สวัสดีค่ะอ.พอล คุณFirewall คุณSim69 คุณPrim คุณGoldproject คุณSalot คุณเถ้าแก่น้อย คุณ nujai คุณnewa คุณ KR คุณPatra คุณ itums คุณเอี้ยง คุณ อุ๊ คุณ toppii คุณ CONDO คุณstarbarge คุณ Macgyver คุณgun คุณ soda และสมาชิกทุกท่าน
ขอบคุณค่ะอ.พอลมารับพรที่เสกด้วยค่ะและของเพื่อนสมาชิกที่นำมาค่ะ ขอให้ทุกท่านโชคดีตลอดปีตลอดไปค่ะ
ขอบคุณค่ะคุณPatra ไพเราะมีความหมายลึกซึ้งเสมอค่ะบทกลอนดีๆค่ะ
ข่าวค่ะ
ส่องกล้องลงทุน 'ปีงูเล็ก' หุ้น-ทองคำ...รุ่งหรือร่วง? (03/01/2556)
ฉากการลงทุนในปีมะโรงหรือปีงูใหญ่ไปด้วยความสวยงาม หลังดัชนีตลาดหุ้นไทยทะยานขึ้นได้อย่างร้อนแรงจนทะลุปรอทแตกทุบสถิติสูงสุดในรอบ 16 ปี 10 เดือน โดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นปีที่บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยคึกคักมากเป็นพิเศษ หลังได้รับส้มหล่นจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าต่อเนื่อง รวมถึงความคาดหวังว่าประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐจะสะสางปัญหาภาวะหน้าผาทางการคลังได้สำเร็จ
จึงเป็นเหตุให้นักลงทุนสบายใจ และคลายกังวล ตลอดจนทำให้นักลงทุนที่ได้สะสมตุนหุ้นในพอร์ตไว้ในราคาถูก ต่างหัวใจซู่ซ่ากระชุ่มกระชวย ฉวยจังหวะนี้เทขายทำกำไรรับทรัพย์ก้อนใหญ่เข้ากระเป๋า เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หุ้นไทยให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 34.33% และหากซื้อหุ้นตั้งแต่ปี 52 และถือจนถึงปี 55 ผลตอบแทนจะสูงถึง 206.11%
ขณะที่ทองคำนั้น แม้ในปี 55 ราคาทองคำจะแกว่งตัวไม่หวือหวามากนัก ซึ่งไม่ปรับเพิ่มขึ้นแรงหรือลดลงอย่างฮวบฮาบจนทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ผู้คนทั่วทุกสารทิศตรงดิ่งไปยังร้านค้าทองคำ เพื่อซื้อหรือขายจนทำให้ร้านค้าทองคำแทบแตกเหมือนในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ทองคำก็จัดได้ว่า “เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยสำหรับการลงทุน” แถมนับวันยิ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่น หุ้น ทองคำ น้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยน ยังมีความเสี่ยงสูง จนยากที่จะคาดเดาทิศทางการเคลื่อนไหวได้ ... และเมื่อนั้นทองคำก็จะกลับมาฮอตฮิตติดลมบนอีกครั้ง
ได้เห็นภาพของการลงทุนในปี 55 ไปแล้ว เรียกได้ว่าทุกการลงทุนยังยืนอยู่บนความผันผวน แต่เส้นทางลงทุนในปีมะเส็งนี้จะโรยด้วยกลีบกุหลาบหรือเต็มไปด้วยขวากหนาม จากสารพัดปัจจัยทั้งในและต่างประเทศที่จะเข้ามากดดันเป็นระยะ ๆ ที่เปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่คอยฉุดรั้งภาพรวมของการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทองคำ หรือแม้แต่อัตราแลกเปลี่ยน
วันนี้...ทีมเศรษฐกิจเดลินิวส์ มีข้อมูลมาฝาก เพื่อเป็นแนวทางให้เงินทำงานและสร้างรายได้ รวมถึงผลตอบแทนกลับมาได้เป็นกอบเป็นกำจนยิ้มแก้มปริกันไปข้างหนึ่ง
ลุ้นหุ้นไทยแตะ 1,500 จุด
เริ่มต้นด้วยบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่บรรดานักวิเคราะห์หลักทรัพย์ของโบรกเกอร์สำนักต่าง ๆ ล้วนทำนายไปในทิศทางเดียวกันว่า “ในปี 56 หุ้นไทยยังอยู่ในขาขึ้นและพุ่งกระฉูด” ซึ่งมีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) เพราะน่าจะได้รับอานิสงส์จากสภาพคล่องที่มีอยู่ล้นโลก ทำให้เงินต่างชาติยังไหลทะลักเข้าตลาดหุ้นไทยและต่อเนื่อง โดยสมาคม บลจ. ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยมีลุ้นแตะระดับ 1,500 จุด เช่นเดียวกับ บล.ทิสโก้ ที่ประเมินไว้ที่ 1,450-1,500 จุด , บล.เอเซีย พลัส ประเมินที่ 1,450 จุด, บล.โกลเบล็ก ประเมินดัชนีสูงสุดไว้ที่ 1,478 จุด, บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ประเมินที่ 1,400-1,450 จุด ส่วนกรอบด้านล่างนั้นอยู่ที่ 1,240 จุด ขณะที่ บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินดัชนีไว้ที่ 1,350 จุด และแนวรับที่ 1,200 จุด และ 1,260 จุด
นอกจากนี้ จากการสำรวจของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ยังพบว่า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสทำนิวไฮที่ระดับ 1,537 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 1,245 จุด หรือเฉลี่ยที่ 1,471 จุด ส่วนหุ้นที่จะเป็นดาวเด่นมาแรงสุด ๆ ซึ่งนักลงทุนต้องรีบช้อนมาไว้ในพอร์ตเพื่อรอรับเงินปันผลแบบเหนาะ ๆ 3 อันดับแรก นั่นก็คือหุ้นกลุ่มสื่อสาร ที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนสูงสุดที่ 5.50% รองลงมาหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คาดอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 5.08% และกลุ่มพลังงาน คาดอัตราผลตอบแทนที่ 4.34% ส่วนกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงสุด คือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คาดเติบโตเฉลี่ย 32.17% กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คาดเติบโตเฉลี่ย 18.44% และกลุ่มธนาคาร คาดเติบโตเฉลี่ย 18.37%
แม้นักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างประเมินว่าหุ้นไทยในปีมะเส็งนี้จะยังสวยหรู ดัชนีทะยานขึ้นได้ร้อนแรงจนทุบสถิติใหม่ แต่ก็อย่าลืมว่า ระหว่างทางของการดีดตัว ย่อมมีปัจจัยลบที่เป็นตัวแปรเข้ามาถ่วงเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศซึ่งยังมีความผันผวน...ที่สำคัญไปกว่านั้น คือสถานการณ์การเมืองในประเทศ !!! ว่าจะกลับมาเป็นประเด็นร้อนจนนักลงทุนขยาดและหวาดกลัวอีกหรือไม่
ดังนั้น นักลงทุนควรหาจังหวะในการทยอยสะสมหุ้นช่วงที่ดัชนีปรับฐานลงแรง โดยเลือกเก็บหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และคาดว่าจะมีเงินปันผลสูง ซึ่งคงหนีไม่พ้นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคหรือการลงทุนในประเทศเป็นหลัก และไม่ควรลงทุนตามข่าวลือ ตลอดจนแตกตื่นกับกระแสข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนเกินเหตุ เพราะไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟก็เป็นได้
ทองคำพุ่งกระฉูด
ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง เจอศึกหนักหลายด้านทั้งปัญหาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ ปัญหาความไม่แน่นอนในการแก้ไขปัญหาหน้าผาทางการคลังของสหรัฐ และการแก้วิกฤติหนี้ยุโรปที่ต้องใช้เวลาเยียวยา จึงส่งผลให้นักลงทุนหนีความเสี่ยงต่าง ๆ แล้วหันมาลงทุนใน “ทองคำ” เนื่องจากถือเป็นช่องทางการลงทุนที่คุ้มค่าทางหนึ่ง เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรทองคำก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้ ส่งผลให้ผู้เล่นรายใหญ่เริ่มขยับตัวซื้อทองคำตุนกันไว้ล่วงหน้า และที่สร้างความฮือฮามากที่สุดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา คือการที่พ่อมดทางการเงินชื่อดังชาวอเมริกัน เชื้อสายฮังการี วัย 82 ปี ที่ทุ่มเงินมหาศาลเพิ่มถือครองทองคำ 49% ซึ่งเป็นการกว้านซื้อทองคำครั้งใหญ่ที่สุด รวมไปถึงธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ แห่เข้าไปซื้อทองเก็บเพิ่มในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดธนาคารกลางแห่งชาติเกาหลีใต้เพิ่มทองคำในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศอีก 20%
ด้วยเหตุนี้เอง นักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างลงความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอาจทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง โดยประเมินว่าราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1,925 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน 30 บาท คิดเป็นราคาในประเทศบาทละ 27,450 บาท) หรือปรับเพิ่มขึ้น 12% และแน่นอนว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมเป็นสัญญาณถึงแนวโน้มราคาทองในปีงูเล็กที่ยังพุ่งกระฉูด แม้จะมีความผันผวนเป็นระยะก็ตาม
ทั้งนี้ นายกสมาคมค้าทองคำ “จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี” ประเมินว่า แนวโน้มราคาทองคำในปี 56 ยังผันผวนต่อเนื่อง ซึ่งมีโอกาสปรับขึ้นแรงและลงแรงได้หลายครั้ง เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกมีปัจจัยกระทบที่สำคัญ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผู้นำของประเทศมหาอำนาจอย่างจีน และภาวะเศรษฐกิจของอินเดียจะขยายตัวดีหรือไม่ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลต่อการซื้อทองคำระยะต่อไป นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการแก้ไขหน้าผาทางการคลังของสหรัฐ จะมีหน้าตา หรือจบได้เร็วภายในเดือน ม.ค. หรือไม่ ตลอดจนราคาน้ำมันยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การซื้อขายทองคำกลับมาคึกคักอีกครั้งด้วย
ดังนั้น นักลงทุนควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า เป็นนักลงทุนระยะสั้น กลาง หรือยาว เช่น หากเป็นนักลงทุนระยะสั้นในช่วงที่ราคาทองคำปรับลดลงมาอยู่ที่ 1,660-1,720 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 23,671-24,527 บาท ให้ทยอยซื้อเก็บสะสมเอาไว้เพื่อทำกำไรต่อไป ขณะที่การลงทุนระยะยาว นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและการเคลื่อนไหวของราคาในต่างประเทศอย่างใกล้ชิด รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยง รวมทั้งเป็นกลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนให้ทันกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต
ด้าน เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ และประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก “กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” บอกว่า ทิศทางราคาทองคำยังสดใสต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยราคาทองคำยังเคลื่อนไหวในกรอบ 1,750-1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 24,954-25,667 บาท ขณะที่ประเด็นที่เข้ามากระทบอย่างหน้าผาทางการคลังไม่ว่าจะออกมาในทิศทางใดบ้าง จะมีการต่ออายุมาตรการต่าง ๆ ออกไปหรือไม่ ย่อมส่งผลทางบวกกับราคาทองคำอย่างแน่นอน และหากทางการสหรัฐไม่สามารถตกลงกันได้ก็จะยิ่งเป็นผลดีส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งต่อ
ขณะที่ “ฐิภา นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ที่ออกมาแนะนำกลยุทธ์การลงทุนทองคำในปี 56 ว่า นักลงทุนควรถือทองคำระยะยาวส่วนหนึ่ง และซื้อขายระยะสั้นบางส่วน โดยเริ่มจากสัดส่วนที่เท่ากันก่อน โดยกลยุทธ์ในการซื้อขายระยะสั้นให้ดูแนวโน้มราคาเป็นหลักว่าจะออกมาในทิศทางใด เพราะทองคำอยู่ในช่วงขาขึ้น เมื่อราคาทองคำอยู่เริ่มส่งสัญญาณปรับตัวลดลงบ้างให้ช้อนซื้อ และเมื่อเริ่มเห็นว่าจะเริ่มปรับขึ้นมาก็ทยอยเทขายเพื่อทำกำไร พอลงทุนได้ระยะหนึ่งแล้วให้วิเคราะห์ว่านักลงทุนแต่ละคนมีความถนัดแบบไหนสั้น กลาง หรือระยะยาว แล้วจึงปรับการลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเองต่อไป
แม้แนวโน้มราคาทองคำมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายแล้วคงไม่มีใครทราบได้ว่าทิศทางราคาทองคำจะออกมาเป็นในทิศทางใด เพราะขนาดนักวิเคราะห์ที่เคยแม่นยำก็เคยถูกหักปากกาเซียนมาแล้ว ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาการลงทุนให้ดี แต่สำหรับนักลงทุนที่ไม่รีบร้อนใช้เงินมากนัก ก็ถือว่าเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะกระโดดเข้าไปสะสมทองคำไว้ ในช่วงที่ราคาทองคำกำลังปรับลดลง เพื่อรอทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวขึ้น ส่วนนักลงทุนระยะยาวต้องติดตามความเคลื่อนไหวเศรษฐกิจรอบโลกที่เกิดขึ้น เพราะทุกเหตุการณ์ล้วนมีผลต่อราคาทองคำทั้งสิ้น...
ค่าบาทยังผันผวน
ทิศทางค่าเงินบาทในปีงูเล็กส่อแววผันผวนไม่แพ้ปีมังกรทอง โดยต้องจับตามหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกอย่าง “สหรัฐอเมริกา” หลังจาก “บารัค โอบามา” ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ว่าจะเดินหน้าแก้ปัญหามาตรการการคลังชั่วคราวที่จะสิ้นสุดลงในสิ้น 55 อย่างไร เช่น การลดภาษีเงินได้ที่เริ่มขึ้นในสมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยูบุช ในปี 2001 การให้เครดิตภาษีการลงทุน และเพิ่มเงินสวัสดิการสำหรับผู้ว่างงาน เพราะทุกวันนี้สหรัฐเผชิญกับปัญหาหน้าผาการคลังหรือฟิสคอลคลิป ซึ่งต้องรอลุ้นว่าการเจรจาระหว่างพรรคเดโมแครตของบารัค โอบามา กับ พรรครีพับลิกันของมิตต์ รอมนีย์ที่คุมเสียงข้างมากในสภาคองเกรสว่า จะต่อมาตรการออกไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอีกหรือไม่ แต่ถ้าไม่ต่อมาตรการเดิมและหันมาใช้มาตรการลดงบรายจ่ายและขึ้นภาษีจะฉุดรั้งการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐก่อให้เกิดความเสียหายอีกครั้งและถ้าเศรษฐกิจเกิดความถดถอยจะฟาดหางใส่เศรษฐกิจโลกรวมถึงไทยให้เกิดความปั่นป่วนอีกครั้ง
สำหรับอีกประเด็นที่ไม่ควรละสายตา คือ การแก้ปัญหาหนี้ในยุโรปที่ยังหลอนอยู่ทุกวันนี้ ทั้งสเปน กรีซ และอิตาลีว่าปัญหาจะสะสางได้ในเร็ววันหรือไม่ ซึ่งปัญหาหนี้และความเชื่อมั่นที่ลดลง ทำให้คนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ผู้ประกอบการก็ไม่กล้าขยายกำลังการผลิต ทำให้แนวโน้มคนตกงานมากขึ้น และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากยุโรปเห็นได้จากตัวเลขการส่งออกเริ่มปรับตัวลดลงทุกตลาด ส่วนทิศทางค่าเงินบาทกูรูหลายสำนักประเมินว่าค่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้น เพราะจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้ามายังในเอเชีย และไทยมากขึ้น คาดว่าค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 30-30.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 30.60-30.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนแรงหนุนที่จะช่วยให้ค่าเงินบาทไม่ได้แข็งค่ามากเกินไปจนกระทบต่อผู้ส่งออก คือการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยหรือธปท.ในปีงูเล็ก ถ้าธปท.หั่นดอกเบี้ยลงจาก 2.75% ลงอีก จะช่วยลดแรงกดดันเงินทุนไหลเข้าได้อีกทางหนึ่ง โดยที่ผ่านมาธปท.ได้ออกโรงเตือนภาคเอกชนบริหารความเสี่ยงด้านการเงิน เพราะธปท.จะเข้าไปดูแลค่าเงินบาท ยามจำเป็นเท่านั้น จะไม่มีการฝืนกลไกตลาด ดังนั้นผู้ประกอบการต้องตื่นตัวและเตรียมรับมือแต่เนิ่น ๆ ดีกว่า “วัวหายล้อมคอก”
ได้เห็นภาพรวมของการลงทุนในปีงูเล็กไปบ้างแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มวาดภาพการใช้เงินทำงานให้สร้างผลกำไรได้มากที่สุด แต่อย่าลืมว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงที่มาควบคู่กับผลตอบแทนเสมอ ผู้ลงทุนจึงต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ เพื่อให้เจ็บตัวและควักเนื้อน้อยที่สุด นอกจากนี้ ควรตั้งสติให้ดีก่อนสตาร์ตเลือกสินทรัพย์ลงทุน เพราะสถานการณ์ทุกอย่างสามารถพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ตลอดเวลา..
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (วันที่ 3 มกราคม 2556)
ขอบคุณค่ะเฮียเด็กขายของ