Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 15   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน  (อ่าน 18866 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #75 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2013, 01:00:15 PM »


พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo
 ความสุขไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ตรงนี้และเดี๋ยวนี้แล้ว เพียงแต่เปลี่ยนมุมมอง วางใจให้ถูก
 
เราก็จะพบความสุขได้เสมอ ความสุขไม่ได้เกิดจากทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ และอำนาจ
 
แต่อยู่ที่ว่าเรามีสติรู้ทันอารมณ์ของตน และมีปัญญารู้เท่าทันธรรมดาโลกหรือไม่
 
หากมองเป็น ไม่เพียงพบความสุขรอบตัวเท่านั้น หากยังสามารถสัมผัสความสุขที่มีอยู่กับตัวเราแล้วด้วย

 เมื่อใดก็ตามที่เราตระหนักว่าความสุขนั้นตามติดเราไปตลอด

ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ในสถานการณ์ใด มีอะไรมากระทบ เราก็สามารถพบความสุขได้เสมอ

 พระไพศาล วิสาโล
http://www.visalo.org/book/yooTukTeeMeeSook.html
 


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #76 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2013, 01:02:29 PM »


I Will Do for King
 วันนี้วันพระ...

“กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม
 ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน”

คำพยากรณ์แต่โบราณนานมานี้ น่าจะบอกว่ายุคมืดจะมาถึง คือยุคที่คนดีจะถูกเหยียบย่ำ คนชั่วจะได้รับยกย่อง ซึ่งต้องเป็นผลของกรรมที่ได้ทำกันมา ทั้งกรรมชั่ว และทั้งกรรมดี กรรมที่เอื้อมมือมาถึงแล้ว

 อย่างไรก็ตาม เราทุกคนพึงหลีกให้พ้นการเป็นมือแห่งกรรมชั่ว ที่จะเหยียบย่ำคนดี และหลีกให้พ้นจากการเป็นมือแห่งกรรมดี ที่จะยกย่องคนชั่ว เพราะจะเป็นการร่วมสร้างบ้านเมืองของตนให้สิ้นความงดงาม ที่จะเกิดจากกำลังใจของคนดี ที่จะเกิดจากกำลังความสามารถของคนดี

 บ้านเมืองจะเต็มไปด้วยความเลวร้าย ที่เกิดจากกำลังใจของคนชั่ว ที่จะเกิดจากกำลังความสามารถของคนชั่ว พึงรอบคอบในการดูให้รู้จริง ว่าใครดี ใครชั่ว รอบคอบในการฟังเสียงบอกเล่า จึงจะช่วยประเทศชาติให้สวัสดีได้ และช่วยตนให้พ้นบาปได้

 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
 แสงส่องใจ วันมหาจักรี-วันเถลิงศก ๖ เมษายน-๑๓ เมษายน ๒๕๔๙
ณ วัดญาณสังวราราม วรมหาวิหาร อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
 


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #77 เมื่อ: กันยายน 10, 2013, 08:54:51 PM »

ตายแล้ว จะไปไหน


ตายแล้ว จะไปไหน


อยากทราบไหมว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน

...ธรรมดาชีวิตมีอยู่ 2 ธรรมดา คือธรรมดาเกิดและธรรมดาตาย ธรรมดาชีวิตทั้งหลายย่อมมีตายและมีเกิด เมื่อมีเกิดแล้วก็ต้องมีธรรมดาตาย และเมื่อตายแล้วก็มีธรรมดาเกิด ชีวิตเกิดมาด้วยอำนาจของกรรมกระทำความดีไว้มากในอดีตและปัจจุบัน ...ก็ตายดีไปสู่สุคติ ...กระทำความชั่วไว้มากทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ตายเลวไปสู่ทุคติ

...พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนในเรื่องตายไว้มาก ...เฉพาะอย่างยิ่งในพระไตรปิฏกฉบับที่ 3 อันมีนามเรียกว่า พระอภิธรรมปิฏก เป็น ธรรมะอันยิ่งใหญ่ เป็นสัจธรรมอันละเอียดสุขุมมาก ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง ..พระพุทธองค์ตรัสสอนเราว่ามนุษย์ตายแล้วไปสู่ 5 ทาง ทั้งนี้สุดแต่ความประพฤติของมนุษย์แต่ละคน.. คือ..
....1. ไปสู่ยมโลก (อบายภูมิสมบัติ)
....2. กลับมาสู่มนุษยโลก (มนุษยภูมิสมบัติ)
....3. ไปสู่เทวโลก (เทวภูมิสมบัติ)
....4. ไปสู่พรหมโลก (พรหมภูมิสมบัติ)
....5. ไปสู่อุตตรโลก (นิพพานสมบัติ)

ผู้เขียนขอกล่าวอย่างย่อ พอเข้าใจอย่างง่ายๆ ดังนี้
1. ไปสู่ยมโลก
...มนุษย์ ที่มีความประพฤติเลว เป็นมนุษย์ไม่รักษาศีล ชอบประพฤติทุศีล กระทำทุจริตคดโกงธนาคาร ชอบการเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป ย่อมไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน, สัตว์เปรต, สัตว์นรก และสัตว์อสุรกาย ที่นิยมเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อบายภูมิ เมื่อใช้กรรมในอบายภูมิสิ้นสุดลงแล้ว ก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปอีก ตาม ..ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวเช่นนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อเพราะว่าผู้เขียนมีความเคารพในพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงกล่าวจากการตรัสรู้ในเรื่อง ทศพลญาณ มี 10 หัวข้อ ในข้อที่ 3 มีว่า สัพพัตถคามีนีปฏิปทาญาณ.. คือ มีญาณหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิต่างๆ ของสรรพสัตว์ อันเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า หรือวิสัยของพระอรหันต์... มนุษยวิสัยอย่างเราซึ่งยังมีกิเลส ไม่สามารถจะหยั่งรู้ได้ ผู้เขียนมีความเห็นว่า... วิญญาณาสัตว์เดรัจฉาน, สัตว์เปรต, สัตว์นรก และสัตว์อสุรกาย ที่จะกลับมาเกิดเป็นคนนั้น คงจะมาเกิดเป็นคนในจำพวก คนชั้นเลว กล่าว คือ เป็นคนจำพวกที่เป็นใบ้ เป็นบ้า หูหนวก ตาบอด มือด้วน เท้าด้วน พิกลพิการ ยากจนค่นแค้น ต้องขอทานเขากิน รูปร่างไม่สวยงาม ไม่น่าดู เป็นโรคเรื้อนพุพองทั้งตัว หรือบางคนมีรูปร่างคล้ายสัตว์ มีจิตใจอย่างสัตว์ เพราะว่าเพิ่งจะพ้นจากความเป็นสัตว์มาใหม่ๆ จึงชอบยื้อแย่งเขากินเยี่ยงสัตว์ หรือชอบยื้อแย่งเขาทางกามารมณ์เยี่ยงสัตว์ ...มีนิสัยชอบเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ มีจิตใจชอบคดโกง วิญญาณและเจตสิกได้นำเอาคุณสมบัติในอบายภูมิติดมาใช้ในขณะเกิดเป็นคน วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ถ้าวิญญาณมีลักษณะเลว นามรูปที่เกิดจากวิญญาณเลวก็มีรูปและนามไปในทางเลว

2. มาสู่มนุษยโลก
...มนุษย์ ที่มีความประพฤติดี เป็นมนุษย์ที่รักษาศีล มีความประพฤติเรียบร้อยไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป ย่อมจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปอีก
นายเอียน สตีเวนสัน นักค้นคว้าการระลึกชาติของประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลกได้กล่าวที่ห้องฝึกสมาธิของแผนกธรรมวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย... (มหาวิทยาลัย สงฆ์) ในราชูปถัมภ์แห่งวัดมหาธาตุ ได้เล่าเรื่องการตายแล้วเกิดของบุคคลต่างๆ ที่เขาได้ทำการสำรวจและค้นคว้าการระลึกชาติของมนุษย์จากหลายประเทศ โดยเขายืนยันว่าได้พบสถิติที่น่าพิจารณา ที่มนุษย์ตายแล้วได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันที ส่วนมากก็ระลึกชาติได้ ..มนุษย์ตายแล้วกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันทีโดยไม่ผ่านไปยังสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เปรต, สัตวอสุรกาย, สัตว์นรก, ทวย เทพในเทวโลก หรือทวยเทพพรหมโลกนั้น คงจะเนื่องจากภวังค์จิต หรือวิถีจิตของมนุษย์ที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในทันที มีวิถีจิตหรือภวังค์จิตที่ติดต่อกันในเวลากระชั้นชิดมาก ความจำยังสดใสอยู่ จึงสามารถระลึกชาติได้ ถ้าวิญญาณไปเกิดยังภพต่างๆ เป็นเวลานาน แล้วจึงมีโอกาสกลับมาเป็นมนุษย์อีก.. ไม่สามารถระลึกชาติได้ เพราะภวังค์จิตหรือวิถีจิตไม่ติดต่อกันอย่างใกล้ชิด จึงไม่สามารถจะระลึกชาติได้ แต่ถ้าเราสามารถปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากการเกิดได้ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเรียกว่า วิมุตติรส วิญญาณที่เป็นวิมุตติรสคงเป็น วิญญาณทิพย์ เช่นนี้ เราก็สามารถปฏิบัติตนให้มีอำนาจเหนือวิญญาณของเราได้ในชาติปัจจุบัน เราก็จะได้ อภิญญา คือ การหยั่งรู้การเกิดในชาติต่างๆ แต่หนหลังของเราได้ใน ทศพลญาณ ของพระพุทธองค์ (ข้อ Cool หรือ อภิญญา ของพระพุทธองค์ (ข้อ 4) ข้อความตรงกัน คือ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ญาณหยั่งรู้ชาติต่างๆ แต่หนหลัง
ตามที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า มนุษย์ประพฤติเรียบร้อย ไม่ประพฤติเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้แล้ว จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ต่อไปอีก การที่ทรงกล่าวไว้เช่นนี้ ผู้เขียนมีความเชื่อ 100 % ผู้ เขียนเคยมีประสบการณ์เล็กน้อยในการระลึกชาติได้บ้าง วิญญาณของมนุษย์พวกรักษาศีล ซึ่งจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในรูปใหม่และนามใหม่นี้ อาจจะต้องเกิดเป็นมนุษย์จำพวก มนุษย์ชั้นกลาง กล่าว คือ เป็นมนุษย์ที่มีฐานะปานกลางไม่ยากจน แต่คงไม่ร่ำรวยมาก พอกินพอใช้ ไม่มีความทุกข์ทรมานมากนัก รูปร่างเป็นมนุษย์ธรรมดา.. ไม่หูหนวก, ไม่ตาบอด, เป็น ใบ้ เป็นบ้าหรือพิกลพิการแต่อย่างใด มีลักษณะเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ มีจิตใจเต็มไปด้วยมนุษยธรรม ไม่ยื้อแย่งอาหาร หรือยื้อแย่งทางกามารมณ์อย่างสัตว์ เพราะมีวิญญาณที่มีเจตสิกที่มีคุณภาพสูงมาแต่เดิม จึงมีจิตที่ดีงามมีศีลธรรม มีความคิด ความจำได้หมายรู้ เห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ไม่มีนิสัยที่ชอบประพฤติเบียดเบียนใครว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน

3. ไปสู่เทวโลก
มนุษย์ ที่มีความประพฤติดี.. เป็นมนุษย์ที่รักษาศีล มีความประพฤติเรียบร้อยไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ มีความประพฤติเพียงนี้แล้ว แต่ก็ยังไม่พอใจ เขายังชอบประพฤติตนให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ เช่น การจัดสรรประโยชน์ต่างๆ ให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ เป็นต้น มนุษย์ใจบุญประเภทนี้ เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไปจะได้ไปเกิดในเทวโลกเป็นทวยเทพพวกหนึ่งที่ยัง บริโภคกาม เมื่อหมดบุญในสวรรค์ชั้นเทวโลกแล้วจะต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อความ ...ทุกข์ต่อไปอีก

ตามที่พระสมณโคดมทรงกล่าวเช่นนี้.. ผู้เขียนมีความเชื่อ 100 % เพราะ ว่าเคยปฏิบัติเข้าสู่สภาวะสัมผัสจิตละเอียดในบางครั้ง และเห็นว่าวิญญาณของทวยเทพจากสวรรค์ชั้นเทวโลกที่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ นั้น อาจจะได้เกิดเป็นมนุษย์จำพวก มนุษย์ชั้นดี กล่าว คือ เป็นมนุษย์ที่มีฐานะสูง มีความร่ำรวย มีร่างกายแข็งแรง เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่เจ็บไข้ มีมันสมองดี มีความอดทนดี มีปัญญาเฉียบแหลม รูปร่างสวยงาม เพราะว่าเพิ่งจะพ้นจากความเป็นเทวดามาใหม่ๆ มีจิตใจสวยงามเต็มเปี่ยมไปด้วยมนุษยธรรม ไม่มีความคิดที่จะเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ..มีความเมตตา กรุณา เห็นอกเห็นใจในความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ถ้ามนุษย์ชั้นดีเหล่านี้ได้พบธรรมะของพระพุทธองค์ และเข้าใจซาบซึ้งในธรรมะนั้น แล้วลงมือปฏิบัติธรรมตามแบบอย่างพระพุทธองค์แล้ว มนุษย์ชั้นดีก็จะได้รับรสดี คือ วิมุตติรส ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามแบบอย่างพระพุทธองค์

4. ไปสู่พรหมโลก
..มนุษย์ ที่นิยมปฏิบัติสมถกรรมฐาน (สมถะภาวนา) ..คือ การทำจิตเข้าสู่สมาธิโดยภาวนาฌาน ตามแบบโยคีหรือฤาษี เช่น อุททกดาบสรามบุตร อาฬารดาบส กาลามโคตร ..ผู้ที่เคยเป็นพระอาจารย์ของพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นพวกที่กำหนดสิ่งภายนอกกายเป็นอารมณ์ในการทำจิตเข้าสู่สมาธิ โดยอาศัยกรรมฐาน 40 อย่าง ..ในอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์การทำจิตเข้าสู่สมาธิ กรรมฐาน 40 อย่างนั้น คือว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน
กสิณ 10 อย่าง
อสุภ 10 อย่าง
อนุสสติ 10 อย่าง
พรหมวิหาร 4 อย่าง
อรูปธรรม 4 อย่าง
อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 อย่าง
จตุธาตุววัตถานะ 1 อย่าง
รวม 40 อย่าง

..เป็น มนุษย์ที่ชอบนั่งสมาธิโดยสมถะภาวนา จนสามารถเข้าฌานสมาบัติได้ เมื่อมนุษย์พวกนี้กายแตกละจากโลกนี้ไปในขณะที่มีอารมณ์อยู่ในฌานใด วิญญาณพร้อมด้วยเจตสิกก็จะลอยไปเกิดยังพรหมโลก ในชั้นต่างๆ กันของพรหมโลก จะอยู่พรหมโลกชั้นใดขึ้นอยู่กับชั้นต่างๆ ของฌาน ซึ่งพรหมโลกมีอยู่ 20 ชั้น เป็นอรูปพรหมมี 4 ชั้น เป็นรูปพรหม 16 ชั้น เป็นทวยเทพอีกพวกหนึ่งที่ไม่บริโภคกาม เมื่อหมดบุญในสวรรค์ชั้นพรหมแล้วก็จะต้องมาเกิดยัง..โลกมนุษย์เพื่อรับความทุกข์ต่อไปอีก

ตามที่พระตถาคตทรงกล่าวไว้เช่นนี้.. ผู้เขียนมีความเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะผู้เขียนมีความเคารพเลื่อมใสในการตรัสรู้ ทศพลญาณ ของพระพุทธองค์ ซึ่งมนุษย์ปุถุชนผู้มีกิเลสไม่สามารถหยั่งรู้ได้ ทศพลญาณ คือ
..1. มีญาณหยั่งรู้เหตุที่ควรเป็น และเหตุที่ไม่ควรเป็น (ฐานาฐานะญาณ)
..2. มีญาณหยั่งรู้ผลแห่งกรรมของสัตว์ (วิปากญาณ)
..3. มีญาณหยั่งรู้ทางไปสู่ภูมิต่างๆ ของสัตว์ (สัพพัตถคามีนีปฏิปทาญาณ)
..4. มีญาณหยั่งรู้คุณสมบัติของธาตุต่างๆ (นานาธาตุญาณ)
..5. มีญาณหยั่งรู้นิสสัยเลวของสัตว์ (นานาวิมุติญาณ)
..6. มีญาณหยั่งรู้ในอินทรีย์ห้าของสัตว์ (อินทริยปโรปริยัตตญาณ)
..7. มีญาณหยั่งรู้อาการของญาณ (ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ)
..8. มีญาณหยั่งรู้ชาติต่างๆ แต่หนหลัง (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ)
..9. มีญาณหยั่งรู้การตายและการเกิดของสัตว์ทั้งหลาย (จุตูปปาตญาณ)
..10. มีญาณหยั่งรู้วิธีทำให้ลิ้นอาสวะ (อาสวัคขยญาณ)

มนุษย์ ...ที่ชอบนั่งสมาธิโดยสมถะภาวนา ขณะตายจิตอยู่ในญาณใด วิญญาณพร้อมด้วยเจตสิกจะลอยไปเกิดยังพรหมโลกชั้นใด พระพุทธองค์ทรงหยั่งรู้ด้วย ..ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ (ทศพลญาณข้อ 7)
ผู้เขียนมีความเห็นว่า วิญญาณพร้อมด้วยเจตสิกของทวยเทพจากสวรรค์ชั้นพรหมโลกที่จะต้องกลับมาจุติยังโลกมนุษย์นั้นคงจะได้เกิดเป็นมนุษย์จำพวก มนุษย์ชั้นดีมาก กล่าว คือ เป็นมนุษย์จำพวกที่มีฐานะสูงมาก มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เช่น เกิดในตระกูลกษัตริย์ เกิดในตระกูลเศรษฐี และมหาเศรษฐี มีทรัพย์สินเงินทองอย่างมหาศาล เกิดมาได้เป็นหัวหน้าประเทศ มีโอกาสได้เป็นประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือได้เป็นหัวหน้าคณะศาสนา ได้รับความสุขในการดำรงชีวิตสูงกว่ามนุษย์จำพวกอื่น เกิดมามีมันสมองดีมาก มีความจำสูงมาก มีจิตใจสูง มีความเมตตากรุณาแก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์.. เป็นมนุษย์ที่มองเห็นความทุกข์ยากของบุคคลอื่นมากกว่าความทุกข์ยากของตนเอง ถ้ามนุษย์จำพวก มนุษย์ชั้นดีมาก เหล่า นี้ได้พบธรรมะของพระพุทธองค์ ก็คงจะซาบซึ้งในพระธรรมนั้นและเมื่อลงมือปฏิบัติธรรมของพุทธองค์แล้วมนุษย์ ชั้นดีมากก็จะได้พบรสแห่งความสันติอย่างรวดเร็ว กล่าวคือ ..จะได้พบ วิมุตติรส ของพระพุทธองค์อย่างเดียวกัน และในที่สุดก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบันของเขานั้น
รสของน้ำทะเลมีรสเดียวคือ รสเค็ม และรสพระธรรมของพระพุทธองค์ก็มีรสเดียวคือ วิมุตติรส น้ำในลำธาร, ในลำแม่น้ำ, ในลำคลอง, และน้ำฝน มีรสไม่เหมือนกัน เมื่อไหลลงสู่ทะเลรวมกันแล้วก็จะมีเพียงรสเดียว คือ รสเค็ม ฉัน ใดที่มนุษย์เข้าใจซาบซึ้งในพระธรรมของพระพุทธองค์ และได้ลงมือปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ชาติใด ..ภาษาใด วรรณะใด และวัยใด ย่อมจะได้พบรสพระธรรมอย่างเดียวกัน คือ วิมุตติรส ฉันใดก็ฉันนั้น
ข้อ เปรียบเทียบนี้ ...เป็นพระธรรมเทศนาของพระตถาคต ...มีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฏกซึ่งเป็นสูตรหนึ่งที่ว่าด้วยความน่าอัศจรรย์ของ พระธรรมวินัย

5. ไปสู่อุตตรโลก
มนุษย์ ที่นิยมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน... คือ การนำจิตเข้าสู่ความเห็นแจ้ง (ญาณทัศนะ) ตามแบบพระพุทธองค์ เป็นพวกกำหนดสิ่งภายในร่างกายเป็นอารมณ์ในการนำจิตเข้าสู่สมาธิโดยอาศัยโพธิ ปักขิยธรรม 7 หมวด... ในหมวดใดหมวดหนึ่งเป็นอารมณ์ในการทำจิตเข้าสู่สมาธิ) โพธิปักขิยธรรม 7 หมวด คือ..
1. สติปัฏฐานสี่
2. สัมมัปปธานสี่
3. อิทธิบาทสี่
4. อินทรีย์ห้า
5. พละห้า
6. โพชฌงค์เจ็ด
7. มรรคแปด

...เป็นมนุษย์ที่ชอบนั่งสมาธิและปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา... โดยที่กำหนดหมวดใดหมวดหนึ่งในโพธิปักขิยธรรม 7 หมวด นั้น เป็นอารมณ์ในการทำจิตเข้าสู่สมาธิจนสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ และได้บรรลุมรรคผลเข้าครองชีวิตพระอรหันต์ อริยบุคคลจำพวกพระอรหันต์นั้น เมื่อกายแตกละจากโลกนี้ไป ก็ไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นอะไรอีก ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีชาติหน้า สิ้นภพ, ...สิ้นทุกข์ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารอีกต่อไปชั่วนิรันดร ซึ่งชาวพุทธนิยมเรียกว่า ..ดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน ตามแบบอย่างพระพุทธองค์ ไม่ต้องกลับมาเกิดเพื่อรับความทุกข์อีก
...ตาม ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนให้ชาวพุทธไปสู่นิพพานนั้น ผู้เขียนมีความเชื่อเพราะมีความเห็นว่า อริยบุคคลที่บรรลุมรรคผล เข้าครองชีวิตพระอรหันต์นั้น เป็นมนุษย์จำพวก มนุษย์ชั้นดีเลิศ เป็น มนุษย์ที่หมดมลทินจากกิเลสทั้งปวงเป็นมนุษย์ที่มีปัญญาอันล้ำเลิศกว่ามนุษย์ ทั้งปวงเป็นมนุษย์ที่มิได้สร้างกรรมอันใดไว้ จึงไม่ต้องกลับมาเกิดเพื่อสนองกรรม ตามกฎแห่งกรรมของพระตถาคต

หมายเหตุ :-
ภาวนา แปลว่า การทำให้เกิดขึ้นในใจ
สมถะ แปลว่า ความสงบจิต (ฌาน)
วิปัสสนา แปลว่า ความเห็นแจ้ง (ญาณทัศนะ)
สมถะภาวนา แปลว่า การทำให้ความสงบจิตเกิดขึ้นในใจ
วิปัสสนาภาวนา แปลว่า การทำให้ความเห็นแจ้งเกิดขึ้นในใจ
(จากปทานุกรม)

ที่มา: สารชมรมศาสนาและการกุศล เรื่องที่ 8 ...อยากทราบไหมว่า ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #78 เมื่อ: กันยายน 19, 2013, 08:25:49 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #79 เมื่อ: กันยายน 19, 2013, 08:26:56 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #80 เมื่อ: กันยายน 19, 2013, 08:27:30 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #81 เมื่อ: กันยายน 19, 2013, 08:28:00 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #82 เมื่อ: กันยายน 19, 2013, 08:28:50 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #83 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2013, 11:49:54 AM »

วันพระ
 
 
 
วันพระ หรือ วันธรรมสวนะ หรือ วันอุโบสถ หมายถึง วันประชุมของพุทธศาสนิกชนเพื่อปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาในพระพุทธศาสนาประจำสัปดาห์ หรือที่เรียกกันทั่วไปอีกคำหนึ่งว่า "วันธรรมสวนะ" อันได้แก่วันถือศีลฟังธรรม (ธรรมสวนะ หมายถึง การฟังธรรม) โดยวันพระเป็นวันที่มีกำหนดตามปฏิทินจันทรคติ โดยมีเดือนละ 4 วัน ได้แก่ วันขึ้น 8 ค่ำ, วันขึ้น 15 ค่ำ (วันเพ็ญ), วันแรม 8 ค่ำ และวันแรม 15 ค่ำ (หากเดือนใดเป็นเดือนขาด ถือเอาวันแรม 14 ค่ำ)
 
วันพระนั้นเดิมเป็นธรรมเนียมของปริพาชกอัญญเดียรถีย์ (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) ที่จะประชุมกันแสดงธรรมทุก ๆ วัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ ซึ่งในสมัยต้นพุทธกาล พระพุทธเจ้ายังคงไม่ได้ทรงวางระเบียบในเรื่องนี้ไว้ ต่อมาพระเจ้าพิมพิสารได้เข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบทูลพระราชดำริของพระองค์ว่านักบวชศาสนาอื่นมีวันประชุมสนทนาเกี่ยวกับหลักธรรมคำสั่งสอนในศาสนาของเขา แต่ว่าพุทธศาสนายังไม่มี พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้มีการประชุมพระสงฆ์ในวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ และอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ประชุมสนทนาและแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวันดังกล่าว โดยตามพระไตรปิฎกเรียกวันพระว่า วันอุโบสถ (วัน 8 ค่ำ) หรือวันลงอุโบสถ (วัน 14 หรือ 15 ค่ำ) แล้วแต่กรณี
 
หลังจากนั้น พุทธศาสนิกชนจึงถือเอาวันดังกล่าวเป็นวันธรรมสวนะสืบมา โดยจะเป็นวันสำคัญที่พุทธศาสนิกชนจะไปประชุมกันฟังพระธรรมเทศนาจากพระสงฆ์ที่วัด ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่าได้มีประเพณีวันพระมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
 
วันพระในปัจจุบัน คงเหลือธรรมเนียมปฏิบัติอยู่แต่เฉพาะประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท เช่น ศรีลังกา, พม่า, ไทย, ลาว และเขมร (ในอดีตประเทศเหล่านี้ถือวันพระเป็นวันหยุดราชการ) โดยพุทธศาสนิกชนเถรวาทนับถือว่าวันนี้เป็นวันสำคัญที่จะถือโอกาสไปวัดเพื่อทำบุญถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์และฟังพระธรรมเทศนา สำหรับผู้ที่เคร่งครัดในพระพุทธศาสนาอาจถือศีลแปดหรือศีลอุโบสถในวันพระด้วย นอกจากนี้ชาวพุทธยังถือว่าวันพระไม่ควรทำบาปใด ๆ โดยเชื่อกันว่าการทำบาปหรือไม่ถือศีลห้าในวันพระถือว่าเป็นบาปมากกว่าในวันอื่น
 
ในประเทศไทย หลังจากวันพระได้ถูกยกเลิกไม่ให้เป็นวันหยุดราชการ ทำให้วันพระที่กำหนดวันตามปฏิทินจันทรคติส่วนใหญ่ไม่สอดคล้องกับปฏิทินที่ใช้กันอยู่ทั่วไป (เช่น วันพระไปตรงกับวันทำงานปกติ) ซึ่งคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญในปัจจุบันที่ทำให้พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยห่างจากการเข้าวัดเพื่อทำบุญในวันพระ
 
นอกจากนี้ ในประเทศไทยยังมีคำเรียกวันก่อนวันพระหนึ่งวันว่า วันโกน เพราะปกติในวันขึ้น 14 ค่ำปกติ ก่อนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เป็นธรรมเนียมของพระสงฆ์ในประเทศไทยที่จะโกนผมในวันนี้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #84 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2013, 11:53:48 AM »


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 12, 2013, 01:20:48 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #85 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2013, 01:09:27 PM »














บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #86 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2013, 07:37:51 AM »

ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า




ตายแล้วไปไหน

- โดย ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า

---------

ก่อนที่จะรู้ว่าตายแล้วไปไหน เราควรจะต้องเข้าใจว่าความตายคืออะไร หากจะ
 เปรียบกระแสชีวิตของสัตว์โลกเหมือนสายน้ำในนที ความตายก็เปรียบเสมือนจุดโค้ง ตอนที่สายน้ำเปลี่ยนทิศทาง สำหรับผู้บรรลุธรรมหรือพระอรหันต์ ความตายคือการสิ้นสุดลงอย่างแท้จริงของชีวิต เป็นการจบสิ้นการเวียนว่ายตายเกิด ส่วนปุถุชนอย่างเรา กระแสชีวิตจะมีสืบเนื่องกันไป ไม่มีวันสิ้นสุด ฉะนั้น ความตายจึงเท่ากับเป็นการยุติของกิจกรรมชีวิตในช่วงชีวิตหนึ่ง เพื่อจะตั้งต้นกิจกรรมชีวิตใหม่ในทันทีที่มีการเกิดใหม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ความตายคือจุดสุดท้ายของชีวิตนี้ และเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตต่อไปนั่นเอง โดยอาจเปรียบได้กับการที่พระอาทิตย์ตกและ ขึ้น ซึ่งแทบไม่มีช่วงของความมืดคั่นอยู่เลย และถ้าจะเปรียบกับหนังสือที่ว่าด้วยการอุบัติของสัตว์โลก ความตายก็เป็นตอนจบของบทหนึ่ง ในขณะที่บทต่อไปก็จะเริ่มต้นขึ้นใหม่ในทันทีทันใดนั้นเอง

 แม้ว่าเราจะหาอุปมาอุปมัยที่ตรงตัวจริงๆ มากล่าวไม่ได้ แต่เราก็อาจเปรียบกระแสแห่งชีวิตเป็นดั่งรถไฟที่วิ่งไปบนราง เมื่อกำลังจะถึงสถานีแห่งความตาย มันจะชะลอความเร็วลงชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็จะเร่งความเร็วให้เหมือนเดิมต่อไป โดยไม่มีการหยุดแม้เพียงชั่วขณะเดียว สำหรับผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ความตายหาใช่สถานีปลายทางไม่ แต่จะเป็นดังสถานีชุมทางที่มีรางรถไฟถึง ๓๑ สายมาบรรจบกัน เมื่อรถไฟวิ่งมาถึงชุมทางนี้ ก็จะเปลี่ยนราง แล้วออกวิ่งต่อไปด้วยความเร็วเช่นเดิม เชื้อเพลิงที่ทำให้รถไฟแล่นไปได้โดยไม่หยุดนี้ ได้แก่กระแสแห่งกรรม ซึ่งบุคคลแต่ละคนได้ประกอบไว้ในอดีตชาติทับถมกันมา ทำให้เกิดการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด
 
 การเปลี่ยนรางเดินของรถไฟนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ประดุจดังการที่น้ำแข็งละลายเป็นน้ำหรือน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง อันเป็นไปตามกฎธรรมชาติ การถ่ายเทจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่งก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติเช่นกัน รถไฟแห่งชีวิตไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนรางได้เอง แต่ยังสามารถกำหนดรางที่จะวิ่งต่อไปเองด้วย สำหรับรถไฟแห่งการเกิดนั้น สถานีแห่งความตายซึ่งเป็นชุมทางที่รถไฟจะต้องเปลี่ยนเส้นทางนี้มีความสำคัญยิ่ง ในขณะที่ชีวิตปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดลง และร่างกายกำลังจะถูกละทิ้งไปนั้น ชีวิตใหม่ก็ใกล้จะอุบัติขึ้น การเกิดจึงเป็นผลของความตาย หรืออีกนัยหนึ่ง ความตายเป็นสิ่งที่กำหนดการเกิดครั้งต่อไป ฉะนั้น ความตายจึงมิใช่เป็นเพียงความตาย หากแต่เป็นการเกิดด้วย ณ สถานีชุมทางนี้เองที่ชีวิตเปลี่ยนไปสู่ความตาย และความตายเปลี่ยนไปสู่การเกิด

 เราจึงควรระลึกว่า ทุกๆ ชีวิตเป็นการเตรียมตัวเพื่อที่จะตาย ถ้าเราฉลาดพอ ก็จะต้องพยายามดำเนินชีวิตในปัจจุบันให้ดีที่สุดเพื่อเตรียมตัวตายให้ดีที่สุด และการตายที่ดีที่สุดก็คือการที่ไม่กลับมาเกิดอีก ซึ่งได้แก่การตายของพระอรหันต์ อันเป็นการไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างแท้จริง เพราะไม่มีรางให้รถไฟวิ่งอีกต่อไปแล้ว เราจึงควรที่จะพยายามกำหนดการอุบัติขึ้นของชีวิตใหม่ให้ดีที่สุด เพื่อวันหนึ่งเราจะได้บรรลุถึงจุดหมายปลายทางที่แท้จริงเช่นนั้นบ้าง ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เราเป็นผู้กำหนดอนาคตของเรา เราเป็นผู้กำหนดความสุขและความทุกข์ ตลอดจนความ หลุดพ้นของเราเอง

 ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถจัดวางรางเพื่อรองรับรถไฟที่วิ่งมาอย่างเร็วได้ ? การที่จะตอบคำถามนี้ได้ เราต้องมีความเข้าใจในเรื่องของ "กรรม" เสียก่อน กรรมหรือการกระทำของเราเกิดจากเจตนาที่เป็นกุศลหรืออกุศล เจตนาที่บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ในใจของเราเป็นรากฐานของการกระทำ ไม่ว่าจะด้วยทางกาย วาจา หรือใจ โดยเริ่มจากการมีผัสสะ คือมีสิ่งมากระทบทวารใดทวารหนึ่งของเรา ทำให้เกิดวิญญาณหรือการรับรู้ขึ้น แล้วสัญญาจะเป็นผู้ประเมินผลของผัสสะนั้น จากนั้นเวทนาหรือความรู้สึกทางกายก็จะเกิดขึ้น ตามมาด้วยสังขารคือ สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำของเรา อันเกิดจากเจตนาซึ่งปรุงแต่งโต้ตอบต่อความรู้สึกทางกาย เจตนาในการกระทำนี้มีหลายแบบหลายชนิด เจตนาบางอย่างก็เปรียบเสมือนรอยขีดลงบนน้ำ บางอย่างก็เป็นดังรอยขีดบนพื้นทราย บางอย่างเป็นเสมือนรอยขีดบนหิน ถ้าเจตนาเป็นกุศล การกระทำก็จะเป็นกุศล ซึ่งจะยังให้เกิดผลที่เป็นกุศลด้วย หากเจตนาไม่บริสุทธิ์ การกระทำก็ย่อมจะเป็นไปในทางไม่ดี และก่อให้เกิดผลคือความทุกข์ความเดือดร้อน

 ทั้งนี้มิได้หมายความว่าสังขารหรือการปรุงแต่งทั้งหลายนี้จะมีผลให้เกิดชีวิตใหม่เสมอไป การกระทำบางอย่างอาจจะบางเบาเกินกว่าที่จะก่อผลใดๆ การกระทำบางอย่างอาจจะหนักหรือรุนแรงกว่านั้นเล็กน้อย ซึ่งจะส่งผลในปัจจุบันชาติโดยไม่ต้องรอถึงชาติหน้า กรรมบางชนิดก็ให้ ผลทั้งในปัจจุบัน และยืดเยื้อไปจนชาติหน้า แม้จะไม่ถึงกับเป็นแรงส่งที่ทำให้ไปเกิดใหม่ แต่ก็มีกรรมหลายชนิดที่เรียกว่า กรรมภพหรือสังขารภพ ซึ่งเป็นตัวนำให้ไปเกิด กรรมประเภทนี้เองที่เป็นสาเหตุให้มีกระบวนการเกิดใหม่ขึ้นมา โดยพลังแม่เหล็กในตัวของมันจะถูกดึงดูดให้เข้าไปร่วมกับกระแสสั่น สะเทือนของโลกภพที่มีคลื่นความถี่ขนาดเดียวกัน พลังความสั่นสะเทือนของภพทั้ง สองจะดึงดูดเข้าหากันและกัน อันเป็นไปตามกฎแห่งกรรม

 ในทันทีที่กรรมภพบังเกิดขึ้น รถไฟแห่งการอุบัติขึ้นก็จะถูกดึงดูดจากรางใดรางหนึ่งใน ๓๑ ราง ณ สถานีชุมทางดังกล่าว ราง ๓๑ รางนี้ก็คือภพทั้ง ๓๑ นั่นเอง ซึ่งประกอบไปด้วยกามภพ ๑๑ ภพ อันได้แก่ อบาย ๔ มนุษยโลก ๑ และกามาวจรสวรรค์อีก ๖ ภพของรูปพรหม ๑๖ (ซึ่งเป็นภพของพวกกายละเอียดผู้เข้าถึงรูปฌาน) และภพของอรูปพรหมอีก ๔ (ซึ่งเป็นภพที่มีแต่จิต ไม่มีรูป เป็นภพของผู้ถึงอรูปฌาน)
ในวาระสุดท้ายของชีวิต เมื่อกรรมภพหรือสังขารภพอุบัติขึ้น สังขารหรือกรรมนี้เองที่ทำให้เกิดชาติใหม่ โดยพลังกรรมนี้จะเชื่อมโยงเข้ากับพลังความสั่นสะเทือนของภพที่จะไปเกิด ในขณะที่ความตายมาถึงนั้น ภพทั้ง ๓๑ ภพจะเปิดออก สังขารหรือการปรุงแต่งในขณะนั้นจะเป็นผู้กำหนดว่า รถไฟจะแล่นไปตามรางไหนต่อไป โดยพลังแห่งกรรมจะผลักดันวิญญาณให้เข้าไปสู่กระแสชีวิตใหม่ ตัวอย่างเช่น ถ้าหากก่อนตาย มีความโกรธหรือความมุ่งร้ายต่างๆ ซึ่งเป็นลักษณะที่รุ่มร้อน กระวนกระวาย กระแสกรรมก็จะถูกดึงดูดให้เข้าไปอยู่ในอบายภูมิ ทำนองเดียวกัน บุคคลที่มีความเมตตาเป็นอุปนิสัย ก็จะมีพลังสั่นสะเทือนของพรหมโลก เป็นต้น นี่เป็นกฎ ธรรมชาติ และกฎเหล่านี้จะจัดตัวเองอย่างมีระเบียบโดยไม่ผิดพลาดเลย ฉะนั้น เราจึงต้องเข้าใจว่ารถไฟดังกล่าวไม่มีผู้โดยสาร แต่แล่นไปด้วยพลังของสังขาร คือกรรม หรือการปรุงแต่งที่สะสมไว้

 ในขณะที่ความตายมาถึง กรรมที่แรงมักปรากฏขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นกุศลหรืออกุศลกรรมก็ได้ ตัวอย่างเช่น หากบุคคลใดเคยฆ่าบิดามารดาหรือผู้ทรงศีลมาแล้ว ความจำเกี่ยวกับการกระทำดังกล่าวจะมาปรากฏขึ้นอีกเมื่อใกล้สิ้นใจ ในทำนองเดียวกัน สำหรับผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนาอยู่เสมอ จิตสุดท้ายจะสงบเยือกเย็นเช่นเดียวกับในขณะที่เคยปฏิบัติวิปัสสนา
 หากไม่มีกรรมภพที่หนักหน่วงรุนแรงปรากฏขึ้น ก็จะเกิดกรรมภพอย่างอื่น ความจำใดๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นจะปรากฏออกมา ตัวอย่างเช่น บางคนอาจจะนึกได้ถึงกรรมดีที่เคยถวายอาหารพระ หรือบางคนอาจนึกได้ว่าเคยฆ่าคน ความจำเกี่ยวกับพฤติกรรมในอดีตจะปรากฏขึ้นเสมอ บางคนอาจจะมองเห็นอาหารเต็มจานที่เคยใส่ บาตร บางคนจะเห็นปืนที่ตนเคยใช้สังหาร

 ผู้อื่น สิ่งเหล่านี้คือกรรมนิมิต
 บางครั้งก็อาจมีนิมิตของชีวิตที่กำลังจะอุบัติขึ้นในอนาคต หรือที่เรียกว่าคตินิมิต (เครื่องหมายแสดงที่ไปเกิด) นิมิตเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวโยงกับโลกภพ ซึ่งมีกระแสดึงดูดให้ไปเกิด เช่น อาจมีนิมิตเห็นสวรรค์ หรือเดรัจฉานภพก็ได้ บุคคลที่กำลังจะตาย มักมีนิมิตเหล่านี้เหมือนเป็นการเตือนล่วงหน้า ทำนองเดียวกับรถไฟ ซึ่งจะมีไฟส่องให้เห็นทางอยู่ที่หัวรถ พลังสั่นสะเทือนของนิมิตดังกล่าว ย่อมจะเชื่อมโยงเข้ากับพลังสั่นสะเทือนของโลกภพที่ชีวิตใหม่กำลังจะอุบัติขึ้น

 นักวิปัสสนาที่ดีย่อมสามารถหลบหลีกรางรถไฟที่จะพาไปสู่ภพภูมิที่ต่ำกว่า ฉะนั้น เราจึงจะต้องเข้าใจกฎธรรมชาตินี้ให้ดี และหมั่นปฏิบัติเพื่อเตรียมตัวเผชิญกับความตายอยู่ตลอดเวลา ยิ่งผู้สูงอายุยิ่งมีเหตุผลทุกประการที่จะต้องมีสติอยู่ทุกขณะ ถ้าเช่นนั้น เราจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ? เราจะต้องปฏิบัติวิปัสสนา ฝึกความมีอุเบกขา ไม่ว่าจะมีความรู้สึกทางกายอะไรเกิดขึ้น ก็ต้องไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ มีเพียงการปฏิบัติเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถขจัดนิสัยเก่าๆ เปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจที่เคยแต่จะก่อให้เกิดสังขารใหม่ๆ พัฒนาไปเป็นการรักษาใจให้เป็นอุเบกขาอยู่เสมอ

 ขณะใกล้ตาย คนส่วนมากจะมีความรู้สึกที่ไม่สบาย ความชรา โรคภัย และความตายเป็นทุกข์ ก่อให้เกิดความรู้สึกที่รุนแรง ถ้าบุคคลใดไม่เคยฝึกให้รู้จักสังเกตเวทนา หรือความรู้สึกทางกาย และฝึกทำใจให้เป็นอุเบกขาแล้ว ก็อาจจะมีความรู้สึกขุ่นเคือง โกรธแค้น หรือพยาบาทมาดร้าย อันเป็นโอกาสให้สังขารภพที่มีกระแสดึงดูดชนิดเดียวกันเกิดขึ้นได้ ส่วนผู้ที่เคยฝึกปฏิบัติ วิปัสสนาจะสามารถเผชิญกับความรู้สึกที่ปวดร้าวรุนแรง โดยการวางใจให้มีอุเบกขา เมื่อใกล้ตาย จนแม้แต่สังขารภพที่ฝังแฝงอยู่ภายในจิตไร้สำนึกก็ไม่อาจครอบงำได้ สำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไปนั้นมักจะกลัวความตายอย่างที่สุด ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้สังขารภพแห่งความกลัวปรากฏขึ้นมา ความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจที่ต้องพลัดพรากจากบุคคลที่ตนรักจะประดังกันขึ้นมา สังขารภพที่สะสมไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ ก็จะผุดโผล่ขึ้นมาครอบงำจิตใจ ในขณะที่นักวิปัสสนาจะสามารถจับความรู้สึกเหล่านั้นได้ แล้ววางใจให้เป็นอุเบกขา ทำให้สังขารทั้งหลายไม่มีโอกาสรบกวนจิตใจเมื่อใกล้ตาย ฉะนั้น เราจะเตรียมตัวตายได้ก็ด้วยการพยายามเจริญนิสัยให้รู้จัก สังเกตความรู้สึก(เวทนา) ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย และฝึกวางใจให้เป็นอุเบกขา โดยมีความเข้าใจในอนิจจังอย่างแท้จริง

 ในขณะที่ใกล้สิ้นใจ จิตที่ได้รับการฝึกให้มีอุเบกขาอย่างมั่นคงแล้ว จะปล่อยวางได้โดยอัตโนมัติ รถไฟแห่งการอุบัติขึ้นก็จะแล่นเข้าสู่รางที่จะอำนวยโอกาสให้บุคคลนั้นได้ปฏิบัติวิปัสสนาสืบต่อไปในชีวิตใหม่ ทำให้ปลอดภัยจากการต้องไปเกิดในภพที่ต่ำกว่า ข้อนี้สำคัญมาก เพราะในอบายภูมิหรือภพที่ต่ำลงไปนั้น เราจะไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติวิปัสสนาเลย
 นักวิปัสสนาที่มีญาติมิตรนั่งปฏิบัติอยู่ด้วยใกล้ๆ ในยามที่ใกล้จะตายนั้น นับว่าโชคดี เพราะจะได้รับพลังสั่นสะเทือนของเมตตา อันจะช่วยให้ตายไปด้วยความสงบสุข ท่ามกลางบรรยากาศแห่งธรรมะที่ปราศจากความเศร้าโศกคร่ำครวญ

 สำหรับผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติวิปัสสนานั้น บางครั้งก็อาจจะได้ประสบกับชีวิตใหม่ที่น่าพอใจจากผลของกรรมดีที่ได้กระทำมา เช่น ความที่เป็นผู้มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีศีล ธรรม มีคุณธรรม แต่นักวิปัสสนาที่ปฏิบัติอย่างมั่นคงแล้วจะได้รับผลพิเศษกว่านั้น เพราะจะมีโอกาสได้ปฏิบัติวิปัสสนาอีกในชาติต่อไป อันจะทำให้การเวียนว่ายในสังสารวัฏของเขาสั้นลง และทำให้สามารถบรรลุถึงจุดหมายปลายทางได้เร็วขึ้น

 การที่เราได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมะในชาตินี้นั้น เป็นเพราะผลของกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีตชาติ ฉะนั้น เราจึงต้องทำชีวิตปัจจุบันให้สมบูรณ์ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนา เพื่อว่าเมื่อความตายมาเยือน เราจะได้สามารถเผชิญหน้ากับมันด้วยจิตที่เป็นอุเบกขา อันจะนำมาซึ่งความสุขใน ชีวิตภายหน้าต่อไป



photo from: Supasiri C.


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #87 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2013, 07:41:25 PM »








บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #88 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2013, 07:43:15 PM »



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #89 เมื่อ: ตุลาคม 27, 2013, 07:54:10 PM »




















บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 15   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: