คุณพอล และทุกท่านครับ ผมเป็นมือใหม่หัดซื้อทองครับ พอดีมีคำถามอยากถามว่า กราฟเป็นเพียงเครื่องแสดงการขึ้นลงของราคาทองในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ใช่ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการขึ้นลงของราคาทอง แล้วเราจะนำมาช่วยในการตัดสินใจซื้อขายทองคำได้อย่างไรครับ ช่วยแนะนำด้วยนะครับ กระผมอ่อนหัดจริง ๆ ครับ แฮะ แฮะ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
คุณพอล และทุกท่านครับ ผมเป็นมือใหม่หัดซื้อทองครับ พอดีมีคำถามอยากถามว่า กราฟเป็นเพียงเครื่องแสดงการขึ้นลงของราคาทองในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ใช่ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการขึ้นลงของราคาทอง แล้วเราจะนำมาช่วยในการตัดสินใจซื้อขายทองคำได้อย่างไรครับ ช่วยแนะนำด้วยนะครับ กระผมอ่อนหัดจริง ๆ ครับ แฮะ แฮะ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
เห็นยังไม่มีใครตอบ ขออนุญาต ตอบนะครับกราฟมีอยู่หลายตัวครับ แต่ละตัวจะบ่งบอกถึงแนวโน้มของทองว่าจะไปในทิศทางใด โดยเฉพาะกราฟ Spot ส่งผลต่อการตั้งราคาทองในแต่ละวันครับ
คนที่ซื้อขายทองคำแรกๆ จะดูกราฟไม่ค่อยเป็น รวมทั้งผมด้วย เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นที่ดูง่ายหน่อย ก็คือ ดูที่กราฟ slow sto. ถ้าลงมาต่ำมากๆ เช่น 10-20
แสดงว่าทองเกิดภาวะขายมากเกิน มีโอกาสกลับตัวไปเป็นขึ้นได้ แต่ถ้ากราฟ slow sto. ขึ้นไปสูงมากๆ เช่น 80-90 แสดงว่าทองเกิดภาวะซื้อมากเกิน
มีโอกาสกลับตัวไปเป็นลงได้ ทั้งนี้กราฟ slow sto. ยังมีราย 4 ชม. , รายวัน ฯลฯ และยังมีกราฟอีกหลายตัวที่ยังต้องพิจารณาควบคู่กันไปด้วย
ปล. ถ้าผิดถูกอย่างไรต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ผมขออนุญาต "คุณ Paul711" .. ช่วยอธิบายในเรื่อง "การวิเคราะห์ทางเทคนิค : Technical Analysis"
ซึ่งคุณ PS อยากจะทราบว่า .. จะนำ "กราฟเทคนิค" มาช่วยในการตัดสินใจในการลงทุนอย่างไร?
และคุณลูกเจี๊ยบ .. ก็ได้กรุณาให้ความกระจ่าง ในแง่มุม .. ระดับหนึ่งหนึ่งแล้ว
ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ;
"ราคา" .. จะถูกกำหนดโดย .. "อุปสงค์และอุปทาน : Demand & Supply" เมื่อ Demand ความต้องการ .. มีมาก หรือ Supply ที่จะรองรับกับความต้องการ .. มีน้อย
ราคา .. ก็จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ .. สูงขึ้น หรือแพงขึ้น
ในทางกลับกัน! เมื่อ Demand .. มีน้อย หรือ Supply .. เหลือมาก
ราคา .. ก็จะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ .. ลดลง หรือถูกลง
ซึ่งเราเรียก "พฤติกรรมการเคลื่อนไหวและทิศทางของราคา" นี้ว่า.. เป็นไปตาม "กลไกของตลาด"โดยที่ .. ระดับราคาที่เคลื่อนไหว และ Plot อยู่บนตัวกราฟ (ณ เวลาหนึ่ง)
เกิดจาก .. "ราคาและปริมาณการซื้อ-ขาย : Price&Volume" (ณ เวลานั้น)อย่างเช่น : เมื่อ Fed. ประกาศนโยบายคงดอกเบี้ย 0-0.25% โดยไม่มีกำหนด (เมื่อวันที่ 19/03/09)
และยังใช้นโยบาย Quantitative Easing .. ซึ่งส่งผลให้ "ค่าเงิน US Dollar" มีทิศทางที่จะอ่อนตัวลง
นักลงทุนจึง .. ลดการถือครอง USD / เงินสด โดยเข้ามาลงทุนใน .. ตลาดหุ้น + น้ำมัน + ทอง
หรือแม้กระทั่ง .. เปลี่ยนการถือครองสุกลเงิน USD เป็น euro หรือสกุลเงิน อื่นๆ .. ที่แข็งค่ากว่า (ณ ในเวลานั้น)
ดังนั้น "ทิศทางและการเคลื่อนไหว" .. ของ "ราคา .. บนกราฟ"
จึงได้ "รวม" .. เอาทั้ง "ปัจจัยพื้นฐาน : Fundamental" และ "อารมณ์ของตลาด : Sentimental"
แสดง .. การเคลื่อนไหวและระดับราคา "อยู่ในตัวกราฟ" .. นั้นด้วยในการวิเคราะห์ทางเทคนิค .. จึงต้องการที่จะ "แสดงสภาวะ Demand&Supply" ในตลาด
เพื่อดูว่า "ราคา" (ณ เวลานั้น) ถูกหรือแพง .. เป็น สภาวะกระทิงหรือหมี
และยังใช้ .. "วัดระดับ .. อารมณ์" ของตลาด เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ .. ในการ "หาจุดเข้าซื้อและขายออก"
โดยสร้าง "ตัวบอกสัญญาณ : Indicators" ต่างๆ ..ไว้บนกราฟ เพื่อแสดงความสัมพันธ์กับ "การเคลิ่อนไหวของราคา"
อย่างเช่น : กรณีที่ "ราคาทองคำ : Spot Gold Price" .. ขึ้นมาถึง $1000 แล้ว
เราอาจใช้ความรู้สึกของเรา "คิดว่า" .. ราคาแพงเกินไป สำหรับซื้อทอง .. เพื่อเป็นการออม
หรือเพื่อเป็น "การเก็งกำไร" .. ที่อาจจะให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่ากับการลงทุน (ณ เวลานี้)
แต่ .. ราคาในกราฟ ก็ยังเคลื่อนไหวไปในทิศทาง .. ที่ขยับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้! เพราะปัจจัยพื้นฐานหลัก .. ที่ค่าเงิน US Dollar อ่อนค่าลงมาอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ .. ค่าเงินสกุลอื่นๆ แข็งค่าขึ้น (มีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น) จึงเห็นว่า .. ราคาทองคำ ณ เวลานั้น "ถูกลง"
และยังมี Demand ความต้องการใช้ทองจริง .. จาก เทศกาล Diwali ของชาวฮินดูในอินเดีย
รวมทั้ง .. ทางด้านจิวเวลรี่ ที่ต้องเริ่มสร้าง Supply รองรับลูกค้า ในเทศกาลต่างๆ ปลายปีและต้นปี
อันสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐาน .. ที่ทำให้ ราคาในกราฟ มีการเคลื่อนไหวที่สูงขึ้นนั่นเอง
ดังนั้น เราจึงต้องมี "ตัวบอกสัญญาณ .. ที่ใช้ชี้วัดสภาวะและอารมณ์ของตลาด" .. มาช่วยในการตัดสินใจ
เมื่อเรามี "ความรู้สึก .. ที่ไม่สอดคล้อง" กับ "ราคา .. ที่กำลังเคลื่อนไหว" อยู่ในกราฟ (แล้วจะมาเพิ่มเติม .. เรื่อง "ความน่าเชื่อถือ" ของการใช้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค .. นะครับ)