Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 15   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ขออานิสงฆ์ บังเกิดแก่ผู้อ่าน  (อ่าน 18884 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #90 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2013, 08:55:34 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #91 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2013, 08:56:35 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #92 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2013, 05:29:45 PM »



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #93 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2013, 05:31:21 PM »



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #94 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2013, 09:11:35 PM »







บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #95 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2013, 09:12:01 PM »


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #96 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2013, 09:13:32 PM »


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #97 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2013, 10:18:35 PM »

การเกิดดับที่สัมผัสได้





ก า ร เ กิ ด ดั บ ที่ สั ม ผั ส ไ ด้
พระพุทธยานันทภิกขุ (หลวงพ่อดิเรก พุทธยานันโท)
วัดป่าพุทธยานันทาราม : ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา

ดังที่ได้กล่าวมาแต่แรกแล้วว่า ความคิดมี ๒ กระแส

คือ กระแสเกิดกับกระแสดับ “กระแสเกิด” เรียกว่า “กระแสสมุทัยจิต”
คือความคิดที่ขาดสัมมาปัญญาเข้าไปรู้ทัน
มันก็พัฒนาตัวเป็นความอยาก เรียกว่า “สมุทัยสัจจ์”

ส่วนความคิดที่มีสัมมสติ เข้าไปรู้ เรียกว่า “นิโรธสัจจ์”
คือ เป็นความความคิดที่มีสติแล้วกำหนดรู้
จะเปลี่ยนเป็นสัมมาปัญญาทันที

ปัญญาตัวนี้มันจะช่วยจิตให้คิดเฉพาะเรื่อง
และคิดแต่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้น

เช่น นั่งตรงนี้ รู้สึกปวดหนักปวดเบา
มันก็จะคิดว่าห้องน้ำมันอยู่ตรงไหน
กำหนดรู้แล้วลุกไปอย่างรู้ตัว
แล้วก็จบ มันก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ
เพียงแต่ประคองสัมปชัญญะให้รู้ตัวทั่วพร้อม
ขณะที่เดินไปหาเป้าหมายเท่านั้น

ฉะนั้นความคิดที่เป็นกระแสดับ
จึงเป็นความคิดที่ประกอบด้วยสัมมาปัญญา
เป็นความคิดที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ทำแล้วจบมันไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น หมดหน้าที่แค่นั้น
นี้เรียกว่าความคิดที่เป็นกระแสดับ คือดับ “สังขารจิต”
ปัญญาญาณจะเข้าไปแทนที่ความคิด

ผู้ปฏิบัติต้องฝึกฝนอาการรู้ชนิดนี้ให้ชำนิชำนาญจนเป็นวสี
จิตก็จะสัมผัสปรมัตถ์ถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเกิด “มัคคสมังคี”
คือการรวมลงของกระแสรู้ และประจักษ์แจ้งการเกิดดับของจิตในที่สุด
ตรงนี้ผู้ปฏิบัติต้องไปทำให้ถูก จำไปคิดคำนวณเอาไม่ได้เด็ดขาด

จิตที่สัมผัสการเกิดดับความความเป็นจริงแล้ว
จะทำหน้าที่ที่คอยตอบสนองต่อความต้องการที่เป็นจริงที่เกิดขึ้นในเวลานั้นๆ

เราเรียกความรู้ชนิดนี้ว่า “ปัญญาญาณ” หรือ “วิปัสสนาญาณ”
หรือจะเรียกว่า “ยถาภูตญาณ” ก็ได้
เป็นความรู้ที่เกิดจากการเจริญสติปัฏฐานสี่ที่ถูกต้องเท่านั้น
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #98 เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2013, 10:22:17 PM »

จิตที่ติดสุข


เหตุแห่งการเกิดของมนุษย์เรานั้นประกอบไปด้วยกรรมดีที่เรียกว่า “ บุญ” และกรรมชั่วที่เรียกว่า “บาป” กรรมทั้งสองประเภทนี้ล้วนส่งผลที่ได้รับแตกต่างกัน โดยกรรมดีหรือบุญจะส่งผลในด้านบวกต่อจิตใจ คือ ความสุข ความสบาย ความร่ำรวย ความพึงพอใจ ส่วนกรรมชั่ว หรือบาปย่อมส่งผลในทางกลับกัน คือ ความทุกข์ ความไม่สบายใจ ความยากจน ความลำบากขัดสน แต่สุดท้ายแล้วกรรมทั้งสองประเภทนี้ก็สามารถเป็นเหตุปัจจัยในการเกิดได้เท่าๆกัน

มีผู้ปฏิบัติเคยตังคำถามกับผมว่า “ หากมั่นใจในชาตินี้เขาไม่ได้กระทำกรรมชั่วเพิ่มเติมและหมั่นทำบุญสร้างกุศลไม่ได้ขาด เพื่อที่ชาติหน้าเขาจะได้เกิดมาเสวยสุข ความเข้าใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือไม่”

ความเข้าใจข้อนี้ถูกต้องในแง่ที่ว่าการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ย่อมต้องได้รับอานิสงส์ผลบุญจากการกระทำนั้นๆ โดยในเบื้องต้นจะเห็นได้จากความรู้สึกสบายใจที่บังเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อเราได้ทำบุญ ทำความดี หรือ ประกอบกรรมดีใดๆ แต่ถึงกระนั้นทั้งกรรมดีและกรรมชั่วต่างก็สลับสับเปลี่ยนกันเข้ามาส่งผลต่อชีวิตของเราอยู่ดี ทำให้เราได้รับทั้งความสุขและทุกข์สลับกันไป เพราะสุขกับทุกข์นั้นเป็นของคู่กัน เหมือนกับเหรียญที่มีสองด้าน มีขาว – มีดำ มีกลางวันก็ต้องมีกลางคืน เราจึงไม่สามารถที่จะเลือกเอาแต่เฉพาะสื่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียวได้ดั่งที่ใจต้องการ

คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธความจริงที่ว่า ไม่ว่าเราจะเกิดมาร่ำรวย มีความสุข มีความสบายกว่าคนทั่วๆ ไปอย่างไร สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีจากความทุกข์ไปได้ บ้างก็ต้องทุกข์ใจเพราะลูก เพราะทรัพย์สมบัติ เพราะสังขาร (โรคภัย) หรือไม่ก็เรื่องความรัก เรื่องคู่ครอง เป็นต้น

ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้ปฏิบัติที่เพียรสร้างกรรมดีจะมีความมั่นใจว่าตนไม่มีกรรมชั่วหลงเหลืออยู่อย่างแน่นอน แต่หากยังมีความยึดติดในความสุขบังเกิดขึ้นภายในจิต กรรมดีอันเป็นเหตุแห่งการเกิดนั้นก็ยังสามารถทำให้พบกับความทุกข์ได้เช่นกัน นั่นคือทุกข์ที่เกิดกับสังขาร ด้วยเพราะเมื่อเริ่มต้นจากการเกิดแล้วก็ต้องมีการแก่ ตามมาด้วยการเจ็บ และจบลงที่การตาย อันเป็นความทุกข์ตามธรรมชาติซึ่งผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนจะต้องได้รับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนั้นก็ยังมีทุกข์ทางใจอันได้แก่การพลัดพรากจากสิ่งของหรือบุคคลที่ตนรัก และการที่ต้องจากสมมติโลกที่ตนคิดว่าเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไป สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความทุกข์อันสืบเนื่องมาจากการเกิดทั้งสิ้น

ถึงตรงนี้ผู้ปฏิบัติคงพอเข้าใจกันมากขึ้นแล้วว่าหากยังคงต้องเกิดไม่ว่าอย่างไรเราก็ต้องได้พบกับความทุกข์เป็นแน่ เพราะการเกิดนั้นมันเป็นทุกข์ ทุกข์จากสิ่งที่ไม่จีรัง มีความเปลี่ยนแปลง และไม่อาจคงทนต่อการเปลี่ยนแปลง

แต่ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าโดยพื้นฐานตามธรรมชาติของนิสัยมนุษย์ หากจะเปรียบเทียบระหว่างความตั้งใจที่จะละเว้นจากการสร้างกรรมเลวกับการทำบุญหรือการทำความดีแล้วไม่ยึดติดในผลบุญที่ได้กระทำลงไปประการหลังคงจะเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากกว่ามากมายนัก

คนปกติทั่วไปเมื่อทำบุญก็ย่อมต้องมุ่งหวังในอานิสงส์ผลบุญนั้นเป็นธรรมดา เพราะเราทุกคนต่างก็ถูกปลูกฝังความเชื่อนี้สืบทอดต่อๆกันมา ตั้งแต่เราเริ่มจำความได้ และเราก็มีพัฒนาการกันอย่างรวดเร็วในการเรียนรู้ที่จะอธิษฐานขอสิ่งต่างๆ ตามที่ใจเราปราถนา เริ่มจากเรื่องการเรียน การงาน ความรัก ความร่ำรวย โชคลาภ สุขภาพ และอีกมากมาย ซึ่งเมื่อความเชื่อดังกล่าวนี้ได้ถูกหล่อหลอมเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเรา จึงส่งผลทำให้จิตของเรารู้สึกพึงพอใจในความสุขที่บังเกิดจากการที่บังเกิดจากการทำบุญ กลายเป็นจิตติดสุข และในที่สุดก็กลายเป็นเรื่องยากที่จะปล่อยวางไม่ให้จิตไปยึดติดในบุญที่เราได้กระทำ

ผู้ปฏิบัติจึงต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาให้เกิดภูมิความรู้แจ้งว่าแท้ที่จริงแล้วการเกิดนั้นสำคัญกว่ากรรมที่เราจะได้รับจากการเกิดมากมายนัก ในการเกิดแต่ละครั้งมีความเสี่ยงสูงมากที่จิตจะต้องมาแปดเปื้อน เพราะกิเลสเสี่ยงต่อการหลง อยู่กับมายาความคิดและความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งจะเป็นเหตุที่นำพาให้ดวงจิตที่หลงนั้นห่างไกลออกไปจากพระนิพพานมากขึ้นทุกทีๆ

การเกิดจึงเป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งปวง ถ้าหยุดการเกิดได้เมื่อไรความทุกข์ทั้งปวงก็จะหมดลงตามไปด้วย รู้เช่นนี้แล้วผู้ปฏิบัติจึงต้องรีบเร่งทำความเพียรและอย่ายึดติดในความสุข จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปอีกชาติหนึ่ง จิตที่สามารถปล่อยวางได้จากกิเลสมายาทั้งปวงบนโลกสมมติใบนี้จึงเป็นจิตที่สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างแท้จริง




ที่มา : หนังสือ "นิพพานใกล้แค่เอื้อม" หน้า 14 -17

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #99 เมื่อ: พฤศจิกายน 28, 2013, 09:23:05 PM »






Life 101 Co.,Ltd.

» เรื่องเล่าของ...หลวงปู่ชา สุภัทโท : ปัญญาจากหมาขี้เรื้อน

ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่ง

เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน



ก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน

เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้

เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับ

พระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน

พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดี มีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่า

กว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

แต่ก็นั่นแหละกว่าจะ'นิ่ง' ก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตาม ๆ กัน

ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะ

พระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

======


วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่า ไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน

- ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง

- เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้า ก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่า

ล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี

- ตอนหัวค่ำ...มีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า

ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา

- ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้าง ก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปที

ล้างไปบ่นไปประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมือง นอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้

โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้

ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น

ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด

มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่า ตัวเองเหนือกว่าทุกประตู

นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่

ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลัง รอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

======


อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่า

ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนาน ๆ

ครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง

วัน ๆ ไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง

(เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน

การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง

เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่า ล้าสมัย

รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วย

อีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว

ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก

อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้น พระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น

และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงาน อย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง

ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

======


เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ...

หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย

ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่าน

ให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน

อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา

แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลาย ดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง

ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ ๆ


"เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว

ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น

เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน

แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหน

มันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่า แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง

นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี”


“คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน

แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน

เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น

หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่

แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก"

พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า

ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว

======


ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น

ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกตินอกสงบแต่ในวุ่นวาย

นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู
ยิ่งนั่งสมาธินาน ๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

จากคนพูดมาก...กลายเป็นคนพูดน้อย
จากคนที่หยิ่งยโส...กลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่น...กลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

แม้เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว

ท่านก็ยังไม่ยอมสึก

"อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรค จนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"

โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถ

พลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า "หมาขี้เรื้อน" ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่

======


Credit : www.thammasatu.net | คัดลอกจาก จิรเมธ ศรีโยธี


#Life101Page #หลวงปู่ชา
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #100 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2013, 10:39:04 PM »


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #101 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2013, 08:46:16 PM »


พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)

เราอาศัยของสมมุติเป็นอยู่ แล้วเรามาหลงสมมุติอันนั้น
ว่าเรา ว่าเขา อย่างนี้เป็นต้น ก็เลยมาติดสมมุติ ติดบัญญัติ
ติดข้าวของเงินทอง ติดลาภ ติดยศ ติดมั่ง ติดมี ติดทุกข์ ติดยาก
ไม่ต้องการไปทางไหน พากันดีใจอยู่ว่าเราไม่มีโทษ
ความเป็นจริงโทษของพวกเรานี้
ถ้าเราอยู่ในฐานนี้คือมนุษย์โลก ไม่ได้มีความสุขหรอก
จะต้องเดือดร้อนกระวนกระวายอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
จากหนังสือ ภาวนาคือพิจาณาให้รู้ตามเป็นจริง
มรดกธรรม เล่มที่ ๑๐ น.๓๓


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #102 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2013, 08:55:13 PM »

พระไพศาล วิสาโล

จวงจื๊อ ปราชญ์จีนเมื่อ ๒,๓๐๐ ปีที่แล้ว เล่าว่ามีชายคนหนึ่งรำคาญเงาของตัวเองมาก อีกทั้งยังทนรอยเท้าของตัวไม่ได้ เขาจึงพยายามวิ่งหนีจากทั้งสองสิ่งนี้ แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปไหน เงาและรอยเท้าก็ยังติดตามเขาไป เขาคิดว่าเขาวิ่งเร็วไม่พอ จึงเร่งฝีเท้...า ไม่ยอมหยุด วิ่งแล้ววิ่งเล่า ในที่สุดก็หมดแรง ล้มลงและถึงแก่ความตาย แล้วจวงจื๊อก็ตบท้ายว่า “เขาหารู้ไม่ว่า ถ้าเพียงแต่เขาเข้าร่ม เงาก็จะหายไป และถ้าเขานั่งนิ่ง ๆ ก็จะไม่มีรอยเท้าเลย”

คนทุกวันนี้ไม่ต่างจากคนหนีเงา พยายามทำทุกอย่างเพื่อหนีทุกข์ โดยคิดว่าเป็นความสุข แต่ทุกข์ก็ยังตามมาไม่หยุด เขาหารู้ไม่ว่า ความทุกข์จะหมดไปเมื่อเขาหันเข้าหาร่มแห่งธรรมและทำใจให้นิ่งสงบ

ถึงที่สุดแล้ว ใครจะมีความสุขหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาออกไปตักตวงแสวงหาทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงเกียรติยศได้สำเร็จหรือไม่ แต่อยู่ที่เขามีความสงบนิ่งได้มากน้อยเพียงใดต่างหาก



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #103 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 09:50:52 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #104 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 09:51:28 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 15   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: