศร้าหมอง
๑๒. พิชิตใจผู้คนให้รักใคร่ การสวดมนต์เป็นประจำจะทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร ผู้ที่เป็นมิตรอยู่แล้วก็รักใคร่กลมเกลียวกันมากยิ่งขึ้น แม้คนที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันก็จะหันกลับมาคืนดีในที่สุด
๑๓. ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย การสวดมนต์เป็นประจำ จะทำให้รอดพ้นจากภัยอันตราย ในยามโชคร้ายประสบเคราะห์กรรมอันจะมีมาถึงตัว เพราะจะทำให้มีสติอยู่ตลอดเวลา
๑๔. สะเดาะกรรมทำให้ดวงดี การสวดมนต์เป็นการแก้เคราะห์สะเดาะกรรม ขจัดปัดเป่าเสนียดจัญไร ท่านกล่าวไว้ว่าชีวิตของคนเราจะดีหรือชั่วนั้นก็อยู่ที่การกระทำ ทำดีก็มีความสุข ทำชั่วก็กลั้วทุกข์ร้อนรนใจ การสวดมนต์จะช่วยให้สิ่งที่ร้ายกลายเป็นดี
๑๕. ครอบครัวเป็นสุขสดใส การสวดมนต์เป็นการสร้างความสุข และเกิดความสามัคคีในครอบครัว หากครอบครัวใดที่พ่อบ้านแม่เรือนสวดมนต์และสอนลูกหลานให้สวดมนต์เป็นประจำ จะมีความสงบสุข ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ส่งผลให้สังคมมีความสงบสุข
ขอบคุณ หนังสือสวดมนต์อานิสงส์ครอบจักรวาล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|