jainu
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: มกราคม 01, 2013, 07:36:03 PM » |
|
ให้มันรู้จักทุกข์ ให้มันรู้จักพิจารณาแต่ทุกข์ นิโรธะ โดย หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกองเพล ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู
การปฏิบัติอานาปานสติถ้าไม่ถูกกับจริต มีความอึดอัดใจ หายใจไม่สะดวก ไม่สบาย ถ้าถูก มันจึงสบาย หายใจเบาลง ปต่คนก็ชอบแต่ความสบาย ถ้าไม่สบายไม่ค่อยชอบ ถ้ามันสบาย มันก็หลงไปเสียกับความสบายละ ถ้าเปลี่ยนบ้างมันจึงจะดี เปลี่ยนคือความเจ็บป่วยนั้น มันเปลี่ยนบ้างมันจึงรู้ มันจึงตื่น หมายความว่าเปลี่ยนมันไม่เพลิน เวทนามัน ทรมานให้เขาปราบเอาบ้าง มันจึงดี เหมือนกันกับเด็กมันดื้อ มันคะนอง พ่อแม่ต้องเฆี่ยนเอาบ้าง มันจึงหายความคะนอง จิตของเรามันเป็นอย่างนั้น ถ้าอยู่ดี สบายแล้ว มันลืม ให้นั่งภาวนา เป็นสมาธิ ให้มันเป็นปัญญา คอยเตือนอย่าดื้อ อย่าคะนอง ให้กำหนดให้มันรู้ทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้มารู้จักทุกข์ ถ้ามันสบายแล้ว มันไม่รู้จักทุกข์ มันมัวแต่เพลินไปถ้ามันสบายแล้ว ให้มันไม่สบาย แล้วมันจึงกำหนดรู้จักทุกข์
พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า ให้มันรู้จักทุกข์ ให้มันรู้จักพิจารณาแต่ทุกข์ พิจารณาให้มันเห็นชัด มันอยู่ที่ใจแล้ว มันจึงจะค้นหาเหตุ ทุกข์เป็นผล แล้วความทะเยอทะยานนั้นเป็นต้นเหตุให้เกิดทุกข์ ค้นไปให้เห็นเหตุเกิดทุกข์ จะปล่อยวางความทะเยอทะยานความหลง อันสมุทัยนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สมุทัยสมมุติ สมมุติว่าผู้หญิง ผู้ชาย ว่าคน ว่าสัตว์ นั่นไปหลงสมมุติ พอใจเพราะความหลง สมุทัยก็มาจากความหลง พอมันขี้หลงเข้า หลงอยากเป็นอยากมี หลงสิ่งที่ไม่ชอบ รู้เหตุอันนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเหตุให้ท่องเที่ยวในสังสารวัฏจักร ไม่มีที่สิ้นสุด ให้ปล่อยวางอันนี้
ปล่อยวางคือไม่ยึดไม่ถือ รู้เท่ามัน เมื่อปล่อยวางแล้วนั่นแหละ จิตมันถึงจะสงบ จิตมันถึงจะมีความสุข ความสบาย จิตไม่ดิ้นรน จิตสงบนั่นแหละให้รู้ว่าจิตเราสงบ จิตเราไม่เพลิดเพลินกับอารมณ์ ดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม ไม่เพลิดเพลิน เฉย เป็นกลาง เรียกว่านิโรธะ ปล่อยวางอันนี้ ความทะเยอทะยานหรือสมุทัย วางอันนี้ได้ชื่อว่าปล่อยเหตุ วางเหตุแล้วจิตสงบ จิตเป็นกลาง
การค้น การพิจารณาเรื่องจิตนี้เรียกว่า มัคคปฏิปทา เรียกว่าข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราภาวนาบริกรรมอันใด มันสบายใจ บริกรรมแล้วก็ต้องพิจารณา สมถะ การบริกรรม วิปัสสนาเรียกว่ากำหนดพิจารณา เรื่องพิจารณาสังขารร่างกาย อันนี้เรียกว่าวิปัสสนา ทำไปพร้อม เมื่อบริกรรมไป บริกรรมไป พอจิตสงบสักหน่อย มันไม่ลงถึงที่ มันก็ต้องค้นคว้า ก็ค้นคว้าร่างกายของเรา ต้องพิจารณาสกนธ์กายของเรานี่แหละ
กรรมฐานทุกคนนั่นแหละ พวกพระ พวกเณร พวกญาติโยมนั่นก็เป็นกรรมฐาน กรรมฐานหมด มีอยู่หมดทุกรูปทุกนาม
พระพุทธเจ้าว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เรียกว่าปัญจกรรมฐาน กรรมฐานแท้ ให้พิจารณาอันนี้ ผมมันก็ตั้งอยู่บนศีรษะ พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ผมไม่ใช่คน เป็นแผนกหนึ่งต่างหาก ขนก็ไม่ใช่คน เรามาสำคัญว่าขนเรา เล็บเรา ผมเรา ฟันก็ไม่ใช่คน เป็นแผนกหนึ่งต่างหาก หนังก็ไม่ใช่คน หนังสำหรับห่อกระดูกไว้เท่านั้นแหละ อาการ ๓๒ นี่ พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา แยกออกเป็นสัดเป็นส่วน อะไรเป็นคน เป็นสัตว์ ไม่สำคัญว่าผู้หญิง ผู้ชาย ว่าเขา ว่าเรา สำคัญที่คนเห็นผิด อาการ ๓๒ นี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า เยื่อในสมองศีรษะ เป็นต้น หมู่นี้เป็นคนละอย่างๆ มันไม่ใช่คน พระพุทธเจ้าว่า มันไม่ใช่คนนะ
อีกอย่าง พระพุทธเจ้าว่า ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมรวมกัน เรียกว่ารูป รูปใหญ่ มหาภูตรูป สิ่งที่อาศัยธาตุ ๔ดิน น้ำ ลม ไฟ คือ เวทนา ความเสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ก็ดี สัญญา ความจำหมายโน่น หมายนี่ จำโน่น จำนี่ จิตเจตสิก คือ ความคิดความอ่าน ความปรุงขึ้นที่จิต คือวิญญาณสังขา ความรู้ทางอายตนะทั้ง ๖ อันนี้เราว่ารูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เรียกว่าขันธ์ ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ วิญญาณเป็นความรู้เท่านั้น รู้กันอยู่นี่แหละ ค้นไปค้นมาอยู่นั่น มองดูคนอยู่ไหน
สมถะคือการบริกรรม วิปัสสนาการค้นคว้า อาการ ๓๒ นี่แหละ ค้นไป ไม่ส่งจิตไปที่อื่น เวลาเราทำสมาธิ เราต้องตั้งใจว่า เวลานี้ เราจะทำหน้าที่ของเรา หน้าที่ของเราคือ จะกำหนดให้มีสติประจำใจ ไม่ให้มันออกไปสู่อารมณ์ภายนอก ให้มีสติประจำใจอยู่ ไม่ให้ไปภายนอก เดี๋ยวนี้ หน้าที่ของเราจะภาวนา จะทำหน้าที่ของเรา ไม่ต้องคิดการงานข้างนอก เมื่ออกแล้วจะทำอะไรก็ทำไป เวลาเราจะทำสมาธิ ทำความเพียรของเรา ต้องตั้งสัจจะลง ตั้งใจกำหนดอยู่ในสกนธ์กายนี้ กำหนดสติให้รู้กับใจ เอาใจรู้กับใจ ให้จิตอยู่กับจิต กำหนดจิตขึ้น ให้ทำให้มันพออาศัย ศรัทธา วิริยะ เหตุทำให้มากๆ อันนี้แหละก้อนธรรม
พระพุทธเจ้าว่า ก้อนธรรมอันนี้แหละ ก้อนธรรมหมดทั้งก้อน ธรรมไม่มีที่อื่น ไม่มีที่อยู่อื่น จำเพาะรูปใครรูปเราเท่านั้น เป็นธรรมหมดทั้งก้อน ก้อนธรรมอันนี้ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน พระพุทธเจ้าว่า ปัญจุปาทานักขันธา อนิจจา ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน มีความเกิดขึ้นตั้งขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีความแตกสลายไปในเบื้องปลาย ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ขันธ์อันนี้เป็นทุกข์ มีทุกข์บีบคั้นอยู่ มีแต่ทุกขเวทนานั่นแหละ ความสุขมีนิดเดียว ผู้ที่พิจารณาเห็นตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีสักหน่อยความสุขในโลกนี้
โลกคือสกนธ์โลกอันนี้ สกนธ์กายนี้ ปัญจุปาทานักขันธา อนัตตา ธรรมทั้งหลายสกนธ์กายอันนี้ ขันธ์ ๕ อันนี้ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน พระพุทธเจ้าว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลาย จะเป็นสังขตธรรม หรือ อสังขตธรรมก็ตาม ไม่มีความประเสริฐ ไม่มีความดี พิจารณาเห็นสกนธ์กายว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแล้ว อันนี้เรียกว่าผู้ถึงวิราคะ วิราโค เสฏโฐ เป็นธรรมอันประเสริฐ วิราคะคือความคลายกำหนัดจากอารมณ์ทั้งหลาย นี่เป็นธรรมอันประเสริฐ นั่นแหละ เมื่อถึงวิราคะ เรียกว่านิโรธ ทุกข์ดับ มีความเบื่อหน่าย เหนื่อยหน่ายในความเป็นอยู่ของอัตตภาพ นี่แหละเรียกว่าปล่อยวาง เห็นตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวางตัณหา ความทะเยอทะยาน ความอยาก ความใคร่ในทางกิเลสกาม ความอยากเป็น อยากมี ถึงขั้นนี้ก็กิจสำเร็จแล้ว
คัดลอกมาจาก :: หนังสืออนาลโยวาท พระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ขาว อนาลโย และประวัติความอาพาธ คณะศิษยานุศิษย์จัดพิมพ์ถวายโดยเสด็จพระราชกุศล ในการพระราชทานเพลิงศพ วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2013, 08:09:58 AM » |
|
หลงตัวเอง !พระอาจารย์ กล่าวว่า "คนวาดรูปมักจะเผลอวาดหน้าของตัวเองลงไปโดยไม่รู้ตัว คือความเป็นตัวกูของกูที่ฝังลึกอยู่ในใจ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เรียกว่ามีสติสมบูรณ์จริงๆ อย่างไรก็จะต้องเผลอติดหน้าตัวเองลงไป ทั้งๆ ที่ไม่ต้องดูหน้าตัวเองเป็นแบบ วาดไปเถอะ...จะหลุดหน้าตัวเองออกมาเอง
ผู้หญิงกับผู้ชายที่รักกันชอบกัน..แต่งงานกัน ที่เขาบอกว่าคนที่เป็นเนื้อคู่มักจะหน้าตาคล้า ๆ กัน..ไม่ใช่หรอก นั่นคือ การหลงตัวเอง เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบไม่รู้ตัว คือเห็นคนที่คล้ายตัวเอง ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังแสดงออกด้วยการหลงตัวเองอยู่
เห็นแล้วรักแล้วชอบ มั่นใจว่าเป็นเนื้อคู่..ที่ไหนได้ ที่แท้เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบ ฉะนั้น..เดี๋ยวหนูไปเจอคนหน้าเหมือนเมื่อไรก็ชอบเอง ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น"
สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ) ณ บ้านวิริยบารมี เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๖ - หน้า 3 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 25, 2013, 08:11:11 AM » |
|
"ศีล" ทำให้เป็นคนดีงามตราบเท่าชรา (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) สีลัง ยาวะ ชรา สาธุ ศีลทำให้เป็นคนดีงามตราบเท่าชรา ดังนี้
ผู้ไม่มีศีลได้ชื่อว่าเป็นผู้สกปรก ดังท่านแสดงไว้ในเรื่องโทษของศีลว่า ผู้ล่วงละเมิดในศีลข้อนั้นๆ นอกจากจะเป็นผู้สกปรก เดือดร้อนด้วยโทษนั้นๆ แล้ว
เมื่อตายไปแล้วจะต้องไปสู่ทุคติ มีนรกเป็นที่สุด เมื่อเสวยผลของกรรมนั้นพอควร แล้ว จึงจะพ้นจากนรกนั้นมาเกิดเป็นคนแล้วได้รับเศษกรรมนั้นอีก ดังนี้ ...
๑ .. โทษของการฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ .. จะเป็นผู้มีอายุสั้นพลันตาย เป็นคนขี้โรค ทรมาน รูปร่างก็น่าเกลียด ไม่มีใครเมตตาเอ็นดู
๒ ..โทษของการฉ้อโกง ลักขโมยของเขา .. จะเป็นคนจนทรัพย์อับปัญญาอนาถาหาที่ พึ่งมิได้ หาทรัพย์มาไว้ได้ ก็จะมีแต่คนมาฉ้อโกง ลักขโมยเอา และฉิบหายด้วยภัย ต่าง ๆ
๓ .. โทษของการประพฤติมิจฉาจาร .. เมื่อได้ลูกเมียมาจะได้แต่คนว่ายากสอนยาก ประพฤตินอกใจ ทำให้ชอกช้ำใจเป็นทุกข์มาก
๔ .. โทษของการกล่าวเท็จโกหกเป็นต้น .. เมื่อเกิดมาเป็นคนพูดจาสิ่งใดไม่มีคนเชื่อ ถ้อยฟังคำ มีแต่เขาจะมาหลอกลวงให้เสียทรัพย์ เสียดสีด่าว่าหยาบคายต่าง ๆ นานาเป็นต้น
๕ .. โทษของการดื่มสุราเมรัย .. จะเป็นคนบ้านใบ้เสียจริตผิดมนุษย์ อีกทั้งเป็นคนโง่เขลา เบาปัญญาไม่น่าคบ
นี่โทษของการไม่ตกแต่งฝึกฝนอบรม กาย วาจา ใจ ตามศีลธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้สกปรกเศร้าหมอง ทั้งที่เป็นมนุษย์และละโลกนี้ไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ จึงควรแต่งกาย วาจา ใจ ให้สะอาดเสียตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
เพราะถ้าไม่สะอาดแต่เมื่อยังอยู่ในโลกนี้ ตายไปแล้วก็จะเป็นผู้สกปรกไม่สะอาดใน โลกหน้าต่อไปอีก ดังแสดงมาแล้ว ..
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ขอบคุณบทความจาก dharma-gateway
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 07:54:50 PM » |
|
การเลี้ยงลูกต้องหัดลูกให้ลำบากให้มากที่สุด พระอาจารย์ กล่าวว่า "การเลี้ยงลูกต้องหัดลูกให้ลำบากให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าขาดเราแล้วลูกจะอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าลูกไม่ชอบใจหน่อยเดียวแม่ก็รีบหาที่เรียนใหม่ให้ อย่างนั้นลูกจะไม่มีภูมิต้านทานเลย ลูกจะไม่รู้ว่าโลกนี้โหดร้ายอย่างไร ขาดเราสักคนลูกก็ตายเปล่า ต้องให้เขาเจอแรงกดดันมากๆ ชนิดหัวหงอกตั้งแต่อายุยังไม่ ๒๐ แล้วจะแกร่งเอง..!
น่าจะเป็นนักร้องฝรั่งคนหนึ่ง มีคุณแม่ที่ฝึกลูกชนิดที่คนอื่นรู้คงหัวใจวายตาย ลูกอายุ ๔ ขวบแม่ทิ้งไว้ห่างบ้าน ๒ ไมล์ ให้หาทางกลับบ้านเอง แล้วทุกวันนี้เขาก็เป็นคนประเภทแข็งแกร่งสุดๆ เพราะคุณแม่ฝึกไว้ดี อายุ ๘ ขวบพาปีนยอดเขาที่ติดอันดับโลก จำไม่ได้ว่าเขาชื่ออะไร แต่จำได้ว่าตอนนี้เขาเป็นเจ้าของบริษัทที่เปิดกว้างมากๆ คนงานชอบทำงานด้วย เพราะแนวคิดของเขาก็คือ ถ้าคุณสามารถสร้างความเจริญให้บริษัทได้ คุณจะแหกคอกอย่างไรก็ทำไป
ไม่ห้ามลูกดื่มบรั่นดี แก้วใหญ่ๆ ไปเลยลูก เมาหัวทิ่มตื่นขึ้นมาปวดหัวแทบระเบิด นั่นแหละ..จำไว้ต่อไปอย่าดื่มเพราะจะเป็นอย่างนี้ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ดื่มอีกเลย โดนเองแล้วเข็ด เป็นคุณแม่ที่แสบไส้จริงๆ พูดง่ายๆ ว่าญาติพี่น้องไม่มีใครอยากฝากลูกให้เลี้ยง กลัวตัวเองหัวใจวายตาย..!
กลัวสะพานแขวนใช่ไหม แม่พาไปเอง จูงเดินไปถึงกลางทาง ปล่อยให้เดินเอง แล้วแม่ก็ไปเลย พอเด็กเจออย่างนั้นเข้าก็ต้องหายกลัวไปโดยปริยาย เห็นผู้ใหญ่ไปได้ก็ต้องไป"
สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ) ณ บ้านวิริยบารมี เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๖ - หน้า 6 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: มีนาคม 26, 2013, 08:39:22 AM » |
|
ความตาย...เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความตาย...เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ต้องเวียนเกิดเวียนตายตามบุญบาป เมื่อไรทราบธรรมแท้ไม่แปรผันไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายสบายครัน มีเท่านั้นใครหาพบจบกันเอยฯ(มันมีเท่านี้เอง โดย ท่านพุทธทาส อินฺทปญฺโญ)
ขออนุโมทนา เจริญในธรรมครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: เมษายน 11, 2013, 10:42:39 AM » |
|
กรรมที่ทำให้เกิดเป็นคนจน บุคคลบางคนในโลกนี้ จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม ย่อมไม่เป็นผู้ให้ข้าวน้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัย เครื่องตามประทีป แก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไปไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีโภคะน้อย
ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโภคะน้อยนี้ คือ ไม่ให้ข้าวน้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์ ฯ
จูฬกัมมวิภังคสูตร (๑๓๕)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2013, 10:40:52 AM » |
|
ระดับบารมีในเรื่องของการทำทาน พระอาจารย์ กล่าวว่า "คนที่ชวนทำบุญแล้วไปทันที นั่นบารมีเขาเต็มแล้ว จะสังเกตว่าหลายวัดโฆษกต้องป่าวประกาศ ชักชวนคนตั้งแต่เช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า พวกนี้หากินที่ วัดท่าขนุน ไม่ได้หรอก วัดท่าขนุนไม่ต้องเสียเวลาประกาศ ถึงเวลาโยมเขาวิ่งมาทำเอง แต่นั่นเขาพูดอานิสงส์จนน้ำลายแห้ง กว่าโยมจะยอมควักกระเป๋าทำบุญ
เพราะฉะนั้น เรื่องของทาน ถ้าเป็นบารมีต้นอย่างหยาบ ตัดใจทำทานไม่ได้ บารมีต้นอย่างกลาง นี่เป็นประเภทคิดแล้วคิดอีก นับแล้วนับอีก บางทีล้วงออกมาแล้วยังยัดกลับเข้าไป ต้องเป็นสามัญบารมีอย่างละเอียด ถึงจะทำทานได้ แต่รักษาศีลไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เรื่องของทานนี่เป็นบารมีต้น
บารมีต้นอย่างหยาบตัดใจทำทานไม่ได้หรอก ใจจะขาด แบบเดียวกับ พิราฬกเศรษฐี พิราฬกเศรษฐีจะทำบุญใช้ ๓ นิ้วหยิบ เขาเลยเรียก เศรษฐีตีนแมว เพราะถ้าหยิบเยอะกว่านี้จะขาดใจตาย ถ้าสามัญบารมีอย่างกลาง ก็ประเภททำบุญไปแล้วชักกลับครึ่งหนึ่ง ต้องสามัญบารมีอย่างละเอียดจึงสามารถทำทานได้เต็มกำลังใจตนเอง"
สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ) ณ บ้านวิริยบารมี เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
ที่มา : เก็บตกจากบ้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2013, 10:42:13 AM » |
|
กรรมที่ทำกับพ่อแม่ให้ผลทันตาจริงๆ พระอาจารย์ กล่าวว่า "อย่าไปคิดมีตัวเล็กๆ นะ ลูกคนอื่นน่ารักทุกคน พอเราเลี้ยงเองอยากจะบีบคอให้ตายวันละ ๓ รอบ ...(หัวเราะ)...
เด็กๆ เขามาตามบุญตามกรรมที่เนื่องกันมา คนไหนที่อาละวาดกับพ่อแม่ไว้มากก็จะได้รับคืนไปหลายเท่า เรื่องกรรมที่ทำกับพ่อแม่นี่เห็นทันตาจริงๆ เห็นมาแทบทุกคน ตอนเด็กๆ ตัวเองแสบแค่ไหน ถึงเวลาตัวเองเป็นพ่อเป็นแม่แล้วโดนแสบกว่านั้นอีก ถ้าใครรู้ตัวว่าสร้างวีรกรรมไว้มาก พยายามเลี่ยงห่างๆ อย่าไปมีลูกเชียว ได้คืนแน่นอน..!"
สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ) ณ บ้านวิริยบารมี เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ - หน้า 5 - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2013, 09:23:37 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2013, 12:38:01 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2013, 12:47:32 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: พฤษภาคม 17, 2013, 12:50:44 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2013, 09:48:18 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|