สวัสดีครับคุณพอล ได้อ่านที่คุณพอลเขียนเลยไปอ่าน ๆ ข้อมูลเก่า ๆดู เลยเอามาฝากครับเผื่อเป็นความรู้เพิ่มเติม
พระโสดาบันคือบุคคลที่เริ่มละความหลงได้การละความหลง(ละอวิชชา) หรือละสังโยชน์ข้อที่ ๑ ถึง ๓ ได้หมดจริง ๆ (ละได้ ๑๐๐%)นั้น น่าจะเป็นพระอรหันต์เท่านั้นที่ทำได้.
พระโสดาบันจึงเป็นผู้ที่เริ่มละความหลง(เริ่มดับอวิชชา)ได้* คือ เริ่มมีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ รวมทั้งมีความรู้เรื่องไตรลักษณ์ตามความเป็นจริง(ไตรลักษณ์มีอยู่ในเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ).
นางวิสาขา เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ พร้อมกับเพื่อนทั้งหมด เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว ต่างก็มีดวงตาเห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอน จึงเป็นพระโสดาบันทั้งหมด เพราะเริ่มรู้เรื่องอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง.
ท่านอุปติสสะ(ชื่อเดิมของพระสารีบุตร)ได้ฟังธรรมเรื่องอริยสัจ ๔ จากพระอัสสชิ(หนึ่งในปัญจวัคคีย์)เพียงครั้งเดียว เมื่อฟังจบ ก็เริ่มมีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง หรือมีดวงตาเห็นธรรมตามความเป็นจริง จึงเป็นพระโสดาบัน.
ใน วันเดียวกัน ท่านอุปติสสะได้ไปเล่าเรื่องอริยสัจ ๔ ที่จดจำมาได้ให้กับท่านโกลิต(ชื่อเดิมของพระโมคคัลลานะ)ฟัง เมื่อท่านโกลิตฟังจบ ก็เริ่มมีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง หรือมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันในวันเดียวกันนั้นเอง.
โจรองคุลิมาล ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว เมื่อฟังจบก็เริ่มมีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง หรือมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันทันที.
พระเจ้าสุทโธทนะ(พระราชบิดาของพระพุทธเจ้า) ประทับยืนฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าบนถนนเพียงครั้งเดียว เมื่อทรงฟังธรรมจบ ก็เริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง หรือเป็นผู้ที่มีพระเนตรเห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน จึงเป็นพระโสดาบัน.
จะเห็นได้ว่า การเป็นพระโสดาบันนั้น ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป ขอเพียงให้ท่านได้ศึกษาอริยสัจ ๔ ด้วยสติปัญญาอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตามความเป็นจริง เพื่อเริ่มดับความหลง(เริ่มดับอวิชชา)ได้ตรงประเด็น ซึ่งมีเนื้อหาไม่มากนัก(เปรียบเหมือนใบไม้ในกำมือเดียว) เพราะใช้เวลาสั้น ๆ ในการฟังธรรมเพียงครั้งเดียว.
พระโสดาบันยังมีกิเลสอยู่ เพราะเพิ่งเริ่มดับความหลง(เริ่มดับอวิชชา)
พระโสดาบันเป็นอริยบุคคลที่เริ่มรู้จักดับความหลง(เริ่มดับหัวหน้าของกิเลส) และเริ่มก้าวเข้าสู่กระแส(เส้นทาง)ของความพ้นทุกข์(กระแสนิพพาน) จึงอาจมีความทุกข์มากจากความคิดที่เป็นกิเลส.
พระโสดาบันยังมีความหลง(อวิชชา)เหลืออยู่มากพอสมควร ดังนั้น พระโสดาบันจึงยังมีการคิดด้วยกิเลส(คิดด้วยความโลภและความโกรธ)อยู่อีก เช่น ยังคิดอยากรวย น้อยใจ ท้อแท้ เบื่อหน่าย ร้องไห้ คร่ำครวญ จู้จี้ โมโห โกรธ เป็นต้น.
พระโสดาบัน เช่น นางวิสาขา เมื่อคราวที่หลานตาย ก็มีความทุกข์มาก ถึงกับร้องไห้และคร่ำครวญเพราะคิดด้วยกิเลสจนมีความยึดมั่นถือมั่น เนื่องจากขณะนั้นยังมีความหลง(มีอวิชชา)อยู่ไม่น้อย จึงทำให้ไม่สามารถรู้เห็นและควบคุมความคิดได้ดีพอ.
พระโสดาบัน เช่น ท่านอนาถบิณฑิกะ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐี เมื่อคราวที่ลูกสาวคนเล็กตาย ก็ยังเป็นทุกข์มาก จนถึงกับร้องไห้คร่ำครวญเช่นกัน เพราะคิดด้วยกิเลสจนมีความยึดมั่นถือมั่น (อนาถบิณฑิกะ เล่ม ๑ หน้า ๙๑ รังสี สุทนต์).๗๐
พระ อานนท์เมื่อครั้งยังเป็นพระโสดาบันอยู่นั้น เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าและติดตามฟังธรรมพร้อมทั้งจดจำธรรมไว้ ได้มากมาย แต่พอทราบข่าวว่า พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ก็เป็นทุกข์มาก ถึงกับร้องไห้ คร่ำครวญ และเข่าอ่อนแรง จนต้องยืนเกาะกลอนประตูเพื่อพยุงตัวเอาไว้. ความทุกข์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากการคิดด้วยกิเลสจนมีความยึดมั่นถือมั่นมาก (พุทธประวัติ เล่ม ๓ หน้า ๓๒ สมเด็จสังฆราช(สา)).๗๑
นาง วิสาขา ท่านอนาถบิณฑิกะ และพระอานนท์ ต่างก็เป็นพระโสดาบันด้วยกันทั้งสิ้น แต่ทุกท่านยังคิดด้วยกิเลส(มีสังขาร)ในเรื่องของการพลัดพรากเพราะยังดับ สังโยชน์ข้อที่ ๑ - ๓ ไม่หมด* หรือดับความหลงยังไม่หมด(มีอวิชชา) จึงทำให้มีความคิดทะยานอยาก(มีตัณหา) และมีความคิดยึดมั่นถือมั่น(มีอุปาทาน) เป็นผลให้มีความทุกข์เกิดขึ้นมาก จนถึงขั้นร้องไห้และคร่ำครวญ(โสกะ ปริเทวะ).
การร้องไห้ของพระโสดาบันทั้ง ๓ ท่านนั้น เป็นการแสดงว่า มีการคิดด้วยกิเลสอย่างรุนแรงและมีความทุกข์ในจิตใจมาก. ถ้าพระโสดาบันสามารถละสังโยชน์ข้อที่ ๑ - ๓ ได้หมด คงจะไม่มีการร้องไห้และคร่ำครวญเกิดขึ้นเป็นแน่.
มีพุทธพจน์อยู่ตอนหนึ่ง ที่กล่าวถึงคุณสมบัติของพระโสดาบัน พอจะสรุปได้ว่า ?สาวกที่(เริ่ม*)มีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ และรู้จักทางออกจากความคิดที่ยึดมั่นถือมั่น(อุปาทาน)ในขันธ์ ๕ (รู้จักวิธีดับความคิดที่เป็นกิเลส*)ตามความเป็นจริง คือ พระโสดาบัน? (พุทธธรรม หน้า ๓๕๕ ป.อ.ปยุตโต).๗๒
ท่านควรฝึกประเมินระดับจิตใจของตนเองว่า ในปัจจุบันขณะนี้ เริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ (เริ่มละความหลง)ตามความเป็นจริงหรือยัง. ถ้าเริ่มมีบ้างแล้ว ก็น่าจะอยู่ในข่ายของบุคคลที่มีดวงตาเห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนแล้ว และจิตใจของท่านน่าจะอยู่ที่ระดับจิตใจของพระโสดาบันเป็นการชั่วคราว.
พระโสดาบันควรเป็นผู้เริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง(เริ่มละความหลงได้) แต่ยังไม่มีความสามารถที่จะดับความโลภและความโกรธในชีวิตประจำวันได้. ดังนั้น คนส่วนใหญ่ที่ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า มักจะเป็นพระโสดาบันในทันทีที่ฟังธรรมจบ แต่ยังไม่สามารถดับความทุกข์ได้ เพราะการมีดวงตาเห็นธรรมนั้น เป็นเพียงการเริ่มมีความรู้ในอริยสัจ ๔ ภาคทฤษฎีตามความเป็นจริง.
http://www.geocities.com/satipanya/noble6.html